ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 191 ส่งมือถือนายออกมา

บทที่ 191 ส่งมือถือนายออกมา

บทที่ 191 ส่งมือถือนายออกมา

“ดูถูกทีมโปรดักชั่นของพวกคุณ?” หลินอิ่งขมวดคิ้วเล็กน้อย สายตามองสำรวจผู้กำกับเกาคนนี้

มองเห็นหยางลี่ที่เขย่งเท้าอย่างเบิกบานอยู่ด้านหลัง ก็พอจะเข้าใจแล้วว่าเรื่องราวเป็นมาอย่างไร

“ทำไม? นายจำคำพูดที่ตัวเองเคยพูดไม่ได้แล้วเหรอ?” ผู้กำกับเกาพูดเสียงต่ำ “ฉันขอแนะนำตัวหน่อย ฉันชื่อเกาจีไท่ ผู้ดูแลแผนกภาพยนตร์และโทรทัศน์เมืองโลก และเป็นผู้กำกับใหญ่ของทีมโปรดักชั่นนี้ด้วย”

“เมื่อกี้ได้ยินเสี่ยวหยางบอกว่า นายเย่อหยิ่งมาก แถมให้เสี่ยวหยางขอโทษนายด้วย” เกาจีไท่ซักถามอย่างบีบคั้น

“ใช่ค่ะ ผู้กำกับเกา ก่อนหน้านี้หลินอิ่งคนนี้อาศัยว่าตัวเองรู้จักคุณหนูหวาง จึงกลับพูดถูกเป็นผิดต่อหน้าคุณหนูหวาง ไม่เกรงใจทีมโปรดักชั่นของพวกเรา แถมยังบังคับให้ฉันขอโทษเขาอีก ฉันเห็นแก่หน้าคุณหนูหวาง จึงได้แต่ก้มหน้าอย่างจนปัญญา” หยางลี่พูดด้วยท่าทางไม่ได้รับความเป็นธรรมอย่างยิ่ง “เขายังแนะนำคุณหนูหวางอีกว่า ให้ปลดทีมโปรดักชั่นของเราออก บอกว่าสิ่งที่พวกเราทำคือขยะ”

“หลินอิ่ง ฉันเคยได้ยินว่า นายอยู่ที่เมืองชิงหยูนได้ชื่อว่าเป็นลูกเขยที่ไม่ได้เรื่องคนหนึ่งไม่ใช่เหรอ? อยู่ในแวดวงคนดัง มีใครไม่รู้บ้างว่านายพยายามเกาะหวางหงหลิงกินไปวันๆ? ถือเอาว่าตัวเองเป็นคนมีชื่อเสียงแล้วจริงๆ?” เกาจีไท่พูดด้วยท่าทีเหยียดหยาม “ฉันจะบอกนายให้นะ อย่าคิดว่ามีหวางหงหลิงเป็นที่พึ่งแล้วจะไม่เจียมตัวได้ ฉันคือคนของไห่หยางกรุ๊ป!”

หลินอิ่งมองการแสดงของคนทั้งสอง ยิ้มไม่ได้พูดอะไร

เห็นได้ชัดว่า ผู้กำกับใหญ่ที่ชื่อเกาจีไท่คนนี้ ไม่รู้ว่าสมคบคิดอะไรกับหยางลี่เป็นการส่วนตัว ถึงได้ช่วยออกหน้าให้เธออย่างแข็งขันเช่นนี้?

“ทำไมไม่พูดอะไรเลยล่ะ? เมื่อกี้มีหวางหงหลิงอยู่ ยังอวดดีมากอยู่เลยไม่ใช่เหรอ? หรือตอนนี้ไม่มีผู้หญิงคอยหนุนหลัง ก็กลัวเสียแล้ว?” หยางลี่พูดเสียงเย็น ทำหน้าตาลำพองใจ

“หลินอิ่ง เรื่องตีค่าทีมโปรดักชั่นเรา ฉันอธิบายด้วยเหตุผลให้นายฟังไปรอบหนึ่งแล้ว หากฟังไม่เข้าใจ ตอนนี้ฉันจะรีบไปตามคนมาหิ้วนายออกไปเดี๋ยวนี้เลย ถือโอกาสให้นักข่าวถ่ายคลิปลงโซเชี่ยล ทำให้นายชื่อเสียงป่นปี้” เกาจีไท่กล่าวอย่างข่มขู่

“อธิบาย? ผมเคยพูดอะไร แล้วเกี่ยวอะไรกับคุณ?” หลินอิ่งกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ

“ทำไม? ที่เคยพูดมา ไม่กล้ายอมรับ?” เกาจีไท่พูดด้วยท่าทีเหยียดหยาม “เอาเถอะ ฉันรู้นายมันก็แค่คนปอดแหกคนหนึ่ง พึ่งพาอิทธิพลของผู้หญิง รังแกผู้หญิง หลินอิ่งจุดเด่นของนายก็มีแค่นี้ สมกับได้ชื่อว่าเป็นเศษสวะจริงๆ!”

หลินอิ่งส่ายศีรษะ มองเกาจีไท่อย่างเย็นชา พลางกล่าวว่า “คุณอยากได้ยินคนอื่นบอกว่าทีมโปรดักชั่นของคุณคือขยะขนาดนี้เชียว? ได้ งั้นผมจะบอกคุณตอนนี้เลย คุณช่างเป็นขยะจริงๆ”

เกาจีไท่ทำหน้าตาโกรธขึ้งทันที จ้องหลินอิ่งอย่างดุร้าย “นายนี่มันอวดดีเหลือเกินนะ! คนไร้ค่าอย่างนายช่างไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำจริงๆ!”

เดิมทีคิดจะมาที่นี่เพื่อขู่ให้หลินอิ่งหวาดกลัวสักหน่อย คนไร้ค่าเช่นนี้ควรจะยอมขอโทษก่อน แต่คิดไม่ถึงว่าเขาจะกล้าอวดดีถึงขนาดนี้ คิดว่าตนเองจะจัดการเขาไม่ได้จริงๆ?

“เสี่ยวหยาง เธอไปเรียกคนของหน่วยรปภ.มา ค่อยให้คนของกองถ่ายมาที่นี่ ฉันจะจัดคอลัมน์พิเศษให้หลินอิ่งสักหน่อย” เกาจีไท่ยิ้มเย็นกล่าว “ลงวิดีโอตอนที่นายถูกหิ้วออกไปให้ด้วย”

“อวดดีในวงการโทรทัศน์ นายมันแค่ไหนกันเชียว? พรุ่งนี้นายก็จะได้ยินข่าวแล้วว่า หลินอิ่ง ถ้ามองคนหนึ่งแทรกซึมเข้ามาในสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์เพื่อแอบถ่ายดาราสาว!” เกาจีไท่กล่าวอย่างเย้ยหยัน

“คุณรู้สึกว่ามีเส้นสายกับสื่อ ผิดถูกก็ขึ้นอยู่กับคำพูดของคุณแล้วใช่ไหม?” หลินอิ่งถามเสียงเย็น

แย่จริงๆ ถือกล้อง มีสื่อแถลงข่าว เรื่องก็อาศัยเขากุขึ้นมาทั้งหมด

“หรือว่าไม่ใช่กันล่ะ? โดยเฉพาะสวะที่เกาะผู้หญิงกินอย่างนาย มาที่กองถ่ายมีเป้าหมายอะไร? เป็นใครก็คิดได้แล้ว? ไม่คิดมาถ้ำมอง ก็คิดจะมาจับดาราสาว หาที่เกาะกินล่ะสิ?” เกาจีไท่กล่าวเยาะหยัน ท่าทางมั่นใจหนักหนา เหมือนกำลังกุมความจริงบางอย่างอยู่

จากที่เขาเห็น สวะอย่างหลินอิ่งมาสถานที่ถ่ายทำ จุดประสงค์ต้องมีแต่เรื่องเหล่านี้แน่นอน นอกจากเรื่องเหล่านี้แล้ว เขายังจะมาที่นี่ทำไมอีก?

หลินอิ่งคลึงขมับ ช่างสมกับอาชีพผู้กำกับจริงๆ จินตนาการบรรเจิดโดยแท้

“พูดไม่ออกล่ะสิ? ถูกผู้กำกับเกาเปิดโปงแผนชั่ว ก็รู้สึกอายเสียแล้ว?” หยางลี่พูดถากถางอยู่ด้านข้าง

“ฮ่าๆ พวกขยะแบบนี้ ฉันไปตั้งแต่เหนือจรดใต้ ถ่ายทำละครกับภาพยนตร์ ไม่รู้ว่าเคยพบเห็นมาตั้งเท่าไหร่แล้ว ตัวเองไร้ความสามารถ ก็คิดจะมาเกาะคนอื่น ไม่มองดูสารรูปตัวเองบ้างเลย” เกาจีไท่ยิ้มกล่าวอย่างลำพองใจ

เวลานี้เอง มีรปภ.สวมเครื่องแบบกลุ่มหนึ่ง และคนแบกกล้องสองสามคน เดินมาทางนี้อย่างครึกโครม เรียงเป็นแถวอยู่ด้านหลังเกาจีไท่ ดูเป็นมืออาชีพอย่างมาก

“หลินอิ่ง อย่าหาว่าฉันไม่ให้โอกาสนายเลย การทำข่าวคนไร้ค่าอย่างนาย ฉันก็รู้สึกเสียเวลาแล้ว

เอาอย่างนี้เถอะ เดี๋ยวนายก้มหน้ารับผิดกับเสี่ยวหยาง ฉันจะยกโทษที่นายดูถูกทีมโปรดักชั่นของเราให้” เกาจีไท่โบกมือ พูดด้วยท่าทางมีเมตตาเหลือประมาณ

“หากไม่ขอโทษ ฉันคงได้แต่ให้รปภ.ไล่นายออกไป ค่อยอัดคลิปเรื่องนี้ไว้ ให้คนในโลกโซเชี่ยลวิจารณ์เรื่องโสมมที่นายบุกเข้ามาในสถานที่ถ่ายทำ แอบถ่ายผู้หญิง” เกาจีไท่กล่าวอย่างเยาะหยัน

หลินอิ่งยืดตัวขึ้นอย่างช้าๆ มองเกาจีไท่ แววตาค่อยๆ เคร่งขรึมขึ้นมา

“อ้อ? ไม่ยอมหรือ นายมีความสามารถอะไรถึงไม่ยอม?” เกาจีไท่กล่าวอย่างเหยียดหยาม “รปภ. เอามือถือเขาส่งมาให้ฉัน ฉันจะตรวจดูหน่อย ในมือถือถ่ายอะไรไว้บ้าง”

พูดจบ เขาก็ดีดนิ้วทีหนึ่ง รปภ.สองสามคนเดินเข้ามา พูดเสียงต่ำว่า “คุณครับ ช่วยส่งมือถือออกมาด้วย พวกเราต้องการตรวจสอบว่าคุณใช้มือถือถ่ายอะไรที่ไม่เหมาะสมหรือเปล่า เรื่องนี้อาจส่งผลร้ายต่อทีมโปรดักชั่นเรา!”

“มือถือ พวกคุณสามารถตรวจสอบได้ตามใจหรือ?” หลินอิ่งยิ้มเย็นกล่าว

“นั่นไง ใจฝ่อล่ะสิ? ในมือถือนายจะต้องมีอะไรที่ไม่อยากให้ใครเห็นแน่!” เกาจีไท่พูดอย่างมั่นใจ “ถ่ายไว้ให้ฉันที หลินอิ่งคนนี้ไม่ยอมเอามือถือมาพิสูจน์ความบริสุทธิ์ แสดงว่าเขานั่นแหละกำลังแอบถ่ายทีมโปรดักชั่นของพวกเรา! จุ๊ๆ ช่างทุเรศจริงๆ”

เวลานี้ กล้องสองสามตัวก็หันมาถ่ายที่หลินอิ่ง

“เอาล่ะ รปภ. พวกคุณหิ้วนายคนนี้ออกได้แล้ว หากกล้าบุกเข้ามาที่นี่อีก ก็ตีเขาให้ผมแล้วกัน ผลที่ตามมาผมรับผิดชอบเอง!” เกาจีไท่กล่าวอย่างได้ใจ

กำลังพูดอยู่ รปภ.ร่างสูงใหญ่สองคนก็เดินเข้ามาต้องการจะจับตัวหลินอิ่ง

“พวกคุณมาสุมหัวอะไรกันอยู่ที่นี่?”

เวลานี้เอง ได้มีเสียงตำหนิดังขึ้น

พวกของเกาจีไท่หันมองไปยังที่มาของเสียง สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย รีบแหวกทางให้ทันที เห็นเพียงเจียงฉีกับหวางหงหลิงเดินเข้ามาด้วยท่าทางเคร่งขรึม

“ประธานเจียง!”

“ประธานเจียง คุณมาได้ยังไง?”

พอเห็นประธานอาวุโสเจียงฉีมาเอง คนที่อยู่ตรงนั้นต่างเผยสีหน้าตกตะลึงออกมา

ควรรู้ว่า เกาจีไท่ในฐานะผู้ดูแลแผนกภาพยนตร์และโทรทัศน์ของไห่หยางกรุ๊ป ปกติไม่มีสิทธิได้พบประธานกรรมการด้วยซ้ำ

เจียงฉีมองด้วยท่าทางเช่นนี้ สีหน้าก็เขียวคล้ำ

“ประธานเจียง เมื่อกี้พวกเรากำลังจัดการเรื่องหนึ่งอยู่ครับ นายคนนี้ชื่อว่าหลินอิ่ง ถึงกับแทรกซึมเข้ามาแอบถ่ายในทีมโปรดักชั่นเรา ทั้งหมดนี้ก็เพื่อก่อความวุ่นวายให้นักแสดงสาวของเรา ทำตัวต่ำช้ามาก!” เกาจีไท่พูดอย่างเดือดดาล

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

นิยายแนะนำ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท