ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 192 แสดงละครคุกเข่า

บทที่ 192 แสดงละครคุกเข่า

บทที่ 192 แสดงละครคุกเข่า

“คุณว่าอะไรนะ? แอบถ่ายนักแสดงหญิงของทีมโปรดักชั่น?” เจียงฉีขมวดคิ้วเล็กน้อย สีหน้าเปลี่ยนเป็นไม่น่าดูอย่างยิ่ง จ้องเกาจีไท่อย่างเอาเป็นเอาตาย

หวางหงหลิงที่อยู่ด้านข้างทำท่าจะพูดจากนั้นก็หยุดไป มองหลินอิ่ง แววตาใคร่ครวญ

“ใช่ครับ! ประธานเจียง เขาแทรกซึมเข้ามาใกล้ทีมโปรดักชั่นเราเพื่อแอบถ่ายครับ!” เกาจีไท่พูดด้วยท่าทางโมโห “ผมเองก็คิดไม่ถึงเหมือนกัน ว่าจะมีของสกปรกมาที่สารเลวเช่นนี้”

“ประธานเจียง ผมรู้สึกว่าคนแบบนี้ สมควรปฏิบัติอย่างเข้มงวด ทำเป็นป้ายเตือน ไม่อย่างนั้น ต่อไปใครๆ ก็คงกล้ามาก่อกวนเมืองโลกของไห่หยางกรุ๊ปเรา!” เกาจีไท่กล่าวอย่างชอบด้วยเหตุผล

เกาจีไท่เห็นท่าทางเดือดดาลของเจียงฉี ก็ลอบลำพองใจกับตนเอง ใจอยากจะเจอประธานเจียงเพื่อให้มาดูการทำงานพอดี หลินอิ่งคนนี้คงยากจะหนีภัยพิบัติพ้นแล้ว!

ทำให้ประธานเจียงโกรธ ตนเองไม่เพียงได้ช่วยหยางลี่เลขาระบายความโกรธ แต่ยังถึงขั้นเกินกว่าที่คาดหมายด้วยซ้ำ อาศัยบารมีของประธานเจียง มาเหยียบหลินอิ่งให้จมดินสักครั้ง

ควรรู้ไว้ว่า แม้แต่ที่พึ่งของหลินอิ่งที่ลือกันภายนอก อย่างหวางหงหลิงคุณหนูใหญ่แห่งตระกูลหวาง ก็ไม่มีอำนาจใหญ่เท่าประธานเจียง!

อีกอย่างได้ยินว่าพักนี้หวางหงหลิงมีความคิดจะร่วมงานกับไห่หยางกรุ๊ป เป็นไปไม่ได้ที่จะล่วงเกินประธานเจียงเพื่อหลินอิ่งแน่ ความตายได้มาเยือนเศษสวะอย่างเขาแล้ว!

“หลินอิ่ง เห็นหรือเปล่า ประธานเจียงโกรธแล้ว!” เกาจีไท่มองหลินอิ่งด้วยท่าทีเหยียดหยาม “ตอนนี้นายขอโทษคงไม่ทันแล้ว ทางที่ดีคุกเข่ายอมรับผิดเสียเถอะ! ต่อให้เป็นคุณหนูหวาง ก็ไม่มีทางช่วยพูดให้คนต่ำช้าอย่างนายได้เช่นกัน!”

“นั่นสิ หลินอิ่ง ก่อนหน้านี้นายอวดดีต่อหน้าฉันขนาดนั้น ตอนนี้ประธานเจียงมาแล้ว นายกล้าอวดดีต่อหน้าประธานเจียงไหมล่ะ?” หยางลี่พูดด้วยท่าทางลำพองใจ ดูเหมือนจะหาที่พึ่งคนสำคัญเจอ

หลินอิ่งไม่แสดงอะไรออกมาทางสีหน้า สายตาส่งสัญญาณบางอย่างให้เจียงฉี

เจียงฉีพยักหน้าอย่างรับรู้ มองไปที่รปภ.กับพนักงานที่แบกกล้องสองสามคน พูดด้วยท่าทางน่าเกรงขามอย่างยิ่งว่า “ตอนนี้พวกคุณทุกคนแยกย้ายกันไปให้หมดเดี๋ยวนี้! เก็บกล้องทั้งหมดลงด้วย!”

ทันทีที่เจียงฉีออกคำสั่ง พนักงานระดับล่างเหล่านี้ จึงไม่กล้าพูดอะไรมากอีก ทุกคนทำตามอย่างว่าง่าย รีบไปจากที่นี่ทันที

“ประธานเจียง? ความหมายของคุณคือจะจัดการเศษสวะคนนี้ยังไงครับ?” เกาจีไท่ถามอย่างสงสัย

เพียะ!

เจียงฉีตบไปที่หน้าเขาอย่างรุนแรงทีหนึ่ง เกาจีไท่ถูกตบจนหน้าหัน แก้มบวมไปครึ่งแถบ

“ประธานเจียง คุณ คุณตบผมทำไม?” เกาจีไท่กุมหน้า ถามด้วยสีหน้าตกตะลึง

“แกหุบปากเดี๋ยวนี้!” เจียงฉีบริภาษ สองตาลุกเป็นไฟ

ช่างไม่รู้จักที่ตายจริงๆ!

เบื้องล่างมีคนโง่แบบนี้ได้ยังไง ถึงกับกล้าโวยวายต่อหน้าประธานหลิน แถมยังกล้าใส่ร้ายประธานหลินด้วย?

ทั้งไห่หยางกรุ๊ปล้วนเป็นทรัพย์สินส่วนตัวของประธานหลิน เมืองโลกก็คือโครงการใหญ่ที่ประธานหลินเป็นผู้ลงทุนเอง! พูดได้ว่า เกาจีไท่และหยางลี่คนนี้ล้วนกินข้าวของประธานหลินอยู่ ขนาดอยู่ต่อหน้าศาสดาตัวจริงก็ยังไม่รู้จักไหว้ ยังจะไปใส่ร้ายป้ายสีอีก?

“ผม……” เกาจีไท่สีหน้าซีดเผือด ในใจยังไม่เข้าใจว่าประธานเจียงตบเขาทำไม

“ประธานเจียฃ คุณอย่าโกรธไปเลยนะคะ ฉันขอโทษ เรื่องนี้เป็นความผิดของฉันเอง พวกเราบกพร่องต่อหน้าที่ ปล่อยให้เศษสวะอย่างหลินอิ่งปะปนเข้ามา” หยางลี่ขอโทษอย่างประหม่าเป็นที่สุด “พวกเราจะจัดการเจ้าหลินอิ่งคนนี้อย่างเด็ดขาดแน่นอนค่ะ!”

ในมุมมองของเธอ ที่ประธานเจียงโกรธขนาดนี้ ต้องเป็นเพราะเรื่องของหลินอิ่งทำให้ประธานเจียงรู้สึกเสียหน้าอย่างมาก ดังนั้นถึงได้โกรธ

สีหน้าเจียงฉีเย็นเยียบถึงขีดสุด “เธอเองก็หุบปากด้วย! ฉันจะบอกพวกเธอสองคนให้นะ ประธานหลินคือเพื่อนของฉัน! และเป็นคนออกทุนของโครงการเมืองโลก! พวกเธอสองคนยังกล้าใส่ร้ายประธานหลินอีก?”

“รู้ไหมว่าประธานหลินมาที่กองถ่ายทำไม? มาเพื่อสำรวจตรวจตรา? กบในกะลาอย่างนายนี่ คิดว่ามาทำอะไรล่ะ?” เจียงฉีกล่าวบริภาษ และถูกพฤติกรรมของเกาจีไท่สองคนนี้ทำให้โกรธ

ผู้สนับสนุนรายใหญ่ที่อยู่เบื้องหลังมาเบื้องล่างเพื่อตรวจดูการทำงาน ถึงกับถูกใส่ร้ายว่ามาแอบถ่ายนักแสดงหญิงเชียวหรือ?

ช่างเป็นความคิดที่ฆ่าตัวเองตายโดยแท้!

ในใจเจียงฉีเข้าใจแจ่มแจ้ง ประธานหลินสามารถประคองตัวเขาเดินมาจนถึงตำแหน่งวันนี้ได้ ก็สามารถปฏิเสธทั้งหมดที่เขามีได้ด้วยประโยคเดียวเช่นกัน!

ใครใส่ร้ายประธานหลิน ก็เท่ากับใส่ร้ายเขา และกำลังขุดฐานรากของเขา!

“อะไรนะ ประธานหลิน? เขา เขาเป็นเพื่อนของคุณประธานเจียง?”

“คนออกทุนโครงการเมืองโลก?”

เกาจีไท่กับหยางลี่ล้วนตกใจจนใบหน้าซีดเผือด รู้สึกเหมือนได้ยินเรื่องที่ยากจะเข้าใจได้

นี่ไม่ใช่กำลังล้อเล่นกันอยู่ใช่ไหม? หลินอิ่งที่ได้ชื่อว่าลูกเขยไม่ได้ความคนนี้ คือผู้ออกทุนโครงการเมืองโลก? เขามีเงินมากขนาดนี้ได้ยังไง และทำไมถึงมีสิทธิ์คบหากับประธานเจียงผู้เป็นคนแรกในวงการธุรกิจของเมืองตุงไห่ได้?

สมองของทั้งสองพลันยุ่งเหยิงไปหมด รู้สึกหวาดกลัวหาใดเปรียบ ภายในใจไม่อาจจินตนาการได้ เมื่อกี้พวกเขาทำเรื่องโง่เง่าอะไรออกไป

“หลิน ประธานหลิน……” เกาจีไท่เสียงสั่นมองไปที่หลินอิ่ง สีหน้ายากจะรับได้ถึงขีดสุด

คนทั้งสองมองไปที่ดวงตาของหลินอิ่ง เวลานี้ให้ความเคารพราวกับเทพแล้ว

“ธาตุแท้ของสองคนนี้น่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง ไม่เหมาะกับหน้าที่ในตอนนี้ คุณย้ายพวกเขาออกไปที” หลินอิ่งมองเจียงฉี กล่าวเสียงราบเรียบ

จินตนาการได้เลยว่า หากผู้ดูแลโครงการปฏิบัติต่อคนทั่วไปด้วยทัศนคติที่เลวร้ายเช่นนี้ จะส่งผลในแง่ลบอย่างไรแกไห่หยางกรุ๊ป

“ได้ ฉันจะจัดการให้พวกเขาสองคนไปอยู่ระดับล่างสุดทันที” เจียงฉีกล่าวอย่างจริงจัง

หวางหงหลิงที่อยู่ด้านข้างมองเห็นฉากนี้ ก็รู้สึกประหลาดใจอย่างยิ่ง มองหลินอิ่งด้วยดวงตาเป็นประกาย

นี่แสดงให้เห็นว่าความเคารพและนับถือของเจียงฉีค่อยๆ เติบโตขึ้นในใจ จากท่าทีทั้งหมดสามารถมองออกได้ว่า ตำแหน่งของหลินอิ่งภายในใจของเจียงฉีนั้น อยู่สูงอย่างยิ่ง

สิ่งนี้ทำให้ภายในใจเธอตกตะลึงมาก ราวกับยังคงดูถูกหลินอิ่ง เขามีความสามารถอะไรกัน ถึงขนาดทำให้เจียงฉีผู้ได้ชื่อว่ามหาเศรษฐีของตุงไห่ ยอมรับเขาอย่างหมดใจเช่นนี้

ขณะเดียวกัน ในใจหวางหงหลิงก็มีความรู้สึกยินดีที่ยากจะบรรยายชนิดหนึ่งเกิดขึ้นมาเช่นกัน อดลอบดีใจขึ้นมาไม่ได้ รู้สึกว่าผู้ชายที่ตนเองหมายตา ช่างไม่ธรรมดาจริงๆ

“ไม่! ประธานเจียง ประธานหลิน ผมผิดไปแล้ว ผมขอโทษ ผมไม่รู้ว่าประธานหลินคือเบื้องบนของบริษัท! หากรู้ล่ะก็ ผมคงไม่ทำแบบนี้……” เกาจีไท่พูดพลางส่ายหน้าอย่างขมขื่น

“จริงด้วย ประธานหลิน ฉันผิดไปแล้ว คุณอย่าลงโทษพวกเราเลยนะคะ!” หยางลี่เองก็อ้อนวอนไม่หยุดเช่นกัน สีหน้าหวาดกลัวอย่างยิ่ง

แม้พวกเขาจะนับว่าเป็นบุคคลในสังคมชั้นสูง แต่เทียบกับเจียงฉีแล้ว ไม่รู้ว่าห่างชั้นกันเท่าไหร่ คำพูดประโยคเดียว ก็สามารถเปลี่ยนชะตาชีวิตของพวกเขาได้ ทำให้พวกเขาสูญเสียตำแหน่งอันมั่งคั่งที่กำลังครอบครองอยู่ตอนนี้ไป

“ไม่รู้ก็ใส่ร้ายกันได้แล้ว?” หลินอิ่งกล่าวเสียงเย็น “หากผมไม่ใช่เบื้องบนของบริษัท พวกคุณก็ทำกับคนภายนอกเช่นนี้ได้ตามใจหรือ? ฐานภาพยนตร์ใช้ในการถ่ายทำภาพยนตร์และโทรทัศน์ เป็นที่ให้กลุ่มนักท่องเที่ยวเยี่ยมชมได้ ไม่ใช่เป็นที่ให้พวกคุณใช้แสดงอำนาจบาตรใหญ่!”

ฐานภาพยนตร์ของเมืองโลก นั่นเป็นของที่เล่นที่ตัวเองใช้เงินใช้ทองทำออกมา ก็ให้คนกลุ่มหนึ่งนำมาใช้แอบอ้างบารมี ทำวางมาดอย่างนี้หรือ?

“พวกเธอสองคน ไปรายงานตัวกับแผนกธุรการของบริษัท ฝึกงานจากตำแหน่งล่างสุดขึ้นมา บางที อาจจะไปจากบริษัทเลยก็ได้ ฉันรับรอง พวกเธอสองคนจะไม่มีทางได้อยู่ในวงการโทรทัศน์และภาพยนตร์ของประเทศหลงอีกต่อไป!” เจียงฉีกล่าวเสียงเย็น

“ผม……” สีหน้าเกาจีไท่ขมขื่นอย่างยิ่ง รู้สึกอนาคตพังทลายลงเสียแล้ว!

“ประธานเจียง ประธานหลิน ให้โอกาสผมได้ทำงานกับบริษัทอีกสักครั้งเถอะนะ ผมทำอาชีพผู้กำกับ ผมเชี่ยวชาญการถ่ายละครมาก!” เกาจีไท่ค้อมตัวอ้อนวอน

“หรือว่าในแวดวงโทรทัศน์มีนายเป็นผู้กำกับคนเดียวที่ถ่ายละครเป็น? นายถ่ายละครอะไรเป็นบ้างล่ะ?” เจียงฉียิ้มเย็นกล่าว ช่างถือว่าตนถูกต้องจริงๆ

“ผม ผมแสดงละครคุกเข่าได้!” เกาจีไท่พูดอย่างประจบ

สิ้นคำ เกิดเสียงของหนักตกลงพื้น เกาจีไท่ใบหน้ายิ้มแย้ม คุกเข่าลงบนพื้นเบื้องหน้าหลินอิ่ง

“ประธานหลิน ขอร้องคุณล่ะ ให้โอกาสผมอีกสักครั้งเถอะนะ! ผมถ่ายละครได้มืออาชีพมากจริงๆ!” เกาจีไท่อ้อนวอนพลางถูหัวเข่าไปมา

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท