ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 167 ไม่มีใครสามารถควบคุมเขาได้

บทที่ 167 ไม่มีใครสามารถควบคุมเขาได้

บทที่ 167 ไม่มีใครสามารถควบคุมเขาได้

หลินอิ่งยิ้มเยาะเย้ย หันหลังแล้วกระโดดเตะ ลูเหลียงยู่โดนเตะจนกระเด็นออกไปสิบกว่าเมตร แล้วล้มลงที่มุมกําแพงอย่างแรง เลือดออกเต็มปาก ร่างกายบิดเบี้ยวไปหมด

“หายไปจากหน้าฉันเดี๋ยวนี้”

หลินอิ่งพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา ทำให้ลูเหลียงยู่ตกใจจนไม่กล้าเงยหน้าขึ้น เขาก็มหน้าไว้ รู้สึกร้อนรนบนใบหน้า ภายใต้สายตาที่จับจ้องของทุกคน เขาคลานออกจากประตูไปเหมือนสุนัข

เมื่อคนของตระกูลกงซุนเห็นภาพนี้ พวกเขาต่างก็รู้สึกหวาดกลัว กลัวว่าเป้าหมายต่อไปของ

หลินอิ่งคือตน

อาจารย์ลูนี่น่าสังเวชจริงๆ คิดอยากจะสับสนเรื่องผิดเรื่องถูก ก็ถูกหลินอิ่งทำร้ายจนเหมือนสุนัข อีกทั้งตัวตนและสถานะของเขาเมื่ออยู่ต่อหน้าคนแซ่หลินแล้ว ดูใช้การไม่ได้เลย

เป็นครั้งแรกที่พวกมีเงินมีอำนาจรู้สึกตัวเองดูต้อยต่ำ เพราะหลินอิ่งไม่กินไม้นี้ ไม่แน่วินาทีต่อมาเขาอาจจะทุบตีพวกเขาบางคนจนคุกเข่าลงกับพื้นก็เป็นไปได้

ไม่เห็นเหรอว่า พี่รองกงซุนเฟยเทียนยังเป็นจุดจบแบบนี้เลย?

ลูเหลียงยู่คลานออกจากห้องไปอย่างตัวสั่น หลินอิ่งบอกให้เขาไสหัวออกไป เขาก็ไม่กล้าลุกขึ้นยืนเดินเลย กลัวว่าลุกขึ้นมาแล้วจะถูกหลินอิ่งเตะจนตาย ณ ตรงนั้นเลย ชีวิตที่แก่ๆของเขาก็คงจบลง

“อาจารย์หลิน ตอนนี้ท่านหายโกรธแล้วหรือยัง? ” กงซุนฉงหลงกล่าวอย่างจริงจัง แม้แต่น้ำเสียงของเขาก็เปลี่ยนไปสุภาพอย่างมาก “ตอนนี้ข้ารู้แล้วว่าอาจารย์หลินเป็นคนช่วยเหลือ เรื่องนี้นับว่าตระกูลกงซุนเป็นหนี้น้ำใจอันใหญ่หลวงกับท่าน”

หนี้น้ำใจอันใหญ่หลวง? หลินอิ่งส่ายหน้า หนี้น้ำใจบ้าอะไรกัน บางทีคนธรรมดาอาจจะดีใจอย่างมากกับคำว่าหนี้น้ำใจที่ออกมาจากปากตระกูลกงซุนผู้มากเงินทองและอำนาจ รู้สึกว่าเหมือนว่าได้ปีนป่ายขึ้นไปบนกิ่งไม้สูงส่ง

แต่เขา ต้องการหนี้น้ำใจจากใครด้วยเหรอ?

น้ำใจความสัมพันธ์ สิ่งของเหล่านี้ล้วนเป็นสัญลักษณ์ที่คนอ่อนแอใช้ในการประดับความไร้อำนาจของตัวเองทั้งนั้น

ก็เห็นๆ กันอยู่ว่า คนที่คอยเอาเรื่องEQมาพูดอยู่เสมอ แน่นอนว่าพวกเขาอาจจะขาดอะไรบางอย่างไป ยิ่งขาดอะไรไปมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งเน้นสิ่งนั้นมากขึ้นเท่านั้น

คนที่มีความสามารถ ต้องการสิ่งเหล่านี้ด้วยหรือ? คนเราต้องพึ่งพาตัวเอง

“นาย กราบขอโทษ”

หลินอิ่งหันกลับไปมองที่กงซุนเฟยเทียน แล้วพูดด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ต่างๆ

“อะไรกัน? ” ไอ้แซ่หลิน นายคิดว่ารักษานายท่านจนหายดีแล้ว จะทำอะไรตามต้องการได้งั้นหรือ? ” กงซุนเฟยเทียนกล่าวด้วยความโกรธ เขารู้สึกอับอายอย่างมาก!

นายท่านไม่ออกหน้าให้ก็แล้วไป เขาเองก็ไม่อยากจะทำอะไรมาเพราะเกรงใจนายท่าน

ไม่อย่างนั้น หากออกจากประตูนี้ไปเขาก็จะวางแผนให้คนไปฆ่าหลินอิ่งให้ตายซะ!

ลูกเขยไม่เอาถ่านที่ไม่รู้ตายผู้นี้ ถึงกับกล้าสั่งให้ตัวเองกราบเขา เขารับไหวหรือ?

เพียะ!

หลินอิ่งตบหน้าเขา โดยไม่มีการลังเล ตบจนกงซุนเฟยเทียนตัวหมุนอยู่กับที่ และคุกเข่าลงกับพื้นอีกครั้ง กระดูกหัวเข่าของเขาเกือบจะแตกเป็นชิ้นๆ ไปแล้ว

“เฮือก! อ๊าาา”

กงซุนเฟยเทียนร้องเสียงคำรามออกมาด้วยความเจ็บปวด ดวงตาของเขาจ้องมองไปที่หลินอิ่งอย่างดุร้าย เขาขบฟันไว้แน่น

อยู่ต่อหน้าคนของตระกูลกงซุนมากมายเช่นนี้ หลินอิ่งเหยียบย่ำศักดิ์ศรีของเขาจนหมดสิ้น เขาจะต้องหาวิธีเอาสิ่งเหล่านี้กลับคืนมาให้ได้! ใช่ รอให้หลินอิ่งออกจากห้องไป แล้วจะสั่งคนไปจัดการมันทันที!

ไอ้คนบ้า!

“อาจารย์หลิน ถ้ายอมกันได้ก็ยอมกันเถอะ” กงซุนฉงหลงกล่าวด้วยเสียงทุ้มต่ำ สีหน้าของเขาโกรธเกรี้ยวเล็กน้อย “อาจารย์หลิน ที่ท่านรักษาผมจนหายดีได้ก็จริง ท่านจะทุบตีอาจารย์ลูผู้นั้นยังไง ผมเพิกเฉยได้ แต่คุณให้เฟยเทียนกราบขอโทษคุณ? นี่มันมากเกินไปรึเปล่า?”

หลินอิ่งมองไปที่กงซุนฉงหลงอย่างเย็นชา แล้วยิ้มอย่างเย็นชา “นี่คุณกำลังพูดหาเหตุผลกับผมอยู่หรือ?”

“อาจารย์หลิน ข้าสามารถไว้หน้าคุณได้เต็มที่ หากคุณต้องการเงิน หรือต้องการอะไร ข้าสามารถให้คุณได้ทุกอย่าง คุณให้เฟยเทียนขอโทษก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่คุณทุบตีเขาจนคุกเข่าลง แล้วยังจะให้เขากราบคุณอีก แบบนี้ไม่ได้! “กงซุนฉงหลงกล่าวด้วยเสียงทุ้มต่ำ แม้ว่าจะรู้ว่าหลินอิ่งเป็นชายหนุ่มที่มีความสามารถ แต่ตระกูลกงซุนของเขาไม่ใช่ตระกูลธรรมดา จะให้คนอื่นมารังแกตามใจชอบได้อย่างไร?

“ตอนที่ผมอยากจะคุยแบบมีเหตุผลกับพวกคุณ พวกคุณกลับพูดผิดเป็นถูก” หลินอิ่งพูดด้วยเสียงที่นิ่งๆ ว่า “ตอนนี้ แค่เพียงขอโทษมันไม่เพียงพอแล้ว”

พูดไปหลินอิ่งก็กระโดดเตะ จนเข่าของกงซุนเฟยเทียนลากเป็นรอยเลือดยาวบนพื้น เขาตกตะลึง ตาร้อนขึ้นมาและเจ็บปวดจนร้องเสียงดังออกมา พลังอำนาจของเขาหายไปหมดแล้ว

“อวดดี! ” หลินอิ่ง อย่าบังคับให้ข้าต้องใช้อำนาจ! กงซุนฉงหลงกล่าวด้วยเสียงทุ้มว่า “หากคุณทำเช่นนี้ คุณก็ใช้หนี้น้ำใจของตระกูลกงซุนไปจนหมดแล้ว!”

“น้ำใจ? จะเอาเหตุผลมาคุยกันใช่ไหม? หลินอิ่งยิ้มอย่างเย็นชา “ผมช่วยคุณเป็นอีกเรื่องหนึ่ง กงซุนเฟยเทียนสับสนเรื่องถูกเรื่องผิดและอยากจะให้ผมคุกเข่าลง มันก็อีกเรื่องหนึ่ง เขาคิดอยากจะบังคับให้ผมคุกเข่ากราบเขาได้ แต่ผมไม่สามารถให้เขาคุกเข่าลงกราบผมได้งั้นเหรอ?

“ผมอยากจะถามกงซุนฉงหลงว่า คนของตระกูลกงซุนของพวกคุณมันมีอะไรมากกว่าคนอื่นรึเปล่า? ”

“นายมันไร้กฎเกณฑ์ไร้เหตุผลสิ้นดี! ” กงซุนฉงหลงโกรธเกรี้ยวมาก เขาถูกหลินอิ่งเรียกชื่อและตำหนิ เขาเองก็โมโหขึ้นมา ไม่รู้ว่ากี่ปีแล้วที่ไม่มีใครกล้าเรียกชื่อและต่อว่าเขาต่อหน้า!

“ฮู! ” จับตัวมันไว้…” กงซุนฉงหลงโกรธจนหายใจหอบ โบกมือจะให้บอดี้การ์ดที่อยู่นอกประตูลงมือจับตัวเขาไว้ แต่ทันใดนั้นเขาก็ขนลุกขึ้นมา เขาถูกสายตาที่เย็นชาของหลินอิ่งสะเทือนไว้

หลินอิ่งมองไปที่กงซุนฉงหลงอย่างเย็นชา เพียงความคิดเดียว วินาทีต่อมาเขาพุ่งเข้าไป ก็สามารถฆ่าเขาได้เลย

“ผมสามารถช่วยชีวิตคุณได้ ผมก็สามารถเอาชีวิตของคุณกลับคืนมาได้เช่นกัน! ”

“นาย…” กงซุนฉงหลงเบิกตากว้าง ไม่กล้าพูดอะไรมากไปกว่านี้ เขาสัมผัสได้ถึงพลังที่เหนือชั้นบนร่างกายของหลินอิ่ง พลังแบบนี้ เป็นคนประเภทนั้น…….

กงซุนฉงหลงเองก็เคยพบเจอกับโลกนี้มาไม่น้อย คนที่ลาออกจากโลกเขาเจอมาหมดแล้ว ตอนนี้ถึงได้รู้ว่า หลินอิ่งมีการเป็นอยู่แบบไหนกัน…

“ไอ้คนแซ่หลิน นายอวดดีเกินไปรึเปล่า? นายกล้าข่มขู่นายท่านหรือ?”

“ช่างไม่รู้ที่ต่ำที่สูงจริงๆ พี่ใหญ่ครับ พี่ยังไม่รีบเรียกให้คนมาจัดการกับสถานการณ์นี้อีกหรือ? นี่คือหมอเทพที่พี่เชิญมางั้นเหรอ?”

คนของตระกูลกงซุนต่างตกตะลึง และต่างพากันพูดคุยกันขึ้นมา พวกเขาไม่กล้าพูดต่อหน้าหลินอิ่งจึงทำได้แต่มองไปที่กงซุนเฟยหงอย่างไม่พอใจ

สีหน้าของกงซุนเฟยหงดูแย่ สถานการณ์เช่นนี้ เขาเองก็ไม่รู้ว่าจะเอ่ยปากอย่างไรดี ตอนนี้หลินอิ่งกล้าเถียงแม้แต่นายท่าน สิ่งที่เขาพูดมันจะได้ผลอะไรกัน?

“นี่ อาจารย์หลิน ท่านปล่อยเรื่องนี้ไปได้หรือไม่ครับ? ” กงซุนชิวอวี่กล่าวด้วยความกังวล

แม้ว่าหลินอิ่งจะข่มขู่คุณปู่ แต่เธอเองก็ไม่กล้าพูดอะไรมาก คนพวกนี้ก็ทำให้ลูกพี่ลูกน้องฉีหยิ่นโกรธเคืองแล้ว

ถึงกับคิดว่าจะใช้เงินและอำนาจข่มขู่ลูกพี่ลูกน้องฉีหยิ่น เฮ้อ คนระดับอย่างลูกพี่ลูกน้อง ไม่มีใครมาสามารถควบคุมเขาได้

นี่คือเทพแห่งการสังหารนะ ตระกูลเหวินระเหยหายไปในชั่วข้ามคืน

ตอนนี้กงซุนชิวอวี่ก็เข้าใจแล้วว่า อีกด้านหนึ่งของฉีหยิ่นลูกพี่ลูกน้องของเธอแข็งแกร่งและดุร้ายเพียงใด

หลินอิ่งไม่ได้พูดอะไร เขามองไปที่กงซุนฉงหลงอย่างเย็นชา

กงซุนฉงหลงรู้ว่ามันหมายถึงอะไร สีหน้าของเขาลังเลอยู่นาน เขาถอนหายใจออกมายาวๆ สุดท้ายก็ตัดสินใจที่จะยอมแพ้

หลินอิ่งลึกลับเกินไป เขาไม่รู้ว่าภูมิหลังของเขาคืออะไร คนแบบนี้ไม่สามารถล่วงเกินได้ นอกเสียจากว่าจะรับรองได้ว่าสามารถทำให้เขาตายได้

“เฟยเทียน! คุกเข่าลงและกราบขอโทษอาจารย์หลินเดี๋ยวนี้! “กงซุนฉงหลงกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม”อาจารย์หลินช่วยชีวิตข้าไว้ เจ้าควรที่จะกราบขอบคุณอยู่แล้ว! แต่นายกลับพูดผิดเป็นถูก ไปล่วงเกินอาจารย์หลินหรือ? ไปขอโทษเดี๋ยวนี้!”

“นี่มัน… พ่อครับ ” สีหน้ากงซุนเฟยเทียนขมขื่น คิดไม่ถึงว่านายท่านจะออกหน้าด้วยตัวเองเลย

เขาไม่กล้าที่จะขัดขืนคำสั่งของนายท่าน หากเขาขัดขืนคำสั่งของนายท่านจริงๆ เกรงว่าหลินอิ่งผู้โหดเหี้ยมจะโมโหขึ้นมา ถ้าถึงตอนนั้นจริงๆ เรื่องนี้ก็คงได้พัฒนาไปทางที่ไม่สามารถแก็ไขได้แล้วจริงๆ

ช่างมัน อดทนไว้ก่อน รอโอกาสแล้วฆ่าไอ้คนแซ่หลินให้ตายเสีย!

“อาจารย์หลิน ขอโทษครับ”

ปัง ปัง ปัง กงซุนเฟยเทียนโน้มตัวลงและกราบ หลินอิ่งที่หันหลังอยู่ ใบหน้าของเขาแดงก่ำไปหม

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท