ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 163 คุณรักษาให้หายดีได้ กราบคุณ

บทที่ 163 คุณรักษาให้หายดีได้ กราบคุณ

บทที่ 163 คุณรักษาให้หายดีได้ กราบคุณ

ณ วิลล่าฉงหลง วิลล่าหรูหราที่อยู่ใจกลาง มีการรักษาความปลอดภัยที่เข้มงวดทั้ง4ด้าน รวมๆ แล้วมีบอดี้การ์ดเจ็ดแปดสิบคน เดินตระเวนและเฝ้าดูวิลล่าไปทั่ว ทำให้เห็นถึงความมีระดับดูดี

หลินอิ่งและสองพ่อลูกกงซุนเฟยหงเดินเข้าไปด้านในวิลล่า

ด้านในนั้นมีการตกแต่งที่ละเอียดอ่อนและประณีต ทางเดินยาวร้อยเมตรนั้นเต็มไปด้วยบอดี้การ์ดแว่นดำที่สีหน้าเคร่งเครียด พวกเขาทั้งหมดก็มหน้าลงทำความเคารพเนื่องจากกงซุนเฟยหงมาถึง

เมื่อเดินไปถึงสุดทางของทางเดินร้อยเมตรแล้ว นั่นเป็นห้องกว้างสไตล์จีน สไตล์การตกแต่งด้านในนั้นมีกลิ่นอายของความเก่าแก่ มีภาพวาดชื่อดังแขวนอยู่รอบๆผนัง

หลินอิ่งเดินเข้าประตูไป ก็มีสายตาที่พิจารณาจับจ้องมาที่เขาจำนวนมาก

ในห้องนั้นมีชายหนุ่มและหญิงสาววัยกลางคนที่สวมใส่ชุดสูทจำนวนมาก สีหน้าแต่ละคนต่างก็กังวลเป็นอย่างมาก

ตรงกลางของเตียงใหญ่ๆ มีคนเฒ่าที่ผมหงอกนอนอยู่ สีหน้าขาวซีด หายใจอย่างเร็ว เขากำลังอยู่ในอาการโคม่า

เขาก็คือกงซุนฉงหลง นายท่านของตระกูลกงซุนนั่นเอง

“พี่ใหญ่ครับ ท่านนี้ก็คือท่านที่ชิวอวี่พูดถึงหรือ? เป็นหมอเทพแห่งเมืองตุงไห่?” ชายวัยกลางคนคนหนึ่งมองดูที่หลินอิ่งด้วยความสงสัย สายตาของเขาไม่ค่อยเป็นมิตรนัก

“ใช่ครับ ผมขอแนะนำให้ทุกคนได้รู้จักหน่อยนะครับ ท่านนี้คือหมอเทพที่มาจากเมืองตุงไห่ หลินอิ่ง อาจารย์หลิน”

กงซุนเฟยหงแนะนำด้วยสีหน้าที่จริงจังเคร่งขรึม “อาจารย์หลินเป็นอาจารย์ที่ผมเชิญมาเพื่อรักษานายท่านโดยเฉพาะ”

“พี่ใหญ่ครับ นี่พี่กำลังล้อเล่นอะไรกันหรือ? ช่วงเวลาสำคัญขนาดนี้ของนายท่าน พี่กลับให้ชายหนุ่มน้อยมารักษาอาการป่วยให้นายท่าน?” ชายวัยกลางคนพูดด้วยสีหน้าไม่พอใจ ราวกับว่าเขามีความขัดแย้งต่อหลินอิ่งเป็นอย่างมาก

หลินอิ่งมองไปที่เขาโดยไม่แสดงสีหน้าใดๆ ออกมา เขาสังเกตว่ารูปร่างหน้าตาของชายคนนี้ค่อนข้างคล้ายคลึงกันกับกงซุนสือ หน้าบานหูกางพุงโต

คิดๆ แล้ว นี่คงจะเป็นพ่อของกงซุนสือ สันดานเดียวกันเลย

“ถูกต้องแล้วครับ เฟยเทียน พี่จะบอกอะไรให้ฟังอย่างจริงจังนะ อาจารย์หลินมารักษาอาการป่วยของนายท่าน ส่วนคำถามอื่นๆ ก็ขอให้พวกคุณอย่าถาม อาการของนายท่านสำคัญกว่า จะมาเสียเวลาตรงนี้ไม่ได้” กงซุนเฟยหงพูดด้วยความเคร่งเครียด

กงซุนเฟยเทียนทำเสียง หึ ออกมาอย่าไม่พอใจและกล่าว “พี่ใหญ่ครับ พี่เบลอแล้วรึเปล่า หลินอิ่งโดนประจานตัวคนที่แท้จริงออกมาตั้งนานแล้ว เป็นลูกเขยต้มตุ๋นที่ไม่เอาไหนที่มีชื่อเสียงมากในเมืองตุงไห่ พี่ให้เขามารักษาอาการป่วยให้นายท่าน ถ้าเกิดว่าผิดพลาดขึ้นมาจะทำอย่างไร?”

กงซุนเฟยหงขมวดคิ้วเล็กน้อย เขารู้ว่ากงซุนเฟยเทียนคงรู้เรื่องของกงซุนสือลูกชายเขาแล้ว คราวนี้เขาไม่พอใจอย่างแน่นอน

“พี่ใหญ่ครับ ผมไม่ได้จะต่อต้านพี่นะครับ แต่ว่าหมอต้มตุ๋นเช่นนี้ พี่ให้เขาทุบตีกงซุนสือ และยังให้สือเอ๋อเลียรองเท้าให้เขา? พี่ทำแบบนี้มันเกินไปไหมครับ” กงซุนเฟยเทียนพูดด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น

คิ้วของกงซุนเฟยหงก็ขมวดขึ้นมา และดุด้วยเสียงที่เย็นชาว่า “อย่าพูดถึงเรื่องนี้อีก!”

“ตอนนี้เรื่องของนายท่านสำคัญที่สุด ถ้าใครกล้าที่จะทำให้เสียเวลาอีกล่ะก็ อย่าหาว่าผมนิสัยเสียแล้วกัน!”

กงซุนเฟยหงเผยอำนาจออกมา หลังจากที่เขาตะคอกต่อว่าไป คนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างก็ไม่กล้าพูดอะไรต่อ ล้วนปิดปากไว้อย่างสนิท

“อาจารย์หลินครับ ขอเชิญให้ท่านไปจับชีพจรของนายท่านด้วยครับ” กงซุนเฟยหงพูดด้วยความเคารพ แล้วผายมือเชิญ

สีหน้าของหลินอิ่งดูปกติ เขาเดินไปที่ข้างเตียงของกงซุนฉงหลง

“เดี๋ยวก่อน!”

สายตาของกงซุนเฟยเทียนมองไปที่หลินอิ่งอย่างเยือกเย็น จากนั้นก็มองไปที่กงซุนเฟยหง และพูดอย่างเคร่งขรึม “พี่ใหญ่ครับ ผมว่าไม่ดีกว่านะครับ เมื่อสักครู่นี้อาจารย์ลูได้เขียนใบสั่งยาให้นายท่านแล้วนะครับ ตอนนี้อาการคงที่แล้ว ถ้าเกิดว่าโดนนักต้มตุ๋นคนนี้ทำให้มันวุ่นวายขึ้นมา เกิดมีปัญหาอะไรเกิดขึ้นจะทำเช่นไรครับ?”

ในใจของกงซุนเฟยเทียนไม่พอใจอยู่แล้ว ครั้งนี้พี่ใหญ่ทำเกินไปจริงๆ ไม่คาดคิดว่าเขาจะช่วยคนนอก ทำให้ลูกชายของตนโดนกระทืบขนาดนี้ นี่กำลังตบหน้าคนเป็นพ่ออย่างเขาชัดๆ เลย!

“อะไรนะ? อาจารย์ลู?” กงซุนเฟยหงถามด้วยความงุนงง ไม่รู้ว่ากงซุนเฟยเทียนไปหาอาจารย์ลูมาจากไหนกัน แถมยังทำให้อาการของนายท่านคงที่แล้วด้วย?

พี่ใหญ่ครับ ผมมาแนะนำให้พี่ได้รู้จัก ท่านนี้คือผู้มือยอดฝีมือแห่งมณฑลเกาหยาง หมอเทพลูเหลียงยู่ อาจารย์ลูครับ” กงซุนเฟยเทียนด้วยความสีหน้าภูมิใจ

“สวัสดีครับ ท่านหัวหน้าครอบครัว ผมชื่อลูเหลียงยู่”

คนแก่ที่อายุราวๆ 50กว่าๆ ปากแหลมแก็มแดงคิ้วสีขาวพูดและยิ้มให้กับกงซุนเฟยหง

กงซุนเฟยหงพยักหน้าเล็กน้อย แล้วมองไปที่อาจารย์ลูด้วยสายตาสงสัย

“พี่ใหญ่ครับ เมื่อสักครู่พี่ไม่ได้เห็นฝีมือการฝังเข็มที่น่าทึ่งของอาจารย์ลู หลังจากที่ฝังเข็มให้นายท่านและเขียนใบสั่งยาแล้ว ก็ทำให้อาการของนายท่านคงที่ขึ้นมาทันที” กงซุนเฟยเทียนกล่าวพร้อมยิ้มอย่างภูมิใจ

“ใช่ครับ พี่ชายรองเก่งมากครับที่สามารถเชิญผู้ยอดฝีมืออย่างอาจารย์ลูมาได้ แล้วช่วยทำให้อาการของนายท่านคงที่ได้โดยเร็ว”

“ถูกต้องครับ คราวนี้พี่ชายรองมีผลงานชิ้นใหญ่นะครับเนี่ย”

คราวนี้ คนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างก็ชื่นชมกงซุนเฟยเทียนขึ้นมา

กงซุนเฟยเทียนได้ใจ แบบนี้ก็ถือว่าได้กดขี่อำนาจที่กงซุนเฟยหงมีในตระกูลลง

เขาช่างเบลอไปแล้วจริงๆ เชิญชายหนุ่มเด็กน้อยที่ยังไม่ทันโตมารักษาอาการให้นายท่าน จนทำให้เกิดการเปรียบเทียบกับตนที่ชัดเจนขึ้นมา

สีหน้าของกงซุนเฟยหงไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่ เขามองไปที่หลินอิ่งอย่างกังวลใจเล็กน้อย ถ้าเกิดว่าฝีมือการแพทย์ ของหลินอิ่งสู้อาจารย์ลูท่านนี้ไม่ได้ นั่นจะเป็นการกระทบต่ออำนาจของเขาอย่างมาก

“หึหึ ได้ข่าวว่านายก็คือหลินอิ่งหมอต้มตุ๋นชื่อดังหรือ?” ลูเหลียงยู่พูดด้วยความเย่อหยิ่ง “ผมเรียนการแพทย์มาสามสี่สิบปี จึงจะกล้าเรียกตนเองว่าหมอเทพ คุณอายุเท่านี้ คงไม่มีแม้แต่สิทธิ์ที่จะเป็นเด็กรับใช้ให้กับผม!”

“ช่างเป็นคนที่ไร้ยางอายจริงๆ ลูกเขยไม่เอาไหนที่ดังไปทั่วเมืองตุงไห่ เมื่อมาถึงมณฑลเกาหยางก็จะผันตัวเป็นหมอเทพหรือ? มีใครกล้าหลอกลวงคนอื่นอย่างโจ่งแจ้งแบบนายไหม?” ลูเหลียงยู่พูดอย่างไม่มีความเกรงใจ และสีหน้าที่ไม่พอใจ

หลินอิ่งหัวเราะอย่างเยือกเย็น และถาม “ผมอยากถามนะครับ ว่าคุณรักษาอาการของนายท่านกงซุนยังไงกัน? เป็นอาการอย่างไร? วิธีไหน?”

สีหน้าของลูเหลียงยู่มั่นใจในตัวเองและกล่าว “สิ่งที่ข้าใช้นั้นเป็นวิชาฝังเข็มของข้าเอง เพื่อเป็นการทำให้ไหลเวียนโลหิตของนายท่านดีขึ้น และสั่งใบยาเพื่อบำรุง ไม่เกิน7วันท่านจะดีขึ้นเหมือนเดิมแน่นอน นายท่านแก่แล้ว เลือดไหลเวียนไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่ เพราะฉะนั้นก็อยู่ในอาการโคม่าอยู่นาน”

หลินอิ่งมองไปที่กงซุนฉงหลง แล้วส่ายหัว “หมอต้มตุ๋น”

“นายว่าอะไร? กล้าบอกว่าข้าเป็นหมอต้มตุ๋นหรือ?” ลูเหลียงยู่กล่าวด้วยเสียงเข้ม สีหน้าเต็มไปด้วยความโกรธเคือง

“ปากเก่งนะเนี่ย คนที่ยังอายุน้อยขนาดนี้ยังกล้าแต่งตั้งตัวเองว่าเป็นหมอเทพ? เสแสร้งต่อหน้าอาจารย์ลูเหรอ?”

“ไร้ยางอายจริงๆ ไม่รู้ว่าได้อ่านตำราเรียนหมอมาสักกี่เล่ม กล้าที่จะเปรียบเทียบกับอาจารย์ลูได้อย่างไร?”

คนของตระกูลกงซุนต่างก็พูดจาเยาะเย้ย สีหน้าไม่แคร์ใครและไม่มีความเกรงใจเลย

ในสายตาของพวกเขา หลินอิ่งก็เป็นแค่นักต้มตุ๋น ไม่รู้ว่าหัวหน้าครอบครัวคิดอย่างไร ถึงได้เชิญหนุ่มอายุ20ต้นๆ มารักษานายท่าน? ถ้าเกิดรักษาแล้วเกิดปัญหาขึ้นมาจะทำอย่างไร?

หลินอิ่งขี้เกียจที่จะอธิบาย เขากล่าว “หลีกไป ฝีมือการรักษาแค่นั้นของคุณ อย่าเอามันออกมาขายหน้าเลยดีกว่า”

“ฝีมือแค่นี้” ลูเหลียงยู่ขำแห้ง “ไม่รู้ที่ต่ำที่สูงจริงๆ เลย ได้! ในเมื่อท่านหัวหน้าครอบครัวเป็นคนเชิญท่านมา ผมเองก็อยากเห็นเหมือนกันว่าคุณมีความสามารถแค่ไหนกันแน่”

“ความสามารถแค่นั้นของคุณ ถ้าเกิดว่าสามารถรักษานายท่านให้หายได้ ผมจะกราบขอโทษคุณ!”

ลูเหลียงยู่กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา

“ถ้าเกิดว่ารักษาไม่หาย คุณก็กราบขอโทษผม คุณกล้าไหม?

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท