ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 161 บีบบังคับให้ฉันรักษาเขา?

บทที่ 161 บีบบังคับให้ฉันรักษาเขา?

บทที่ 161 บีบบังคับให้ฉันรักษาเขา?

“ทำไมเหรอ? นายแซ่หลิน ตกตะลึงกับตัวตนของพี่สือเหรอ?” เจิ้งหยวนเป่าพูดด้วยสีหน้าภูมิใจ “คุณเองก็ลองคิดดูสิ พี่สือเป็นลูกพี่ลูกน้องของชิวอวี่นะ! คนเล็กๆ อย่างคุณยังอยากที่จะให้ชิวอวี่ช่วยเหลือเหรอ?”

“ไอ้คนบ้านนอกไม่เอาถ่าน กล้าใช้ลูกพี่ลูกน้องของผมมาโจมตีเจิ้งหยวนเป่าเหรอ? อำนาจของตระกูลกงซุนของเรา เป็นสิ่งที่คนต้อยต่ำอย่างนายเอาไปใช้ได้หรือ? เล่นเล่ห์เหลี่ยมหรือ นายอยากตายใช่ไหม? คุกเข่าขอโทษผม เดี๋ยวนี้! แล้วก็กราบน้องชายผมเจิ้งหยวนเป่าเสียดีๆ!” กงซุนสือพูดด้วยสีหน้าที่มั่นใจในตัวเอง สีหน้าเต็มไปด้วยความเย่อหยิ่ง

“หากไม่ทำตามสิ่งที่ผมพูด ผมรับรองได้เลยว่าวันนี้นายไม่มีทางได้ออกจากวิลล่าฉงหลงอย่างแน่นอน และนายก็มีชีวิตอยู่ต่อในเมืองเกาเทียนไม่ได้เช่นกัน!” กงซุนสือพูดพร้อมยิ้มแห้ง และมองดูหลินอิ่งอย่างสนุกสนาน

ก็แค่ลูกเขยไม่เอาถ่านที่มาจากเมืองชิงหยูน คิดว่าตัวเองฉลาด ก็ใช้ลูกพี่ลูกน้องเพื่อทำให้เจิ้งหยวนเป่าขายหน้า? คิดว่าที่นี่เป็นที่ไหนกัน?

ที่นี่เป็นถิ่นของตระกูลกงซุนแห่งตี้จิงนะ! มีแค่ฝีมือทางการแพทย์ที่กระจอกๆ แล้วยังกล้ามาเล่นเหลี่ยม เล่ห์กลแถวนี้อีก ช่างเป็นคนบ้านนอกที่โง่เขลาจริงๆ ใช้เล่ห์เหลี่ยมไม่ดูสถานที่เลย

หลินอิ่งค่อยๆ ลุกขึ้นยืน สายตาที่เยือกเย็นมองไปที่กงซุนสือและเจิ้งหยวนเป่า “นี่พวกคุณไม่เห็นโลงศพ ไม่หลั่งน้ำตาใช่ไหม?”

บางทีก็ยากที่จะเข้าใจความคิดของคนพวกที่คิดว่าตัวเองสูงส่ง ไม่ว่าจะมีอำนาจมากขนาดไหน สุดท้ายก็เป็นแค่หนึ่งชีวิตมิใช่หรือ? หรือว่าเงินทองจะสามารถยืดพลังชีวิตของพวกเขาได้?

ต้องเจอกับเหตุความตาย จนจะตายอยู่แล้ว ถึงจะได้รู้ว่าชีวิตของตัวเองนั้นต้อยต่ำเพียงใดหรือ?

“โอ๊ย? ไม่เห็นโลงศพ ไม่หลั่งน้ำตางั้นเหรอ?” กงซุนสือหัวเราะอย่างเยาะเย้ย “ผมอยากรู้จริงๆ ว่าใครกันแน่ที่ไม่เห็นโลงศพ ไม่หลั่งน้ำตา ชนบทมีแต่ชาวบ้านที่ดื้อรั้นจริงๆ หน้าตาดูบ้านๆ แต่กล้ามาทำตัวสูงส่งไปถึงฟ้าต่อหน้าพวกเราหรือ? หื้ม?”

ในสายตาของกงซุนสือ จังหวะนี้หลินอิ่งต้องรับคุกเข่าขอโทษ แล้วมาเลียรองเท้าเขาแล้ว คนบ้านนอกอย่างหลินอิ่ง มีสิทธิ์อะไรมาเทียบกับคุณชายแห่งเมืองตี้จิงอย่างพวกเขา?

“จริงครับ เป็นแค่ชาวบ้านธรรมดาๆ ถ้าพูดแบบน่าเกลียด นายสามารถเข้ามาในวิลล่าฉงหลงได้นับว่าเป็นเกียรติภูมิทั้งชีวิตของนายแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะว่าชิวอวี่ให้เกียรตินาย ทั้งชีวิตของนายก็คงไม่มีโอกาสพูดคุยกับคนระดับอย่างพวกผม แล้วตอนนี้ยังจะมาทำสูงส่ง?” เจิ้งหยวนเป่าเยาะเย้ยเขาตามใจชอบ

“คนสถานะแบบนาย ก็เหมาะที่จะมาเลียรองเท้าให้พวกเราเข้าใจไหม? ไม่สิ ถ้าปกติแล้ว นายไม่มีแม้แต่สิทธิ์ในหารเลียรองเท้า นายก็เป็นได้แค่สุนัขที่หมอบอยู่บนพื้นแล้วเงียบหน้ามองดูพวกเรา” กงซุนสือพูดด้วยรอยยิ้มที่เยือกเย็น สีหน้าราวกับว่าตัวเองเก่งกาจมากแค่ไหน

“เร็วๆ เลย มาเลียพื้นรองเท้าของข้าเดี๋ยวนี้!” กงซุนสือตะโกนอย่างเย็นชา แล้วยกเท้าขึ้นมาวางบนโต๊ะ พลังของเขามาเต็ม แล้วก็ดีดนิ้ว พวกบอดี้การ์ดก็ถกแขนเสื้อขึ้นแล้วล้อมรอบหลินอิ่งไว้

“หึหึ นายชกเก่งใช่ไหม? พวกคนของข้าเป็นนักมวยยอดฝีมือที่มาจากต่างประเทศทั้งนั้น” กงซุนสือจุดซิการ์พร้อมพูดด้วยตาหยีว่า “กดมันไว้ วันนี้มันต้องเลียพื้นรองเท้าของข้าให้สะอาด แล้วกระทืบให้เหมือนหมา แล้วค่อยๆ ทรมานมัน”

“ใช่ครับใช่ครับ พี่สือ ต้องจัดการแบบนี้กับไอ้คนแซ่หลินนี่แหละ หยิ่งยโสมากเกินไป” เจิ้งหยวนเป่าพูดด้วยสีหน้าประจบ เขาทนรอที่จะเห็นภาพที่หลินอิ่งคุกเข่าแล้วเลียพื้นรองเท้าของพวกเขาสองคนไม่ไหวแล้ว

พรึพ บอดี้การ์ด10กว่าคนเข้าไปรุมทำร้ายหลินอิ่ง แต่หลินอิ่งกลับวิ่งพุ่งออกไปแล้วเงาร่างของเขาก็หายไปราวกับสายลม

เพียะ!

เสียงที่ดังก็องก็ดังขึ้น กงซุนสือโดนตบไปที่หน้าอย่างแรง ตบจนตัวเขาเองตกตะลึงอย่างหนัก ซิการ์ของเขากะเด็ดหลุดออกไป เขาหมุนอยู่กับที่ไป2รอบแล้วล้มลงกับพื้น จากนั้น เพียะๆๆๆๆๆ เขาโดนตบรัวๆ 7 8 ครั้ง ตบจนฟันของเจิ้มหยวนเป่าหลุดไปครึ่งปาก กงซุนสือเองก็เลือดเต็มปากแล้วหน้าก็บวมขึ้นมาทันที

พวกเขาต่างก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมอยู่ดีๆ หลินอิ่งถึงพุ่งเข้ามาด้วยความเคลื่อนไหวที่เร็วมาก!

“อ๊าก! นายกล้าตบตีข้าหรือ นายอยากตายหรือไง หักแขนมันซะ!” กงซุนสือตะโกนด้วยความโกรธแค้นอย่างหนัก

ปั๊ง!

หลินอิ่งเอาเท้าเหยียบไว้ที่หน้าของกงซุนสือ จนเขาอ้วกเป็นเลือด

“ถ้าพวกนายกล้าเข้ามา ผมจะเอาเขาให้ถึงตาย!” หลินอิ่งพูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา

สีหน้าของบอดี้การ์ด10กว่าคนก็เริ่มลังเลขึ้นมา มองไปที่หลินอิ่งแต่ไม่กล้าเข้าใกล้ ชายหนุ่มคนนี้เคลื่อนที่เร็วเกินไป สายตาที่เต็มไปด้วยความอาฆาตนี้ แล้วเขาฆ่าคุณชายไปจริงๆ จะทำอย่างไร?

“เอะอะก็ให้เลียพื้นรองเท้าใช่ไหม?” หลินอิ่งขำอย่างเยือกเย็น แล้วเหยียบไปที่ปากของกงซุนสือ

แรงนั้นทำให้เขารู้สึกว่าหัวของตัวเองกำลังจะระเบิด เขาส่งเสียงโหยหวนอย่างทรมานออกมา และเต็มไปด้วยความไม่พอใจ

มีสิทธิ์อะไร? ทำไมลูกเขยที่ไม่เอาไหนถึงกล้าลงมือกับเขาเช่นนี้!

จู่ๆ ประตูวิลล่าก็เปิดออก

ทันใดนั้นเอง มีชายวัยกลางคนที่บุคลิกดูมีสง่าเดินเข้ามา และมีพ่อบ้านเดินตามอยู่ข้างๆ เขา กงซุนชิวอวี่ก็มาด้วยเช่นกัน

เมื่อเห็นสถานการณ์ในวิลล่าแล้ว สีหน้าของกงซุนชิวอวี่และชายวัยกลางคนดูตะลึงเล็กน้อย จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นสีหน้าที่เคร่งขรึม

“คุณลุงครับ! ท่านมาแล้วเหรอครับ ไอ้คนบ้านนอกคนนี้มาทุบตีคนของวิลล่าฉงหลงไปทั่วเลยครับ กล้าดียังไงถึงได้กล้าลงมือกับผม!”

กงซุนสือตะโกนโวยวาย : “นายจบแล้ว ไอ้คนแซ่หลิน กล้าลงมือกับข้า นายต้องตายสถานเดียว ไอ้เลว อย่าคิดเลยว่านายจะได้เดินออกจากเมืองเกาเทียนอย่างมีชีวิตอยู่”

“กงซุนสือ นายหุบปาก!” ชายวัยกลางคนดุเขา สีหน้าของเขาดูไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่

“หื้ม? คุณลุงครับ…….” สีหน้าของกงซุนสือดูเจ็บช้ำ แต่เขาไม่กล้าพูดอะไรต่อ นี่เป็นคำสั่งของหัวหน้าครอบครัวที่รองลงมาจากคุณท่านเลยนะ

“ไอ้โง่ที่ไม่เอาไหน อย่าทำตัวหาเรื่องไปวันๆ!” ชายวัยกลางคนพูดด้วยเสียงต่ำ จากนั้นก็มองไปที่หลินอิ่งพร้อมใบหน้าที่ยิ้มแย้ม “อาจารย์หลินครับ ผมชื่อกงซุนเฟยหง เป็นพ่อของกงซุนชิวอวี่ครับ ได้ยินชิวอวี่บอกมาว่า ครั้งนี้ที่อาจารย์หลินมาเพราะมาดูอาการป่วยให้คุณท่านใช่ไหมครับ?”

หลินอิ่งไม่ได้พูดอะไรออกมา สีหน้าเขาดูปกติ

ใจของกงซุนเฟยหงก็ร่วงลงไปทันที เขารู้สึกว่าเรื่องนี้จัดการยากและยุ่งยากมาก

ถ้าเกิดว่าเป็นแค่ผู้มีวิชาการรักษาชั้นเยี่ยมแบบธรรมดาก็ว่าไปอย่าง ไม่จำเป็นต้องเกรงใจเขาขนาดนั้น ก่อนนี้ได้ได้ข่าวจากลูกสาวกงซุนชิวอวี่แล้วว่า อาจารย์หลิน หลินอิ่งท่านนี้มีฝีมือการรักษาที่ยอดเยี่ยมมาก! โดยเฉพาะ เขาอาจจะมีความสัมพันธ์บางอย่างกับท่านฉีด้วย

ต้องรู้ไว้ว่า แม้ว่าตระกูลฉีจะเหลือคนอยู่แค่สองคน แต่ว่าฉีหยิ่น หัวหน้าครอบครัวของตระกูลฉีในตอนนี้ เป็นวัยรุ่นฮีโร่ในตำนานที่ลึกลับที่สุดแห่งเมืองหลุงเชียวนะ! ตระกูลกงซุนไม่กล้าทำให้ตระกูลฉีแห่งตี้จิงต้องโกรธเคืองหรอก

ประเด็นสำคัญคือ เมื่อสักครู่นี้อยู่ดีๆ นายท่านที่บ้านก็ล้มป่วยขึ้นมาอย่างกะทันหัน เกือบจะหมดลมหายใจ หมอทุกคนที่อยู่ในวิลล่าต่างก็ไม่รู้ว่าควรทำอย่างไร จึงทำได้แค่เชิญอาจารย์หลินมา

“อาจารย์หลินครับ ท่านอย่าถือสากับเด็กพวกนี้เลยนะครับ ตอนนี้ท่านตามผมไปดูอาการของนายท่านได้หรือไม่ครับ ตระกูลกงซุนของเรามีของตอบแทนหนักๆ อย่างแน่นอนครับ!” กงซุนเฟยหงพูดอย่างเคารพ

หลินอิ่งพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ผมมาที่นี่ เพราะเห็นแก่ชิวอวี่ แต่ตระกูลกงซุนอย่างพวกคุณ เข้ามาท้าทายผมลงไม้ลงมือกับผมตั้งแต่ที่ผมมา? นี่กำลังบีบบังคับให้ผมต้องทำการรักษาหรือ?”

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท