ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 177 งานเลี้ยงสังคมผู้ดี

บทที่ 177 งานเลี้ยงสังคมผู้ดี

บทที่ 177 งานเลี้ยงสังคมผู้ดี

หลังกินข้าวที่ร้านอาหารฟองซัมเมอร์เสร็จแล้ว หลินอิ่งกับจางฉีโม่ก็กลับบ้าน

จางฉีโม่กลับไปพักผ่อนที่วิลล่าหิมะมังกร ส่วนหลินอิ่งกลับไปที่เกาะ

เสิ่นซานทำงานอย่างรวดเร็วมีประสิทธิภาพ คืนนั้นก็เปิดปากฮาพิได้ โทรไปรายงานสถานการณ์ หลินอิ่งก็ไม่ลังเล สั่งเสิ่นซานจัดการเรื่องให้เรียบร้อย ทำลายโกดังของลาตินกรุ๊ป

วันที่สอง

หลินอิ่งออกไปตอนบ่าย นั่งรถมาถึงตึกจัดงานใจกลางเมือง

วันนี้ฉีโม่ต้องไปร่วมงานเลี้ยงใหญ่ ได้ยินว่าเป็นงานโฆษณาเครื่องประดับ ก็ถือว่าเป็นงานเลี้ยงรวมตัวของกลุ่มสังคมผู้ดีในเมืองตุงไห่ มีคนมาร่วมงานมากมายจากแวดวงต่างๆ เป็นการแลกเปลี่ยนทรัพยากรทางธุรกิจ

ฉีโม่เตรียมตัวลงทุนบทละครเรื่องหนึ่ง เพื่อถ่ายทำโฆษณา

แม้กระทั่งพ่อแม่จางฉีโม่ก็มาด้วย อยากโชว์หน้าในวงการด้วย

งานเลี้ยงในวงการธุรกิจผู้ลากมากดีในทุกสาขามากันพร้อมหน้า เจียงฉีก็มาร่วมงานเช่นกัน และมีการลงทุนที่ดินแห่งหนึ่ง สถานที่แบบนี้จางฉีโม่ก็ยังไม่ค่อยคุ้นเคยนัก ก็เรียกเขามาด้วย

พอถึงหน้าประตูทางเข้าอาคาร ด้านหน้าเต็มไปด้วยผู้คน และมีนักข่าวมากมาย

หลินอิ่งกวาดตามอง พบว่ารถของอู่เจิ้งจอดอยู่ในลาน รู้ว่าฉีโม่เข้าไปในงานแล้ว

ติ๊ด

เวลานี้ โทรศัพท์ดังขึ้น

เสิ่นซานโทรมา

“ฮัลโหล ท่านหลิน เมื่อคืนผมทำลายโกดังพวกเขา คนของลาตินกรุ๊ปตอนสนองมาแล้ว ตอนนี้ ส่งคนมาสร้างเรื่องในถิ่นของผมแล้ว ต้องจัดการยังไง?” ในโทรศัพท์ เป็นเสียงของเสิ่นซานพูดอย่างเคารพ

“เพิ่มกำลังคนเข้าไปจัดการ ต้องบีบให้พวกเขาส่งคนที่ใหญ่ที่สุดออกมา ต้องเจาะให้ถึงที่สุด ต้องสืบให้รู้ถึงผู้รับผิดชอบตัวจริงของลาตินกรุ๊ปให้ได้” หลินอิ่งพูดเด็ดขาด

“ทางนี้ยังมีธุระ มีความคืบหน้าอะไรค่อยโทรมา”

“ครับ” ได้ยินคำสั่งของหลินอิ่ง เสิ่นซานก็มั่นใจ

สั่งกำชับเสร็จ หลินอิ่งวางสาย เดินเข้าไปในงาน เข้าไปในลิฟต์

จากการรายงานเมื่อคืนของเสิ่นซาน บอกว่าเรื่องราวที่ได้จากปากฮาพิ ผู้รับผิดชอบตัวจริงของลาตินกรุ๊ปไม่เคยปรากฏตัวในเมืองชินหยูนเลย ปกติก็มีเพียงฮาพิรับผิดชอบจัดการแทน แม้กระทั่งรองประธานบริษัทอย่างฮาพิ ก็รู้เพียงว่าประธานบริษัทที่รับผิดชอบดูแลธุรกิจ เป็นเพียงผู้เชี่ยวชาญการดูแลธุรกิจที่จ้างมาเท่านั้น ไม่ใช่นายใหญ่ที่อยู่เบื้องหลังจริง

จุดนี้ทำให้หลินอิ่งรู้สึกสนใจ หลังเสิ่นซานรายงานตำแหน่งแล้ว ก็ให้คนไปที่ท่าเรือระเบิดโกดังสินค้าของลาตินกรุ๊ป เป้าหมายก็คือบีบให้คนที่อยู่เบื้องหลังออกมา

ตีงูต้องตีเจ็ดนิ้ว ไม่อย่างนั้นวนเวียนอยู่แต่กับผู้จัดการหลายคน ไม่มีประโยชน์

คิดไป ลิฟต์ก็มาถึงชั้น28 ติ๊งต่อง ประตูลิฟต์เปิด

งานเลี้ยงในชั้น28 ล้วนเป็นชายหญิงวัยกลางคนที่แต่งตัวสง่า เดินอยู่บนพรมแดง ตกแต่งอย่างหรูหรา บนโต๊ะยาวทุกโต๊ะมีไวน์ราคาแพงวางอยู่ ยังมีพนักงานต้อนรับคอยให้บริการอย่างมืออาชีพ

เครื่องประดับ ยารักษาโรค อสังหาริมทรัพย์ การเงิน คนใหญ่คนโตในแต่ละสาขาอาชีพของเมืองชินหยูน นี่ก็คือแวดวงในการขยายความสัมพันธ์ทางธุรกิจของตัวเอง

หลินอิ่งเห็นตำแหน่งที่จางฉีโม่อยู่ เดินเข้าไป

จางฉีโม่ครอบครัวสามคน นั่งอยู่ในโต๊ะเดียวกัน บนโต๊ะมีของว่างที่จัดอย่างประณีตและไวน์สองขวด

ตรงข้างทั้งสามคน ยังมีชายวัยกลางคนในชุดสูทนั่งอยู่ มีความรู้สึกของนักธุรกิจ

“หลินอิ่ง ไม่มีชุดสูทที่ดูดีสักนิดเลยเหรอ? ทำไมถึงแต่งตัวสภาพแบบนี้มา?” ลู่หย่าฮุ่ยทำสีหน้ารังเกียจมองไปที่หลินอิ่ง อย่างอารมณ์เสีย

หลินอิ่งไม่อยากพูดกับเธอ นั่งลงไปอย่างนั้น

“คนนี้คือ?” ชายวัยกลางคนมองหลินอิ่งไปสักพัก แล้วถาม

“คนนี้เป็นผู้ช่วยของลูกสาวฉัน แซ่หลิน”

จางฉีโม่ยังไม่ได้พูด ลู่หย่าฮุ่ยก็พูดก่อน

“ผู้ช่วยหลิน สวัสดี ผมเป็นประธานบริษัทภาพยนตร์และโทรทัศน์เฉียนเว่ย หูซิง” หูซิงยิ้มพูดแล้วยื่นนามบัตรไป

หลินอิ่งพยักหน้า รับนามบัตรมาโดยไม่พูดอะไรเลย

“ประธานจาง ข้อเสนอของบริษัทเราก็พูดหมดแล้ว คุณพิจารณาแล้วหรือยัง?” หูซิงพูดจริงจัง “ครั้งนี้เป็นดาราที่ดังที่สุดของบริษัทเรา หูจินวั่งมาถึงเมืองตุงไห่ มีเวลาพอดี สามารถช่วยบริษัทของพวกคุณโฆษณาอย่างได้ผลที่ดีแน่นอน”

จางฉีโม่สีหน้าลังเล เหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่าง

ความจริงแล้วเธออยากหาบริษัทภาพยนตร์ที่มีความเชี่ยวชาญด้านเครื่องประดับมาช่วยทำโฆษณามากกว่า ถ้าดีที่สุดให้ถ่ายทำเป็นแบบสารคดี ไม่ได้อยากใช้ดาราโด่งดังแบบนั้น เพราะว่านี่เป็นการโฆษณาเครื่องประดับมูลค่าสูง ไม่ใช่สินค้าราคาถูก ดาราคนนั้นอาจจะมีคนชอบมากมาย แต่อาจจะไม่ได้รับผลตอบรับแบบที่ต้องการ

“ไอ้หยา ดาราของบริษัทคุณคือหูจินวั่งเหรอ? ฉันเคยได้ยินชื่อเขา คนที่ออกทีวีบ่อยๆใช่ไหม? มีชื่อเสียงมาก” ลู่หย่าฮุ่ยพูดอย่างสีหน้าระรื่นดีใจ

“ฉีโม่ เลือกบริษัทนี้เลย แม่ว่าต้องดีแน่นอน” ลู่หย่าฮุ่ยพูด

จางฉีโม่ลังเลนิดหนึ่ง พูด “งั้นก็ได้ ทางบริษัทให้คุณหูจินวั่งมาคุยเรื่องรายละเอียดของสัญญาก่อน”

“ได้ครับ ประธานจาง ผมไปเรียกคุณจินวั่งมาเดี๋ยวนี้ ขอให้พวกเราร่วมมือกันอย่างมีความสุข” หูซิงยิ้มพูด รีบลุกขึ้นแล้วโทรศัพท์

“ฉีโม่ ใช่แล้ว ฉันบอกให้เธอบอกหลินอิ่งเอาของขวัญมาด้วยไม่ใช่เหรอ? ทำไมเรื่องแค่นี้ก็ทำไม่ได้?” ลู่หย่าฮุ่ยมองหลินอิ่งมามือเปล่า สีหน้าไม่ค่อยดี “ได้ยินว่าครั้งนี้ประธานเจียงฉีก็มา เขาช่วยหาเงินลงทุน ก็ไม่รู้จักเอาของขวัญมาขอบคุณ ขยายความสัมพันธ์หน่อย?”

“ใช่ เดี๋ยวประธานเจียงมา ใส่แบบนี้ก็ไม่อายสักนิดเลยเหรอ พวกเรารู้สึกขายหน้า”

จากนั้น ลู่หย่าฮุ่ยกับจางซิ่วเฟิงก็ต่อว่าหลินอิ่งอย่างไม่จบไม่สิ้น

หลินอิ่งทำเหมือนไม่ได้ยิน แทน้ำชามาดื่ม

เขารอเจียงฉีอยู่จริง แต่ว่ารอเจียงฉีมาเพราะมีเรื่องจะสั่งเขาทำ

ไม่นาน หูซิงกับชายหนุ่มหน้าตาดีคนหนึ่งเดินมา

ชายหนุ่มแต่งตัวลวดลายฉูดฉาด แบรนด์เนมทั้งตัว แบบตะวันตกผสมกับเสื้อแบบโบราณ แยกไม่ออกว่าเป็นสไตล์แบบไหน แต่ดูแล้วก็ทันสมัยดี

“คุณหูจินวั่ง สวัสดีค่ะ” จางฉีโม่ทักทายอย่างเกรงใจ

“ประธานจาง สวัสดีครับ คุณสวยกว่าที่ผมคิดไว้เยอะเลย” หูจินวั่งพูด สายตาประกายตอนมองไปที่จางฉีโม่ รู้สึกแปลกใจ

จากนั้น ก็กวาดสายตามองหลินอิ่งกับคนอื่น ความมั่นใจบนใบหน้าที่ปกปิดไม่ได้

“เป็นคุณหูจินวั่งจริงๆ ดาราดัง” ลู่หย่าฮุ่ยสีหน้าตื่นเต้น คิดไม่ถึงว่าตอนนี้ฉีโม่จะเชิญดาราทีวีมาร่วมงานกันได้

“คืออย่างนี้ครับ ประธานจาง ได้ยินว่าคุณอยากร่วมงานกับผม?” หูจินวั่งพูดเสียงเรียบ สีหน้าหยิ่งยโส “ส่วนตัวไม่ชอบสถานที่เสียงดังวุ่นวาย อยากคุยเรื่องร่วมงานกัน พวกเรากินไปด้วยคุยไปด้วยดีกว่า ผมจองห้องอาหารไว้แล้ว หวังว่าคุณจะแต่งตัวทันสมัยหน่อย ผมก็ไม่ชอบงานเลี้ยงที่ไร้รสนิยม”

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

นิยายแนะนำ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท