ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 179 ผมถ่ายโฆษณาให้ฟรี

บทที่ 179 ผมถ่ายโฆษณาให้ฟรี

บทที่ 179 ผมถ่ายโฆษณาให้ฟรี

“หา? ประธานเจียง ทำไมถึงโกรธครับ?”

หูจินวั่งถูกเจียงฉีทำให้อึ้ง ท่าทางตกใจแต่ยังฝืนยิ้ม

ไม่เข้าใจว่าทำไมเจียงฉีถึงต้องด่าเขา

แต่ว่า คนฐานะอย่างเจียงฉี คนระดับหนึ่งในแวดวงธุรกิจเมืองตุงไห่ ไม่ใช่คนที่เขาจะมีเรื่องได้ โดนด่าแล้วก็ยังต้องยิ้มเหมือนหมา

“กล้าโอหังต่อหน้าประธานจางกับประธานหลิน? คิดว่าตัวเองโด่งดังมากใช่ไหม? มีความสามารถแค่ไหนในใจไม่รู้เหรอ? หมาชัดๆ” เจียงฉีด่ายังไม่เกรงใจ จ้องหน้าหูจินวั่ง

ไม่รู้ที่ต่ำที่สูง คนแบบหูจินวั่ง ก็แค่ใช้เงินสร้างภาพ ถึงเป็นแค่หมาตัวเดียวก็ทำได้ ก็เป็นแค่หมาที่คล้องเชือกที่คอเท่านั้น ยังกล้าโอหังต่อหน้าประธานหลิน? โดยเฉพาะยังอยู่ในงานแบบนี้ วันนี้ไม่ซ้อมจนหน้าบวม ตัวเองจะเอาหน้าที่ไหนไปเจอประธานหลิน?

“นี่มัน ประธานเจียง ผมทำอะไรผิดเหรอครับ?” หูจินวั่งพูดด้วยสีหน้าหวาดกลัว ตกใจจนเหงื่อท่วมหน้าผาก ไม่รู้ว่าทำอะไรให้เจียงฉีโกรธ เข้ามาก็ด่าไม่หยุด

“ยืนไปฝั่งโน้น ที่นี่ไม่ใช่ที่ให้นายมาพูด”

เจียงฉีตะโกนด่า ทำให้หูจินวั่งตกใจจนยืนไปอีกฝั่งอย่างเชื่อฟัง

“ประธานเจียง ประธานหลิน” เจียงฉีสีหน้ายิ้มแย้มมองไปที่หลินอิ่งกับจางฉีโม่ ทักทายอย่างมีมารยาท

“ประธานเจียง” จางฉีโม่ตอบอย่างเกรงใจ

“ท่านนี่คือ? เจียงฉี ประธานเจียงหรือ?” ลู่หย่าฮุ่ยถามอย่างอยากรู้เห็น “ประธานเจียง ครั้งที่แล้วต้องขอบคุณมาก ที่ช่วยฉีโม่ของเรา”

“ประธานเจียง มีเวลาทานข้าวด้วยกันสักมื้อไหมครับ” จางซิ่วเฟิงยิ้มหน้าบานพูด

ทั้งสองรู้สาเหตุที่ลูกสาวได้ขึ้นเป็นประธานบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สำหรับเทพแห่งเงินทองอย่างเจียงฉีคนนี้ ต้องพูดว่าเคารพอย่างยิ่ง

“ประธานเจียง คุณหาฉันมีธุระอะไรไหมคะ?” จางฉีโม่ถามจริงจัง

ถึงแม้ครั้งที่แล้วเธอกับเจียงฉีได้คุยเรื่องธุรกิจแล้ว แต่สำหรับนิสัยของเจียงฉีเธอไม่ค่อยรู้นัก ไม่ได้คุยอะไรมาก รู้เพียงว่ามีความสัมพันธ์กับหลินอิ่งอย่างแน่นแฟ้น

“ความจริงก็ไม่มีอะไร แค่เดินผ่าน เห็นคนอวดดี ทนดูไม่ได้” เจียงฉีพูดอย่างใจเย็น ให้หางตามองหูจินวั่ง ทำให้เขารู้สึกตัวสั่น สีหน้าตกใจกลัว

“ขอโทษครับ ประธานจาง เรื่องเข้าใจผิดเมื่อครู่ ผมดื่มเยอะไปหน่อยเลยพูดไม่คิด” หูจินวั่งไม่ลังเลแม้แต่น้อย รีบพนมมือไหว้ขอโทษจางฉีโม่ สีหน้าจริงจัง ไม่เสียที่เป็นนักแสดง

พอเขาเห็นขุมทรัพย์อย่างเจียงฉีความสัมพันธ์กับจางฉีโม่แน่นแฟ้นขนาดนี้ ก็รู้จักอ่อนข้อขอโทษทันที

คนฐานะสูงส่งแบบนี้ทำให้โกรธไม่ได้

จางฉีโม่สีหน้าปกติ ไม่ได้สนใจสีหน้าเปลี่ยนไปมาของหูจินวั่ง

“ประธานจาง ผมว่า ได้ร่วมมือกับบริษัทคุณเป็นเรื่องที่ดี เรามาคุยเรื่องการเซ็นสัญญากันดีกว่า” หูจินวั่งยิ้ม เปลี่ยนคำพูดทันที

ชัดเจนมาก เจียงฉีด่าขนาดนี้แล้ว ถ้ายังไม่เจียมตัวอีกเกรงจะไม่ดีแน่

“ฉันให้นายพูดแล้วเหรอ?” เจียงฉีมองหูจินวั่งสายตาเย็นชา

รอยยิ้มของหูจินวั่งแข็งทันที แต่ก็ยังฝืนยิ้ม

เจียงฉีมองไปที่หลินอิ่ง ถาม “ประธานหลิน มีเวลาดื่มชาไหมครับ?”

หลินอิ่งพยักหน้า ลุกขึ้นเดินไป

เจียงฉีเดินตามหลังไป มองหูจิงวั่งเย็นชา “นายไปที่ห้องรับรองไห่หยางกรุ๊ปเดี๋ยวนี้”

“ได้ ได้ครับ ประธานเจียง ผมไปเดี๋ยวนี้เลย” หูจินวั่งรีบพยักหน้า เดินตามหลังไป

“อะไรกันเนี่ย? ลูกสาว ทำไมประธานเจียงถึงเชิญหลินอิ่งดื่มชา ทำไมไม่เชิญลูก” ลู่หย่าฮุ่ยมองไปที่จางฉีโม่ ถามอย่างสงสัย

มันน่าแปลกมา ที่มหาเศรษฐีอย่างเจียงฉีเดินมา เพียงเพื่ออยากเชิญหลินอิ่งดื่มชา? เขามีสิทธิ์เหรอ ควรที่จะเชิญฉีโม่ไปไม่ใช่เหรอ?

“ไม่รู้ หลินอิ่งกับประธานเจียงอาจจะมีเรื่องงานต้องคุยกัน” จางฉีโม่พูด

“เฮ้อ ฉีโม่ แม่จะบอกนะ อย่าให้โอกาสดีๆแบบนี้ถูกหลินอิ่งแย่งไปละ ขุมทรัพย์อย่างประธานเจียง ลูกต้องเข้าไปประจบไว้…..” ลู่หย่าฮุ่ยสั่งสอนขึ้นมา เท่าที่เธอดูฉีโม่คงทำอะไรไม่เป็น ขนาดหลินอิ่งยังรู้จักไปประจบ

จางฉีโม่ส่ายหัว ไม่อยากพูดมาก เธอรู้ว่าหลินอิ่งกับเจียงฉีเป็นเพื่อนกันอยู่แล้ว ครั้งที่แล้วก็บอกกับพ่อแม่แล้วว่าเป็นเพราะหลินอิ่งช่วยแนะนำเพื่อนให้รู้จัก ทั้งสองก็ไม่เชื่อ……

คิดว่าไม่ว่าจะพูดยังไง พวกเขาสองคนก็ไม่มีวันเชื่อว่าหลินอิ่งจะมีความสามารถแบบนี้

จากการนำทางของเจียงฉี หลินอิ่งมาถึงออฟฟิศที่ตกแต่งอย่างสวยหรู นั่งรถไปบนเก้าอี้ประธาน

หูจินวั่งก็เดินตามเจียงฉีเข้าไป

“หลินอิ่ง แกรู้มารยาทหรือเปล่า? ประธานเจียงยังไม่นั่ง แกก็ไปนั่งบนเก้าอี้ประธาน?”

หูจินวั่งพูดอย่างไม่พอใจ “ประธานเจียงไว้หน้าแก แต่แกกลับไม่เอาหน้าอีกเหรอ?”

หูจินวั่งก็ดูออกแล้ว หลินอิ่งกับประธานเจียงต้องมีธุรกิจไปมาหาสู่กันอยู่แล้ว แต่กลับไปนั่งบนเก้าอี้ประธานของเจียงฉี? กับฐานะไร้น้ำยาแบบนี้ ต่างกันราวฟ้ากับกินกับประธานเจียง พฤติกรรมแบบนี้ไร้การศึกษาจริงๆ

หลินอิ่งดื่มชาไปคำหนึ่ง คนปัญญาอ่อนแบบนี้จนถึงขนาดนี้แล้วยังแยกแยะสถานการณ์ไม่ออก ไม่รู้ว่าพึ่งอะไรอยู่จนถึงทุกวันนี้ได้

“หลินอิ่ง แกปัญญาอ่อนเหรอ? ยังไม่หลีกทางให้ประธานเจียงอีก?” หูจินวั่งด่า จากนั้นก็ยิ้มแย้มใส่เจียงฉี “ประธานเจียง ให้ท่านต่อว่ามันเองจะลดตัวเกินไป ผมจัดการให้เอง?”

เพียะ

เจียงฉีตบหน้าหูจินวั่งอย่างแรง ตบจนเขางงไปทันที แต่หน้าก็ยังยิ้มต่อ

“นี่? ประธานเจียง ท่านจะทำเกินไปหน่อยไหม?” หูจินวั่งโกรธแต่ไม่กล้าพูดตรงๆ สีหน้าอาบอาย

ไม่ว่ายังไงก็เป็นดาราดังในสายตาผู้ชม ไปถึงไหนก็มีแต่แฟนๆคอยยกย่อง ตอนนี้ถูกตบหน้าจนรู้สึกโกรธมาก

“เกินไป? ท่าทางอย่างกับหมา แกคิดว่าแกเป็นใคร?” เจียงฉีพูดอย่างไม่แยแส “หรือว่ามีแฟนในอินเทอร์เน็ตมากมายคอยสร้างกระแสให้ เลยทำให้อวดดี? ใครเป็นพ่อก็ไม่รู้แล้ว? เชื่อไหมว่าแค่ฉันโทรศัพท์ไปให้ประธานกรรมการหลี่ ให้แกเป็นหมาเร่ร่อนในข้ามคืน?”

ถ้าไม่ใช่เพราะจะลากตัวหูจินวั่งมาให้ประธานหลินจัดการ คนแบบนี้ไม่มีสิทธิ์มาคุยกับตัวเองด้วยซ้ำ

“ผม……” หูจินวั่งสีหน้าซีดเซียว ขอร้อง “ประธานเจียง ผมขอโทษ อย่าโทรหาประธานกรรมการหลี่นะครับ”

“ประธานหลินเป็นแขกพิเศษของผม รีบไปขอโทษประธานหลินเดี๋ยวนี้ ถ้าเขาไม่พอใจ เส้นทางดาราของแกจบแน่” เจียงฉีพูดอย่างรังเกียจ แล้วมองนาฬิกา “ให้เวลาแกหนึ่งนาที จากนั้นก็ไสหัวไป”

“หา? ประธานหลิน?” หูจินวั่งมองหลินอิ่งอย่างไม่อยากเชื่อ หลินอิ่งมีความสัมพันธ์กับประธานเจียงหนาแน่นขนาดนี้?

หนึ่งนาที? หูจินวั่งรู้สึกกังวลอย่างหนัก ถ้าเดินออกไปแบบนี้ ชีวิตเขาต้องจบแน่นอน

หูจินวั่งท่าทางน่าสงสาร เดินไปข้างหน้าหลินอิ่งก้มหน้า พูด “ประธานหลิน ผมขอโทษ ผมผิดไปแล้ว ช่วยผมพูดกับประธานเจียงหน่อย ให้โอกาสผมสักครั้ง ผมยอมถ่ายทำโฆษณาให้บริษัทคุณฟรี

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท