ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 200 ไม่เชื่อฟังก็ต้องตาย

บทที่ 200 ไม่เชื่อฟังก็ต้องตาย

บทที่ 200 ไม่เชื่อฟังก็ต้องตาย

สิบกว่านาทีให้หลัง หลินอิ่งก็มาถึงโรงพยาบาล มีแลนด์โรเวอร์สีดำสิบกว่าคันจอดอยู่ที่ใต้ตึก คนของเสิ่นซานต่างรอคอยคำสั่งอยู่บนรถ

ลาตินกรุ๊ปเริ่มใช้อุบายไม่เลือกแล้ว จึงกังวลว่าเจ้าพวกสารเลวต่างชาติกลุมนี้จะวิ่งมาเล่นงานเจียงฉีที่โรงพยาบาล เขาจำเป็นต้องจัดวางกำลังคนไว้ที่นี่เพื่อป้องกันไว้ก่อน

หลินอิ่งลงจากรถ มายังชั้นแปดอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นห้องฉุกเฉินที่ช่วยผู้ป่วยวิกฤตโดยเฉพาะ

บนระเบียงทางเดิน เสิ่นซานกับหลิวจุนนั่งอยู่บนเก้าอี้ รอคอยด้วยท่าทางเป็นกังวล พอเห็นหลินอิ่งเดินเข้ามา ก็รีบถอนหายใจอย่างโล่งอก พลางลุกขึ้นยืน

“ท่านหลิน คุณมาแล้ว” เสิ่นซานพูด

หลินอิ่งพยักหน้า ถามว่า “อาการของเจียงฉีเป็นยังไงบ้าง?”

เสิ่นซานกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “ร่างกายถูกยิงสองนัด โชคได้ที่ไม่โดนจุดสำคัญ เมื่อกี้พ้นขีดอันตรายแล้ว หมอบอกว่าต้องพักฟื้นกว่าครึ่งเดือนถึงจะหาย”

หลินอิ่งในใจก็โล่งอกเช่นกัน เพราะอย่างไรเจียงฉีก็จัดการงานให้ตัวเองด้วยความจงรักภักดีถึงได้เกิดอันตรายเช่นนี้ หากถูกยิงตายไปจริงๆ ในใจเขาคงเป็นทุกข์

“ตอนที่เจียงฉีพักฟื้นอยู่นี้ นายจัดวางคนเฝ้าอยู่โรงพยาบาลสักหน่อย” หลินอิ่งกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง

“ครับ” เสิ่นซานพยักหน้า “ได้ยินเลขาเจียงฉีบอกว่า วันนี้ตอนที่เขาไปดูแลงานของโครงการเมืองโลก ข้างกายได้พาบอดี้การ์ดไปด้วย ถูกมือยิงลอบยิงจากที่ห่างไกล ยังหาตัวคนที่ลงมือไม่พบ แต่ว่า ผมคิดว่าน่าจะเป็นฝีมือของลาตินกรุ๊ปเช่นกัน”

“ท่านหลิน ลาตินกรุ๊ปอวดดีขนาดนี้ คุณคิดจะจัดการพวกเขายังไงครับ? ผมอยากจะจัดการจนรอไม่ไหวแล้ว” เสิ่นซานกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง ใบหน้าเต็มไปด้วยความโกรธ

ตั้งแต่ติดตามท่านหลินเป็นต้นมา คลื่นลมก็สงบมาโดยตลอด ยังคงเป็นครั้งแรกที่ได้พบกับสถานการณ์ตึงเครียดเช่นนี้ ลงมือกันถึงขั้นตายได้เลย สิ่งนี้ทำให้เขาโกรธเคืองเป็นพิเศษ ดีร้ายอย่างไรก็เป็นหัวหน้าแก๊งใต้ดิน ยังมีคนกล้ามาลอบยิงลับหลัง โอหังเกินไปแล้ว

“เรื่องนี้ฉันจะไปจัดการด้วยตัวเอง” หลินอิ่งพูด “ไปดูอาการเจียงฉีกันก่อนเถอะ”

พูดจบ หลินอิ่งก็เดินไปยังห้องพิเศษ เสิ่นซานกับหลิวจุนเดินตามมาพร้อมกัน

ในห้องผู้ป่วย เจียงฉีนอนอยู่บนเตียงคนไข้ สีหน้าดูซีดขาวอ่อนแรง ต่อสายน้ำเกลือ บนร่างกายเต็มไปด้วยผ้าพันแผล

“ประธานหลิน คุณมาแล้ว ขอโทษด้วย ระยะนี้ โครงการเมืองโลก ผมคงไม่ได้ไปจัดการแล้ว” เจียงฉีพูด น้ำเสียงอ่อนแรง เพิ่งจะผ่าตัดเอาลูกกระสุนออกมา เห็นได้ชัดว่าร่างกายยังอ่อนแออยู่มาก

“ระยะนี้คุณพักผ่อนให้มากๆ เถอะ ไม่ต้องสนใจเรื่องทางนั้น” หลินอิ่งกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง

“ครับ” เจียงฉีพูดช้าๆ “ประธานหลิน ครั้งนี้คนที่เล่นงานผม เป็นคนที่ลาตินกรุ๊ปส่งมา ตัวแทนการค้าของบริษัทพวกเขา โทรหาเลขาผมอย่างอวดดีมาก เตือนผมต้องการให้ผมมอบโครงการเมืองโลกนี้ออกมา รวมถึงปิดไห่หยางกรุ๊ป ไม่อย่างนั้นจะไม่ได้มีชีวิตออกจากโรงพยาบาล พวกเขาอวดดีเกินไปแล้ว!”

หลินอิ่งพูด “คุณวางใจเถอะ ผมจะช่วยแก้แค้นให้คุณเอง”

เจียงฉีพยักหน้าอย่างขึงขัง มีคำพูดนี้ของหลินอิ่ง เขาก็วางใจลงได้โดยสิ้นเชิง หลินอิ่งพูดว่าจะทำเช่นนั้น เขาไม่เคยพูดไปเล่นๆ

หลินอิ่งมองไปทางเสิ่นซาน ถามด้วยสีหน้าจริงจัง “ก่อนหน้านี้สั่งให้นายจัดการลาตินกรุ๊ป ใช้อิทธิพลประมือกับพวกเขาอย่างลับๆ ได้เรื่องยังไงบ้างแล้ว? แล้วสอบปากคำมือยิงสองสามคน ได้ข่าวอะไรบ้างหรือยัง?”

“ได้ข่าวใหม่มาครับ” เสิ่นซานพยักหน้า “ก่อนหน้านี้ที่ลาตินกรุ๊ปไม่ได้เคลื่อนไหวมาโดยตลอด ที่แท้เป็นเพราะผู้ดูแลของพวกเขาไปต่างประเทศเพื่อนำกำลังคนเข้ามา ได้ยินว่า ผู้ดูแลของพวกเขา อยู่สำนักงานใหญ่ลาตินกรุ๊ปมีตำแหน่งสูงมาก……”

เป็นเช่นนี้ เสิ่นซานพูด หลินอิ่งฟัง ทั้งสองคนหารือกันเรื่องจะหาทางตอบโต้ลาตินกรุ๊ปอย่างไรต่อไป

อีกด้านหนึ่ง ที่ห้องอาหารรับรองแขกของอาคารเป่าติ่ง

จางฉีโม่นั่งอยู่ตรงหน้าโต๊ะอาหาร มองเซียวจวงที่อยู่ตรงหน้าด้วยท่าทางสงสัยๅ

เธอไม่เข้าใจอยู่บ้างว่า เมื่อวานเซียวจวงคนนี้เพิ่งจะเรียกตนเองว่าเพื่อนของหลินอิ่ง มาหาหลินอิ่งที่นี่ ก็ไม่รู้ว่าคุยอะไรกันบ้าง ผลคือ วันนี้เขากลับบอกว่าเขาเป็นหุ้นส่วนใหญ่ของลาตินกรุ๊ป มาที่นี่เพื่อเจรจาธุรกิจ?

ถ้าไม่ใช่เพราะบริษัทถูกลาตินกรุ๊ปเพ่งเล็ง เธอก็คงไม่มีทางได้พบ “หุ้นส่วนใหญ่” ที่ว่านี่หรอก

“คุณเซียวจวง? คุณมาหาฉันเพราะเรื่องอะไรกันแน่? คุณเป็นคนของลาตินกรุ๊ปใช่ไหม” จางฉีโม่ถามอย่างสงสัย

ใบหน้าเซียวจวงเจือรอยยิ้มเล็กน้อย กล่าวเนิบๆ ว่า “คุณฉีโม่ คุณสงสัยฐานะของผมเหรอ? บริษัทของคุณ วันนี้ในตลาดหุ้นกำลังจะล้มละลาย หุ้นของคุณ ล้วนถูกลาตินกรุ๊ปกว้านซื้อไปหมดแล้ว ถูกไหม? ผมบอกคุณได้เลยว่า เรื่องนี้ผมเป็นคนส่งลูกน้องไปทำเอง”

จางฉีโม่สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย ถามว่า “คุณทำเรื่องเหล่านี้ เพราะมีจุดประสงค์อะไร?”

“ง่ายมาก เพราะผมอยากบอกความจริงคุณเรื่องหนึ่ง ผมมีความสามารถแย่งทุกอย่างไปจากคุณได้” เซียวจวงทำท่าทางครุ่นคิดพลางยิ้มกล่าว แววตาชั่วร้าย

จางฉีโม่ทำท่าทางเย็นชา ท่าทางของเซียวจวงทำให้เธอรู้สึกขยะแขยง

“เซียวจวง หากคุณคิดจะมาข่มกัน งั้นฉันคงไม่มีอะไรต้องพูดคุยด้วย” จางฉีโม่กล่าวเสียงเฉียบขาด กำลังจะลุกขึ้น

“เดี๋ยวก่อน คุณฉีโม่” เซียวจวงทำท่าทางมั่นใจเต็มเปี่ยม พูดว่า “คุณยังเพ้อฝันให้ไอ้สวะหลินอิ่งนั่นมาช่วยคุณอีกเหรอ? ผมบอกเลยว่า ที่พึ่งใหญ่ของหลินอิ่ง เจียงฉี ในสายตาผมก็แค่เศรษฐีใหม่เท่านั้น มิหนำซ้ำ วันนี้เจียงฉีก็เข้าโรงพยาบาลแล้วด้วย”

“ไม่เกินสามวัน บริษัทเครื่องประดับจางซื่อของคุณ ก็จะถูกผมบีบให้ล้มละลาย” เซียวจวงพูดอย่างครุ่นคิด “หากคุณไม่อยากสูญเสียทุกอย่างไป ทางที่ดีควรเลือกที่จะเชื่อฟังผม”

“หมายความว่ายังไง?” จางฉีโม่กล่าวอย่างฉุนๆ

“ความหมายชัดเจนมาก คุณไม่เชื่อฟังผมก็ต้องตาย” เซียวจวงยิ้มเย็นกล่าว “อยากจะรักษาของของคุณในตอนนี้ไว้ไหม? ง่ายมาก ตอนนี้ตามไปกับผม ขอเพียงอยู่กับผมคืนหนึ่งก็พอแล้ว ไม่อย่างนั้น ผลที่ตามมาคุณคงจะจินตนาการออก อีกอย่าง ผู้หญิงที่ผมถูกใจเลือกไม่ได้ คุณทำได้แค่เลือกที่จะสมัครใจ หรือจะถูกผมบังคับ คุณชอบแบบไหนล่ะ”

พูดจบ ดวงตาเซียวจวงก็กวาดมองร่างกายจางฉีโม่อย่างจาบจ้วง ท่าทางน่าเกลียดอย่างยิ่ง

“หึ แกฝันไปเถอะ!” จางฉีโม่พูดเสียงเย็น รู้สึกโมโหอย่างมาก เซียวจวงโอหังอวดดีเกินไปแล้ว

“ฝันไปเถอะ? หึๆ คุณฉีโม่ คุณคงไม่รู้สินะ? หลินอิ่งสามีไร้ค่าของคุณ ตายแล้ว คุณติดตามไอ้เศษสวะนั่น จะไปมีความหมายอะไร?” เซียวจวงพูดเนิบๆ

“แกกำลังพูดเหลวไหล! ฉันเพิ่งจะโทรคุยกับหลินอิ่งไปไม่นานนี้เอง!” จางฉีโม่กล่าวอย่างเดือดดาล

“แล้วเขาไม่ได้บอกคุณหรือว่า วันนี้เขาพบเจออะไรมา?” เซียวจวงกล่าวอย่างครุ่นคิด “ไม่ช้าก็เร็วเขาก็ต้องตาย เศษสวะอย่างเขา ไม่คู่ควรกับคุณเลยสักนิด”

“ผมนำสัญญารับซื้อหุ้นบริษัทคุณมาด้วย” เซียวจวงกล่าวช้าๆ โยนเอกสารสองสามฉบับลงบนโต๊ะ “ขอเพียงคุณเชื่อฟังผม ก็เอากลับไปได้ แถมยังได้เงินก้อนใหญ่ฟรีๆ อีกด้วย ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยความสามารถของผมที่ไอ้สวะหลินอิ่งนั่นเทียบไม่ติด ผมสามารถทำให้บริษัทเครื่องประดับของคุณโด่งดังไปทั่วโลกได้ ขอเพียงต่อจากนี้ไปคุณติดตามผมก็พอ คุณต้องการเงินมากเท่าไหร่ ต้องการสิ่งใด? ก็เอ่ยปากมาได้เลย

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

นิยายแนะนำ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท