ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 178 หยิ่งอวดดี?

บทที่ 178 หยิ่งอวดดี?

บทที่ 178 หยิ่งอวดดี?

“คุณหู คุณพูดอะไร?” จางฉีนโม่พูดขมวดคิ้ว รู้สึกโมโหกับท่าทางไร้มารยาทนี้

หูจินวั่งท่าทางไม่ใส่ใจ ยิ้มแล้วพูดว่า “ประธานจาง คุณจะเชิญผมไปช่วยบริษัทคุณเป็นพรีเซนเตอร์ ถ่ายทำโฆษณาไม่ใช่เหรอ?”

“คุณต้องรู้ด้วย ว่าผมมีแฟนละครเป็นล้าน จะสร้างผลกระทบได้เยอะขนาดไหน?” หูจินวั่งพูดอย่างอวดดี “เพราะฉะนั้น คุณก็ต้องแสดงความจริงใจ? สถานที่แบบนี้ นั่งอยู่กับคนแต่งกายบ้านนอกพวกนี้ ผมไม่มีใจจะคุยเรื่องงาน”

พูดจบ หูจินวั่งก็ยิ้มให้จางฉีโม่ สายตาเป็นประกาย

หลินอิ่งสำรวจดูนายหูจินวั่ง ส่ายหัวในใจ อีกคนที่เป็นของเล่นไร้ค่าที่ใช้ทุนนิยมมาห่อหุ้มหลอกลวงผู้บริโภค

“ฉีโม่ นี่ดาราดังนะ ไปเถอะ จองห้องอาหารเรื่องเล็กนิดเดียว?” ลู่หย่าฮุ่ยพูดกล่อม “คนเขาสามารถโฆษณาสร้างผลกระทบให้กับบริษัท”

“คุณหู เราคุยเรื่องงานกันที่นี่เลย” จางฉีโม่พูดจริงจัง “ในงานเลี้ยงนี้ ฉันยังมีงานอื่นต้องคุย เป็นไปไม่ได้ที่จะล่าช้าเพียงเพราะคุณคนเดียว”

“ออ?” หูจินวั่งขมวดคิ้ว หมุนนาฬิกาในข้อมือ แล้วดู “ประธานจาง เวลาของผมก็มีค่าเช่นกัน ครั้งต่อไปคงไม่มีโอกาสแบบนี้แล้ว”

“ความจริง ประธานจาง ลำพังโครงสร้างบริษัทเครื่องประดับจางซื่อแล้ว มันไม่คู่ควรที่ผมจะไปเป็นพรีเซนเตอร์ให้เลย”

หูจินวั่งพูดเสียงเรียบ “บริษัทที่ผมเป็นพรีเซนเตอร์ให้ล้วนเป็นบริษัทชื่อดังในประเทศ มีใครที่ไม่มีชื่ออยู่ในลำดับมหาเศรษฐีของประเทศ?”

จากการสร้างภาพโฆษณาของบริษัทแล้ว หูจินวั่งก็มีแฟนละครเป็นล้าน แน่นอนแฟนบางส่วนไม่รู้ว่าจริงหรือปลอม แต่ว่าค่อนข้างมีชื่อเสียง

“ฉีโม่ ไม่จำเป็นต้องคุยกับเขา” หลินอิ่งพูดเสียงเรียบ ปฏิเสธไป

หูจินวั่งคนนี้ก็เคยได้ยินชื่อ ไม่รู้ว่าดังขึ้นมาได้ยังไง ไม่มีผลงานละครที่โด่งดัง แต่กลับโดยสื่อต่างๆยกยอขึ้นมาเอง

คนแบบนี้มาเป็นพรีเซนเตอร์ให้บริษัทเครื่องประดับ เสียเงินโดยไร้ประโยชน์ เอาเงินทำลายชื่อเสียงตัวเอง

“คุณเป็นใคร? ผมพูดกับประธานจางอยู่ คุณมีสิทธิ์อะไรมาพูดแทรก?” หูจินวั่งถามหลินอิ่งด้วยความโมโห อารมณ์ร้อน

“คุณหู ขอโทษด้วย ไม่ต้องไปสนใจเขา เขาเป็นแค่ผู้ช่วยเล็กๆคนหนึ่งเท่านั้น” ลู่หย่าฮุ่ยพูด เห็นดาราดังโกรธ ก็รีบกล่าวคำขอโทษ

“เหอะ แค่ผู้ช่วยยังกล้าพูดมาก ผมว่าไล่ออกได้แล้ว” หูจินวั่งพูดด้วยสีหน้าดูถูก

ลู่หย่าฮุ่ยพูด “คุณหู คุณดู บริษัทเรามีความจริงใจอย่างยิ่ง คุณลองดูว่าคุณมีข้อเสนออะไร พูดมาเลยค่ะ”

“ก็ได้ เห็นแก่ประธานจาง ผมก็ไม่ถือสาคนต่ำต้อยพวกนี้ก็ได้” หูจินวั่งพูดอย่างหมดอารมณ์ “ข้อเสนอเดี๋ยวผมค่อยๆพูดกับพวกคุณ ความจริงแล้วก็ง่ายนิดเดียว”

“ผมจะอยู่ที่เมืองตุงไห่แต่7วัน ต้องถ่ายทำให้เสร็จภายใน7วัน ผมต้องการบอดี้การ์ดหนึ่งคน ติดตามผม24ชั่วโมง ออ แล้วก็ผมไปไหนมาไหนต้องมีทีมนักข่าว ทีมรถรับส่งหลักล้านหนึ่งทีม โรงแรมหรูที่สุดในเมืองชินหยูน อยู่กินนอนเดินทางต้องหรูที่สุดไม่ร้องพูดมาก เป็นแค่พื้นฐาน” หูจินวั่งพูดอย่างมั่นใจ “อีกอย่าง ประธานจาง ผมต้องการให้คุณกินข้าวกับผมทั้งสามมื้อ”

สีหน้าจางฉีโม่ไม่ค่อยดี ทนฟังต่อไปไม่ไหวแล้ว นี่อวดดีจน

หลินอิ่งหัวเราะ แล้วถาม “คุณคิดว่าตัวเองเป็นใคร? ทูตแห่งประเทศ?”

น่าตลกจริง ความต้องการมากมายขนาดนี้ ความจริงแล้วเป็นแค่ตัวตลก

“นายพูดอะไร? ที่นี่นายมีสิทธิ์อะไรมาพูด?” หูจินวั่งพูดอย่างโมโห “แค่ดูนายก็รู้ว่าไม่เคยเข้าสังคมอะไรใช่ไหม? ที่ขอมาเป็นแค่พื้นฐานของผมเท่านั้น สำหรับนายแล้ว คงคิดไม่ถึงรู้สึกเสียดสีละซิ?”

“ออ? ก็ถูก เพราะว่านายกับฉันมันคนละระดับกันอยู่แล้ว ได้ยินว่านายชื่อหลินอิ่ง เป็นลูกเขยไร้น้ำยาของประธานจาง? เป็นผู้ชายที่เกาะประธานจางกินไปวันๆ?” หูจินวั่งพูดจาเสียดสี “พูดกับคุณอย่างพวกนาย มันทำให้ฉันต้องลดฐานะตัวเอง”

“หลินอิ่ง ไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับธุรกิจอะไรเลย พูดอะไรอยู่นี่?” ลู่หย่าฮุ่ยพูดสั่งสอน สีหน้าเร่งรีบ

เท่าที่เธอดู หลินอิ่งตั้งใจสร้างเรื่อง อิจฉาหูจินวั่งที่เขาเด็กกว่าและยังเป็นดาราชื่อดัง

“คุณหู ข้อเสนอที่คุณพูดมามันเยอะเกินไป อันนี้บริษัทเราให้ไม่ได้ ไม่จะเป็นต้องร่วมงานกัน” จางฉีโม่พูดอย่างเด็ดขาด ไม่ลังเลแม้แต่น้อย

ตั้งแต่นั่งตำแหน่งประธานบริษัท สำหรับเรื่องธุรกิจแล้ว เธอไม่ใช่อ่อนแอตัดสินใจอะไรไม่ได้เหมือนในชีวิตประจำวัน

“ประธานจาง คุณหมายความว่าอะไร? ดูถูกผมหูจินวั่งเหรอ?” หูจินวั่งโมโห ยิ้นเย็นชาพูดว่า “ผมไว้หน้าบริษัทเครื่องประดับจางซื่อของคุณเต็มที่แล้ว แค่บริษัทเล็กๆ ยังมาอวดดีกับผม? ถ้าไม่เห็นว่าคุณหน้าตาดี ผมจะคุยเรื่องงานกับคุณเหรอ? พวกคุณคู่ควรเหรอ?”

“ผู้จัดการ ไม่ต้องคุยกับบริษัทจางซื่อแล้ว อีกอย่าง ลงข่าวให้ผมด้วย ว่าบริษัทพวกเขาพูดจาไม่มีหยาบคาย” หูจินวั่งหันกลับไปอย่างยโส สั่งกับผู้จัดการส่วนตัว “บริษัทเครื่องประดับจางซื่อของพวกคุณอย่าคิดร่วมงานกับบริษัทไหนเลย งานที่ผมหูจินวั่งไม่รับ ไม่มีคนกล้ารับ”

“นี่? หลินอิ่ง ดูซิ ทำเสียเรื่องอีกละ” ลู่หย่าฮุ่ยพูดอย่างกระวนกระวาย ไม่รู้ว่าทำไมลูกสาวถึงได้ฟังคำพูดหลินอิ่งจัง ธุรกิจพังหมด

“แน่นอน อยากจะขอร้องผมก็ไม่ใช่ว่าจะไม่ได้ ไอ้ลูกเขยไร้น้ำยานั่นมาคุกเข่าขอโทษ ประธานจางกินข้าวกับผม แล้วขอโทษ ผมก็จะไม่ถือสา” หูจิงวั่งพูดอย่างสบายใจ

“ออ? ขอโทษคุณ?” หลินอิ่งมองหูจินวั่งอย่างสนใจ

“ผมขอพูดความจริงนะ ไอ้ขยะอย่างนาย ขอโทษผม ก็ถือว่าไว้หน้านายแล้ว” หูจินวั่งพูดอย่างดูถูก

“คุณบอกให้ใครขอโทษคุณ?”

ในเวลาเดียวกัน ชายวัยกลางคนในชุดสูทสีดำ เดินเข้ามาด้วยสีหน้าจริงจัง มองไปที่หูจินวั่ง

หูจินวั่งมองไปตามเสียงด้วยความโมโห กำลังจะระบายอารมณ์ เห็นคนที่เดินมา สีหน้าก็เปลี่ยนเป็นยิ้ม “หา? ประธานเจียงนี่เอง ประธานเจียงมีเวลาได้ยังไง?”

เจียงฉีมาแล้ว เห็นหลินอิ่งใบหน้าไร้อารมณ์กับจางฉีโม่ที่สีหน้าไม่ค่อยดี ในใจก็รู้สึกไม่ค่อยดี

ช่วงที่ประธานหลินไม่อยู่ ถูกลาตินกรุ๊ปแย่งผลกำไรไปในธุรกิจมากมาย ตอนแรกก็กลัวประธานหลินต่อว่าอยู่แล้ว อารมณ์ก็ไม่ค่อยดี วันนี้เตรียมตัวจะรายงานอย่างดี ปรากฏว่ามาเจอคนโง่ไม่รู้เรื่องอย่างหูจินวั่ง

“ประธานเจียง บริษัทจะโฆษณาอสังหาริมทรัพย์ไม่ใช่เหรอครับ? ผมยินดีถ่ายโฆษณาให้ประธานเจียงฟรีเลยครับ” หูจินวั่งพูดอย่างเอาใจ อยากเอาใจมหาเศรษฐีแห่งเมืองตุงไห่คนนี้

“คิดว่าตัวเองเป็นอะไร? ยังมาอวดดีที่นี่?” เจียงฉีด่าอย่างโมโห

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท