ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 208 คืนให้พวกคุณคนละนัด

บทที่ 208 คืนให้พวกคุณคนละนัด

บทที่ 208 คืนให้พวกคุณคนละนัด

“อ่อนแอเกินไป” เฮยยิงเหมือนได้ยินเรื่องที่ตลกที่สุดในโลก หัวเราะเสียงดัง “O My god คุณพูดว่าอะไรนะ ในสมองของคุณมีอะไร ขี้เหรอ”

ลี่น่าก็อดหัวเราะไม่ได้ หลินอิ่งคนนี้น่าสนใจจริงๆ ตลกมาก ทำไมมีคนเช่นนี้บนโลกด้วย

มีคนมากกว่าสามสิบคนล้อมรอบตัวเขาด้วยกระสุนปืนจริง ยังกล้าดูหมิ่นและโห่ร้อง

“ฉันนับถือความกล้าหาญของคุณจริงๆ” เฮยยิงยกไหล่แล้วกล่าว “ฉันตัดสินใจแล้ว ฉันยังไม่ตีคุณให้เป็นตะแกรง ถ้าเป็นเช่นนั้นก็จะไม่สนุกแล้ว”

“คุณรู้สึกว่าพวกเราอ่อนแอมาก เช่นนั้นก็เข้ามาสิ มาท้าดวลกัน ให้ฉันดูหน่อยว่า ขี้โรคแห่งเอเชียอย่างคุณ มีความสามารถมากแค่ไหน” เฮยยิงกล่าวอย่างดูถูก เสียงผ้าฉีกออกดังขึ้นเขาสลัดเสื้อผ้าสีดำบนตัวออก เผยกล้ามเนื้อเป็นมัดๆทั่วร่างกาย

“เข้ามา ฉันจะให้โอกาสคุณเพียงครั้งเดียว” เฮยยิงกระดิกนิ้วก้อย มองไปที่หลินอิ่งด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความล้อเล่น “ให้ฉันดูว่าคุณมีความสามารถแค่ไหน ถึงได้บ้าคลั่งขนาดนี้”

เฮยยิงรู้สึกตอนนี้ตัวเองเหมือนแม่ทัพที่เกรียงไกร กำลังล้อเล่นกับหลินอิ่งลูกหมาที่น่าสงสาร

คนประเทศหลุงที่โง่เขลาเช่นนี้ รูปร่างผอมบาง จะมีพลังมากแค่ไหนเชียว อาศัยศิลปะการต่อสู้ของประเทศหลุงหมัดเท้าปักบุปผาเช่นนั้น จะมาเป็นคู่ต่อสู้กับเขาที่เป็นยอดฝีมือระดับนานาชาติได้อย่างไร

และเขาก็คิดไม่ออกเช่นกัน ในท่าเรือตุงไห่รังเก่าแห่งนี้ ในสถานการณ์ที่กลุ่มเฮยยิงทุกคนมีอาวุธพร้อม หลินอิ่งจะมีวิธีใดมาจัดการกับพวกเขา

มองดูพี่ใหญ่กำลังล้อเล่นกับคนโง่เขลาคนนี้ กลุ่มเฮยยิงแสดงสีหน้าที่เยาะเย้ยมองไปที่หลินอิ่ง

พวกเขารู้นิสัยของพี่ใหญ่ดี เผชิญกับคู่ต่อสู้ที่อ่อนแอกว่าเพียงลำพัง มักจะลงมือฆ่าด้วยตัวเอง นี่คืองานอดิเรกของพี่ใหญ่เฮยยิง โหดร้ายมาก

เฮยยิงเปลือยกาย ขยับคอเล็กน้อย เดินเข้ามาหาหลินอิ่งอย่างไม่เกรงกลัวใครดวงตาเต็มไปด้วยความทรราช

“เข้ามา ไอ้หนุ่มน้อย ฉันจะฉีกปากของคุณด้วยมือของฉัน หักแขนขาของคุณ” เฮยยิงเลียริมฝีปากซ้ำๆ กล่าวอย่างเย็นชา

ประโยคของหลินอิ่งที่พูดว่าพวกคุณอ่อนแอเกินไป กระตุ้นความโหดร้ายในใจของเขา แทบจะรอไม่ไหวที่จะเหยียบหลินอิ่งไว้ใต้เท้าและทรมานและทารุณอย่างบ้าคลั่ง

ไร้สาระ

หลินอิ่งก็ลุกขึ้นทันที เตะเก้าอี้ไม้บิน เก้าอี้ไม้ตัวนี้บินข้ามไป เต็มไปด้วยพลังที่รุนแรง ราวกับโยนรถบรรทุกขนาดใหญ่ออกไป อากาศคำรามในทันที

เฮยยิงสีหน้าเปลี่ยนทันที ทันใดนั้นก็เหยียดแขนออกเพื่อกั้นเก้าอี้ไม้ เสียงผลัวะดังขึ้น เก้าอี้กระแทกบนร่างของเขา แผ่นไม้บินในพริบตาเดียว ทำให้เขาถอยหลังไปสองสามก้าว

ในชั่วพริบตาเดียว หลินอิ่งพุ่งเข้ามาเหมือนร่างเสือดาว ถีบไปที่หน้าท้องของเฮยยิง ตูมดังขึ้น ถีบจนเขาตีลังกาครั้งใหญ่ หัวกระแทกลงพื้นอย่างแรง มึนไปชั่วขณะ

“เอ่อ(เสียงร้องด้วยความเจ็บปวด)”

เฮยยิงร้องเหมือนหมูที่ถูกฆ่า ความรู้สึกเหมือนถูกรถสปอร์ตที่วิ่งด้วยความเร็วสองร้อยไมล์ชนเข้าอย่างแรง กระดูกทั้งร่างกำลังจะกระจุยแล้ว อวัยวะภายในเหมือนพันกันไปหมด

“ฮือ คุณ” เฮยยิงเงยหน้าขึ้นอย่างรวดเร็ว บังคิดจะต่อสู้กลับ แต่ทันใดนั้นเขาก็อาเจียนออกเป็นเลือด อ่อนแรงไปทั่วร่าง รู้สึกถึงแรงที่ทำให้กระดูกฉีกขาด เขาเริ่มหวาดกลัว

เสียงดังปัง หลินอิ่งเตะซ้ำอีกครั้งโดยไม่ลังเล เหยียบหัวของเฮยยิงลงกับพื้นอีกครั้ง ขยี้อย่างแรงที่ใต้เท้า

ไม่มีโอกาสได้โต้ตอบแม้แต่ครั้งเดียว เฮยยิงพ่ายแพ้อย่างยับเยิน พ่ายแพ้ในทันทีและสูญเสียความสามารถในการต่อสู้ กล้ามที่ทรงพลังของเขาก็เป็นแค่สิ่งของวางโชว์

หลินอิ่งใช้พลังภายใน เพื่อจัดการกับสมรรถภาพทางกายที่ผ่านการฝึกฝนอย่างหนักเหมือนนรก เป็นนักฆ่าที่เหนือกว่าคนธรรมดา เขาลงมืออย่างโหดเหี้ยมอย่างไม่ลังเล

“พระเจ้า นี่มันเกิดอะไรขึ้น” ลี่น่าเอามือปิดปากที่อ้าปากกว้าง จ้องมองหลินอิ่งด้วยดวงตาเต็มไปด้วยความสยองขวัญ

เธอไม่เข้าใจ เฮยยิงทำไมถึงโดนเตะล้มได้ อาเจียนเป็นเลือดทั่วร่าง นี่มันพลังรบแบบไหนกัน

“พี่ใหญ่ เกิดอะไรขึ้น”

“ไอ้ชนชั้นต่ำประเทศหลุงที่สมควรตาย ปล่อยพี่ใหญ่เฮยยิงของพวกเราเดี๋ยวนี้”

เวลานี้ คนของกลุ่มเฮยยิงตกใจและโกรธมาก ทุกคนต่างยกปืนยาวขึ้นเล็งไปที่หลินอิ่ง

โดยปกติพวกเขาคงยิงไปนานแล้ว ครั้งนี้พี่ใหญ่เฮยยิงอยู่ใกล้หลินอิ่งมากเกินไป จึงไม่กล้าขยับ

“เฮอ” หลินอิ่งหัวเราะอย่างเย็นชา ทันใดนั้นก็ยื่นมือออกไปแล้วสะบัด สะบัดปืนDesert Eagleออกมาจากกระเป๋า

ปัง ปัง ปัง ปัง ปัง

คลื่นเสียงที่แหลมคมดังก้องอยู่ตลอดเวลาในโกดังที่ว่างเปล่า

ทุกครั้งที่เสียงปืนดังขึ้น ก็จะมีเสียงกรีดร้องของกลุ่มเฮยยิงหนึ่งคนดังขึ้น โดนยิงที่แขนล้มลงกับพื้น

หลินอิ่งมือซ้ายเปลี่ยนกระสุนปืน มือขวายิง กวาดยิงในแนวนอน ไม่ถึงหนึ่งนาที ยิงลูกกระสุนหมดไปสามแถว

กระสุนเข้าเป้าทุกนัด กระสุนทุกนัดยิงไปที่แขนของสมาชิกกลุ่มเฮยยิง ทำให้พวกเขาปล่อยปืนในมือของพวกเขาลงทันที สูญเสียประสิทธิภาพในการรบ

ยอดฝีมือสามสิบกว่าคนของประเทศ M ในเวลานี้ทั้งหมดทรุดตัวลงบนพื้นอย่างดิ้นรนและกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด

“ฮือ เป็นไปได้อย่างไร” เฮยยิงมองดูฉากนี้ด้วยสีหน้าที่ซีด เปิดตากว้าง ราวกับเห็นฝี

โหดร้ายเกินไป นี่คือเทคนิคอะไร เทคนิคการยิงแบบไหนกัน เขามองเห็นได้ไม่ชัดเจน หลินอิ่งที่อยู่ตรงหน้าเปลี่ยนกระสุนปืนและยิงอย่างไร

ในช่วงเวลาที่ตัวเองถูกปราบ สมาชิกในทีมกำลังลังเล หลินอิ่งดำเนินการอย่างเด็ดขาด เกิดการพลิกกลับที่สั่นสะเทือนของโลก ถูกจัดการราบคาบ

“คุณ หรือว่าคุณเป็นคนแบบนั้น การดำรงอยู่ที่สุดยอด” เฮยยิงรู้สึกขมปาก ไม่อยากจะเชื่อเลย

ด้วยประสบการณ์ของเขา ในใจคาดเดาถึงอะไรบางอย่าง หลินอิ่งคนประเทศหลุงคนนี้ ไม่สามารถวัดหรือเปรียบเทียบกับคนธรรมดาได้เลย แต่คนเช่นนี้ทำไมถึงมาปรากฏตัวที่เมืองชิงหยูนเล็กๆแห่งนี้ได้ ก็คือพลังเช่นนี้มีอยู่ทุกที่ทั่วโลกของประเทศM ฝีมือระดับนี้ในสถาบันแห่งชาติก็มีแค่ไม่กี่คน

“คุณไม่ต้องเดาแล้ว จากประสบการณ์ของคุณ เดาไม่ถูกหรอก” หลินอิ่งกล่าวเบาๆ

“พวกคุณกล้าแอบสังหารฉัน กล้าทำร้ายคนของฉัน เช่นนั้น ฉันก็ขี้เกียจที่จะไปไล่ถามว่าใครเป็นคนลงมือ จึงคืนให้ทุกคนคนละนัดแล้วกัน” หลินอิ่งกล่าวเบาๆ เสียงดังปังยิงไปที่แขนของเฮยยิง

เฮยยิงสีหน้าบิดเบี้ยว สั่นไปทั้งตัว วินาทีนี้รู้สึกกลัวลึกๆ เพราะเขารู้ว่าเขาทำให้คนที่แข็งแกร่งที่ไม่สามารถจินตนาการได้โกรธมาก

“อย่าฆ่าฉันเลย” ลี่น่าส่งเสียงกรี๊ด กลัวจนเกือบจะหมดสติไปแล้ว สั่นไปทั้งตัว

หลินอิ่งหัวเราะอย่างเย็นชาซ้ำๆ ส่งข้อความถึง เสิ่นซานที่รออยู่ด้านนอกท่าเรือตุงไห่

ด้านนอกท่าเรือตุงไห่ เสียงข้อความดังขึ้น เสิ่นซานหายใจเข้าลึกๆ สีหน้าตกในเล็กน้อย

ท่านหลินเข้าไปยังไม่ถึงสิบนาทีมั่ง ก็จัดการกับกลุ่มเฮยยิงเรียบร้อยแล้วเหรอ

เสิ่นซานตื่นเต้นอยู่ข้างใน โบกมือ “ตามฉันเข้าไป เก็บกวาดพื้นที่”

ไม่นาน เสิ่นซานนำคนเข้าไปในโกดังโรงงานอย่างรวดเร็ว ณ ตอนนี้ เขาเห็นเพียงกลุ่มของชาวต่างชาติสีซีดนอนตัวสั่นอยู่บนพื้น ส่วนหลินอิ่งสีหน้าเหมือนปกติจุดบุหรี่หนึ่งมวน

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท