ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 181 ราคาสองเท่า

บทที่ 181 ราคาสองเท่า

บทที่ 181 ราคาสองเท่า

“โอ้? คนที่มาคือประธานเจียงแห่งไห่หยางกรุ๊ปนั่นเอง ครั้งที่แล้วบอกว่าจะต้องเอาชนะอย่างแน่นอนไม่ใช่เหรอ แต่สุดท้ายก็ถูกลาตินกรุ๊ปฉกโครงการของเมืองเทคโนโลยีไป?” นักธุรกิจอีกคนพูดพร้อมกับเยาะเย้ย

“มันพูดไม่ถูกเลย ใครจะรู้ว่าครั้งนี้ประธานเจียงมีเงินทุนที่เพียงพอหรือไม่ และจะมาเอาคืนกับความสูญเสียที่เคยประสบในครั้งที่แล้วกลับคืนมา”

“พูดเรื่องตลกอะไร คราวนี้เป็นโครงการพลาซ่าเชิงพาณิชย์ขนาดใหญ่ในเมืองเทคโนโลยี ซึ่งมีขนาดใหญ่กว่าครั้งที่แล้ว แม้โครงการของครั้งที่แล้วเจียงฉียังไม่มีเงินเพียงพอ ครั้งนี้จะสามารถสู้กับลาตินกรุ๊ปได้หรือ?”

มีเสียงพูดคุยกันมากมายในห้องประชุม สีหน้าของเจียงฉีไม่ดีเลยสักนิด และก็มืดมนลง

เหตุการณ์ของครั้งที่แล้วทำให้เกิดความโด่งดังอยู่ในวงการธุรกิจของเมืองตุงไห่มาก ทำให้อับอายขายหน้าโดยตรงอยู่ในสถานที่ กระทบต่อศักดิ์ศรีของเขาและศักดิ์ศรีของไห่หยางกรุ๊ปอย่างรุนแรง

ในตอนนี้ตัวตลกประเภทไหนก็กล้าที่จะกระโดดออกมาล้อเลียนเขาแล้ว แน่นอนว่า คนเหล่านี้ต้องทำหน้าที่เป็นสุนัขที่เชื่อฟังของลาตินกรุ๊ป

“ประธานหลิน เรื่องในครั้งที่แล้วผมจัดการได้ไม่ดี ทำให้บริษัทอับอายขายหน้าแล้ว” เจียงฉีก้มศีรษะลงและกล่าว ด้วยสีหน้าแดงเด็กน้อย เป็นเรื่องน่าละอายจริงๆ ที่ให้ประธานหลินเห็นสถานการณ์เช่นตอนนี้

อย่างไรก็ตาม ไห่หยางกรุ๊ปก็เป็นทรัพย์สินของประธานหลิน เขาเป็นผู้ช่วยดูแลธุรกิจของตระกูลประธานหลิน ผลที่ตามมาคือทำให้ชื่อเสียงเป็นเช่นนี้ และความอัปยศในใจของเขาก็สามารถจินตนาการออกได้

หลินอิ่งมองตามปกติ และตบไหล่ของเจียงฉีเบาๆ

“เรื่องที่มันผ่านไปแล้วก็ไม่ต้องพูดถึงมันแล้ว คราวนี้ต้องเอาชนะให้ดีๆ”

“ครับ ประธานหลิน” เจียงฉีพยักหน้าอย่างเคร่งเครียด

ในขณะนี้ ทุกคนที่อยู่ในห้องรับแขกต่างก็เข้านั่งในตำแหน่งที่นั่ง และทีมนักธุรกิจก็เข้าไปในห้องเหมานักธุรกิจของตน

ห้องเหมานักธุรกิจนับสิบกว่าห้อง สามารถมองเห็นสถานการณ์ในสถานที่ ผ่านหน้าต่างกระจกแบบพิเศษได้

พิธีกรหญิงในวายกลางที่มีสไตล์ยอดเยี่ยมเดินขึ้นเวทีสูงที่ปูเต็มไปด้วยพรมแดง ถือเอกสารจำนวนมากอยู่ในมือ หันหน้าไปทางตำแหน่งที่นั่ง ยกไมโครโฟนขึ้นมาและกล่าวอย่างจริงจังว่า “ตัวแทนเจ้าของครัวเรือนแห่งเมืองเทคโนโลยีทุกท่าน แชโบลผู้ลงทุนสำคัญสำหรับโครงการในครั้งนี้มาถึงแล้ว และพวกคุณสามารถเสนอราคาของตัวเองออกมา และสื่อสารกันได้”

หลังจากพูดจบแล้ว พิธีกรหญิงก็มองไปที่ฝูงชนด้วยสีหน้าเคร่งขรึม และไม่ได้พูดอะไรต่อเลย

การเสนอราคาในครั้งนี้มีลักษณะเป็นการส่วนตัวตามพื้นบ้าน

แผนขนาดใหญ่ของโครงการเมืองเทคโนโลยีลาตินกรุ๊ปเป็นผู้จัดขึ้นมา ในครั้งที่แล้วก็ซื้อสิทธิในการพัฒนาที่ดินของอาคารเก่าไปหลายหลัง ในครั้งนี้ก็รวมตัวเจ้านายรายใหญ่ของเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ในบริเวณใกล้เคียง เพื่อดำเนินการซื้อกิจการ

ผู้ที่นั่งอยู่ในตำแหน่งที่นั่ง เป็นเจ้าของรายใหญ่ที่อยู่ใกล้กับแผนโครงการเมืองเทคโนโลยี ซึ่งถือสิทธิในการพัฒนาและอสังหาริมทรัพย์จำนวนมากอยู่ในมือ

แน่นอนว่า พวกเขาไม่สามารถพัฒนาได้ด้วยทรัพยากรทางการเงินของตัวเองได้ หากพวกเขาสามารถร่วมมือกับแชโบลที่ตั้งใจจะพัฒนาโครงการ พวกเขาก็จะมีกำไรที่สูงขึ้นตามธรรมชาติ

“ประธานหลิน นี่เป็นแผนงานของผม ในครั้งนี้ ผมวางแผนโครงการเมืองโลก ซึ่งอยู่ติดกับเมืองเทคโนโลยีของลาตินกรุ๊ป และเล่นเกมแห่งการแข่งขันกัน” เจียงฉีพูดอย่างเคร่งเครียด และยื่นเอกสารไปให้หนึ่งชุด

หลินอิ่งรับเอกสารไปอย่างเงียบๆ หยิบถ้วยน้ำชาพอร์ชเลนสีขาวขึ้นมาและดื่ม และมองดูเอกสารในมือของเขา

นี่เป็นแผนโครงการแบบได้มาตรฐานหนึ่งฉบับ เจียงฉีลงมือจัดทำขึ้นมาเอง มหาวิทยาลัยที่เขาจบมาก็มีพื้นฐานทางวิชาชีพในด้านนี้อยู่แล้ว และบวกกับเขาต่อสู้อยู่ในวงการธุรกิจมานานหลายปี งานเขียนได้มาตรฐานและเป็นระเบียบมาก นี่ยังเป็นการแสดงถึงสามารถของเขาด้วย

แผนงานของเจียงฉีคือการสร้างอสังหาริมทรัพย์แบบเมืองโลก ซึ่งมีธุรกิจทางด้านบันเทิงแบบลูกโซ่และธุรกิจการบริการนำเข้าและส่งออกสินค้า เพื่อนำมาแข่งขันกับเมืองเทคโนโลยีของลาตินกรุ๊ปบนโต๊ะ

หลินอิ่งวางถ้วยน้ำชาลง และพูดอย่างจางๆว่า “หนังสือโครงการฉบับนี้ดีมาก สามารถดำเนินการตามแผนนี้ได้เลย”

“ขอบคุณครับประธานหลิน” เจียงฉีพยักหน้าอย่างเป็นทางการ และสามารถได้รับคำชื่นชมของประธานหลิน เขารู้สึกดีใจมาก ยังไงประธานหลินก็เป็นผู้ลงทุนด้านการเงินและอำนาจ โดยปกติแล้วเขาจะไม่สนใจเรื่องใดๆ ในเวลาที่เหมาะสม เขาก็ควรจะแสดงให้ประธานหลินเห็นถึงระดับความสามารถของตัวเองบ้าง

“เพียงแต่มีอยู่จุดหนึ่งที่ไม่ค่อยดี โครงการที่คุณวางแผนนั้นมันเล็กเกินไป จะทำโครงการ ก็ต้องให้มันใหญ่” หลินอิ่งพูดอย่างจางๆ “ขยายพื้นที่เพิ่มเป็นสามเท่า จะต้องให้มันมีพื้นที่ใหญ่กว่าเมืองเทคโนโลยีของลาตินกรุ๊ป”

“ขยายเพิ่มเป็นสามเท่างั้นเหรอ?” สีหน้าของเจียงฉีดูตกใจมาก แผนโครงการของเขาฉบับนี้ถือว่าใหญ่มากพอสมควรแล้ว คาดว่าการลงทุนในกองทุนเพื่อการพัฒนาจะมีมูลค่าเกือบ 3 พันล้าน จากนั้นใช้ทรัพยากรเครือข่ายเพื่อรวบรวมบริษัทจากทุกสาขาอาชีพเพื่อย้ายเข้ามา

แต่ไม่ได้คาดคิดเลยว่า ประธานหลินจะรู้สึกว่ามันยังเล็กเกินไป ขยายเพิ่มขนาดพื้นที่เป็นสามเท่า นั่นก็คือโครงการที่มีพื้นฐานการลงทุนหลักแสนล้านเลยทีเดียว! นี่มันจะเป็นสิ่งอลังการงานสร้างขนาดไหนกัน?

“ครับ! ประธานหลิน อันนี้ไม่มีปัญหาครับ ผมจะกลับไปวางแผนใหม่อีกครั้ง” เจียงฉีพูดด้วยความตื่นเต้น มีประธานหลินเป็นผู้หนุนหลัง แล้วลาตินกรุ๊ปมันก็ไม่ใช่อะไรเลย

หลินอิ่งพยักหน้าเล็กน้อย “เอาล่ะ การเสนอราคาในครั้งนี้ คุณสามารถเสนอราคาได้อย่างมั่นใจเลย”

ขณะที่ทั้งสองกำลังคุยกัน และตัวแทนเจ้าของกิจการที่นั่งอยู่ในห้องโถงก็เริ่มรอไม่ไหวแล้ว ทุกคนมีสีหน้าวิตกกังวลมาก

“ทุกท่าน ชิ่งเหลียงกรุ๊ปของเรามีพลาซ่าเชิงพาณิชย์สามแห่งถัดจากเมืองเทคโนโลยี และสิทธิในการพัฒนาและการใช้งานของชุมชน 5 แห่ง สิ่งเหล่านี้เป็นทรัพยากรแบบบูรณาการ เจ้าของกิจการรายใหญ่ทั้งหมดได้เจรจากันไว้แล้ว และให้ชิ่งเหลียงกรุ๊ปของเรามีอำนาจเต็มในการเสนอราคา ในฐานะที่เป็นตัวแทน” ชายวัยกลางคนในชุดสูทเป็นทางการ ลุกขึ้นยืนและพูดอย่างจริงจัง

ชิ่งเหลียงกรุ๊ปยังเป็นหนึ่งในบริษัทอสังหาริมทรัพย์อันดับต้นๆในเมืองตุงไห่ ในครั้งนี้มีแผนที่จะเข้าร่วมในสงครามธุรกิจระหว่างลาตินกรุ๊ปและไห่หยางกรุ๊ป แน่นอนว่า นักธุรกิจนั้นเน้นผลกำไรเป็นหลัก ใครที่ให้เงินเยอะกว่า และให้ผลประโยชน์ที่เยอะกว่า ก็เดินตามฝั่งนั้นไป

“ประธานเจ้าแห่งชิ่งเหลียงกรุ๊ปใช่หรือไม่? ลาตินหรุ๊ปของเรามีแผนมานานแล้ว ตอนแรกเราลงทุน 2 พันล้านเป็นทุนพื้นฐาน แผนทั้งหมดคาดว่าจะลงทุน 5 พันล้าน หลังจากสร้างเมืองเทคโนโลยีเสร็จผู้ขายในช่องทางทั้งหมด จะได้รับการจัดหาโดยลาตินกรุ๊ปของเรา เจ้าของกิจการอย่างพวกคุณไม่ต้องแบกรับความเสี่ยงใดๆเลย”

หญิงสาวผมบลอนด์ที่เคยล้อเลียนเจียงฉีมาก่อน ยืนอยู่บนราวบันไดชั้นสอง พร้อมไวน์แดงหนึ่งแก้วในมือของเธอ และกล่าวอย่างมั่นใจ

“คุณลี่น่านั้นเป็นคนใจกว้างนัก เงินลงทุนที่คาดการณ์ประมาณ 5 พันล้าน! สมกับเป็นตัวแทนของลาตินกรุ๊ปเลยจริงๆ! ทรัพยากรทางการเงินแข็งแกร่งมาก!” ผู้คนในที่นั่งพูดเอาใจขึ้นมา

หลังคำพูดนี้ออกมา ผู้คนทั้งหมดที่อยู่ในสถานที่ก็มองไปที่ห้องเหมาของไห่หยางกรุ๊ปที่อยู่ชั้นบน ด้วยสายตาที่คาดหวัง

เนื่องจาก ในวงการธุรกิจทั้งหมดของเมืองตุงไห่ ไม่มีบริษัทไหนกล้าที่จะแข่งขันกับลาตินกรุ๊ปเลย มีเพียงไห่หยางกรุ๊ปเท่านั้นที่เป็นคู่แข่ง

“ประธานหลิน นี่ จะต้องจัดการอย่างไร?” เจียงฉีถามด้วยการแสดงออกที่สงสัยและลังเลบนใบหน้าของเขา

ลาตินกรุ๊ปนั้นร่ำรวยและมีอำนาจมาก แผนการลงทุนห้าพันล้านถูกโยนออกมาโดยตรง และผลกระทบนั้นรุนแรงเกินไป นี่จะต้องเซ็นสัญญาแบบลายลักษณ์อักษรเลยนะ ไม่ใช่แค่สโลแกนด้วยปากเปล่าเพียงอย่างเดียว

“คุณสามารถเสนอราคาเป็นสองเท่าของเธอได้” หลินอิ่งกล่าวอย่างใจเย็น

สิทธิในการพัฒนาโครงการขนาดใหญ่ ไม่เหมือนกับสินค้าโภคภัณฑ์ ซื้อแล้วอาจจะขาดทุนได้ ถึงยังไงมันก็ไม่มีวันขาดทุนเลย หรือแม้กระทั่งทำกำไรได้มากมาย

สิ่งที่สำคัญที่สุด คือจะต้องปราบปรามความเย่อหยิ่งของลาตินกรุ๊ป มิฉะนั้นเมื่อไห่หยางกรุ๊ปสูญเสียความเชื่อถือไป ก็อยู่ในวงการธุรกิจได้อย่างยากลำบากแล้ว

“คุณลี่น่า โครงการลาตินกรุ๊ปของพวกคุณมันดูจิ๊บจ้อยเกินไป ไห่หยางกรุ๊ปของเราคาดว่าจะมีการลงทุนในโครงการหมื่นล้าน เรื่องอื่นๆทั้งหมดเจ้าของธุรกิจไม่ต้องคิดถึงเลย เพียงแค่นั่งรอรับเงินอย่างเดียวเท่านั้น” เจียงฉีเดินออกจากห้องเหมา เต็มไปด้วยความมั่นใจ และมองไปที่ผู้หญิงผมบลอนด์อย่างเย็นชา

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท