ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 187 จะต้องร่วมมือกับคุณให้ได้

บทที่ 187 จะต้องร่วมมือกับคุณให้ได้

บทที่ 187 จะต้องร่วมมือกับคุณให้ได้

“คุณจะไม่ร่วมมือกับฉันงั้นเหรอ?” หวางหงหลิงดูประหลาดใจ และยิ้มติดตลก

ล้อเล่นอะไรกัน หลินอิ่งมีเหตุผลอะไรที่ปฏิเสธจะร่วมมือกับเธอ?

คิดว่าเธอไม่เข้าใจในเรื่องธุรกิจจริงเหรอ? เมืองเทคโนโลยีของลาตินกรุ๊ปและโครงการเมืองโลกของไห่หยางกรุ๊ป กำลังเป็นข่าวใหญ่ที่คนทั้งเมืองตุงไห่ให้ความสนใจอยู่ในปัจจุบัน

สองโครงการนี้มีมูลค่ามากกว่าหลายหมื่นล้าน แต่ละโครงการในเมืองใหญ่เกี่ยวข้องกับร้านอาหาร ความบันเทิง อิเล็กทรอนิกส์ อสังหาริมทรัพย์ และเค้กชิ้นเล็กชิ้นน้อยทางการธุรกิจต่างๆ

อาจกล่าวได้ว่า ตราบใดที่กลุ่มนักธุรกิจในเมืองชิงหยูน ต่างก็กำลังจ้องมองเค้กสองก้อนนี้และคำนึงอยู่ แค่เข้าไปมีส่วนร่วมเพียงเล็กน้อยได้ก็จะสามารถสร้างความร่ำรวยได้

“หลินอิ่ง คุณอย่าแสร้งทำให้มันมากไปได้ไหม? ฉันรู้ว่า คุณมีส่วนแบ่งของไห่หยางกรุ๊ป” หวางหงหลิงกล่าวอย่างมั่นใจ “คุยถึงเรื่องในทางธุรกิจ ตระกูลหวางของเรามีทรัพยากรมากมายในเมืองเก่า ที่ดินและหน้าร้านมีทรัพยากรครบวงจรทั้งหมด ตราบใดที่คุณร่วมมือกับฉัน คุณก็เหมือนรอรับเงินอย่างเดียวเท่านั้น หรือว่าคุณไม่อยากได้เงินเลยหรือ?”

หลินอิ่งยิ้ม และกล่าวว่า “คุณคิดมากเกินไป ผมแค่ลงทุนเงินไปกับไห่หยางกรุ๊ปเพียงเล็กน้อย ซึ่งมันไม่มีความเกี่ยวข้องอะไรกับผมเลย”

ความคิดของหวางหงหลิงเขาจะไม่รู้ได้อย่างไร ก็เพราะเห็นว่าไห่หยางกรุ๊ปตอนนี้เสียเปรียบอยู่ ลาตินกรุ๊ปมีทรัพยากรทางการเงินที่แข็งแกร่งและยังมีตระกูลโจและตระกูลซูนสองตระกูลในท้องถิ่นกำลังร่วมมือกัน ไห่หยางกรุ๊ปแทบไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธการร่วมมือกับตระกูลหวางเลย

แน่นอนว่า หากยืนอยู่ในตำแหน่งของเจียงฉีในฐานะที่ประธานของไห่หยางกรุ๊ป การร่วมมือกับตระกูลหวางถือเป็นสถานการณ์ที่ชนะพร้อมกัน

น่าเสียดาย ที่หวางหงหลิงคิดผิดทิศทาง

ตัวเองเป็นคนรวยรายใหญ่ที่อยู่เบื้องหลัง และไห่หยางกรุ๊ปเป็นเพียงกระเป๋าเงินใบเล็กของเขาเท่านั้น

หวางหงหลิงพยายามอย่างเต็มที่เพื่อมาหาตัวเอง อยากจะให้ตัวเองฟังคำชี้แนะของเธองั้นหรือ? มันจะเป็นไปได้อย่างไร?

“หลินอิ่ง คุณต้องลองคิดดูให้ดีนะ ลาตินกรุ๊ปมาต่อรองด้วยราคาที่สูงกับฉันอยู่ ถ้าฉันตกลงที่จะร่วมมือกับลาตินกรุ๊ป คุณคิดว่าไห่หยางกรุ๊ปของคุณสามารถแบกรับได้หรือไม่?” หวางหงหลิงกล่าวอย่างไม่เต็มใจ “ฉันมาด้วยความหวังดีเพื่ออยากจะช่วยคุณสักหน่อย ถ้าเปลี่ยนมือไปร่วมมือกับลาตินกรุ๊ป ฉันก็จะสามารถทำเงินได้ตั้งมากมาย!”

หลินอิ่งส่ายหัว และพูดด้วยรอยยิ้ม “ถ้าอย่างนั้นคุณก็ไปร่วมมือกับลาตินกรุ๊ปเถอะ ขอให้คุณเก็บเกี่ยวผลผลิตที่ดีงามนพ”

ความคิดของหวางหงหลิง เกิดขึ้นเป็นความคิดของนักธุรกิจจำนวนมากในเมืองตุงไห่ คิดว่าคราวนี้พวกเขาจะได้รับประโยชน์จากผลกำไรอย่างง่ายดาย การติดตามลาตินกร๊ปสามารถสร้างรายได้ แต่ไห่หยางกรุ๊ปจะต้องล้มละลายอย่างแน่นอนในอนาคต

อย่างไรก็ตาม นักธุรกิจรายใดก็ตามที่ลงทุนในลาตินกรุ๊ป จะต้องสูญเสียเงินไปทั้งหมดในที่สุด

เพราะว่าหลินอิ่งจะไม่ยอมปล่อยให้ลาตินกรุ๊ปสร้างรายได้อย่างเมามันอยู่ในเมืองชิงหยูนอย่างแน่นอน!

“คุณ!” หวางหงหลิงโกรธมากจนพูดไม่ออก และจ้องไปที่หลินอิ่งอย่างเย็นชา “คุณไม่รู้ที่ต่ำที่สูงเลยจริงๆ ฉันจะไม่ไปเจรจากับลาตินกรุ๊ปอะไรทั้งนั้น ฉันจะต้องร่วมมือกับคุณให้ได้!”

“ผมบอกไปแล้วว่า ผมไม่ต้องการทรัพยากรของตระกูลหวาง ผมแค่ลงทุนเงินเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ถ้าคุณอยากจะคุยเรื่องธุรกิจ ไปหาเจียงฉีถึงจะถูก” หลินอิ่งกล่าวอย่างช้าๆ

“โอเค ถ้าอย่างงั้นฉันจะไปคุยกับเจียงฉี คุณก็รอที่จะรับผิดชอบในการเข้าร่วมธุรกิจของตระกูลหวางกับฉัน” หวางหงหลิงกล่าวด้วยสีหน้ามีชัย โดยคิดว่าหลินอิ่งยอมรับความช่วยเหลือจากเธอ แต่อายที่จะพูด ให้เธอไปคุยกับเจียงฉีแทน

ในมุมมองของเธอ ไห่หยางกรุ๊ปเจียงฉีน่าจะเป็นบุคคลอันดับหนึ่ง และหลินอิ่งอาศัยอำนาจของตระกูลกงซุนนั้น คาดว่าจะเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่อันดับสองที่อยู่เบื้องหลัง

ตราบเท่าที่การเจรจาสามารถสรุปได้ และให้เจียงฉีรู้ถึงความสำคัญของทรัพยากรทางตระกูลหวางของเธอ ถึงเวลานั้นก็จะต้องส่งหลินอิ่งไปเอาใจเธอด้วยทุกวิถีทางอยู่แล้ว?

“หลินอิ่ง ฉันจะบอกคุณได้เลยว่า ตระกูลกงซุนมีเพียงอำนาจอยู่ตี้จิงเท่านั้น มันไม่ได้ตั้งอยู่ในเมืองตุงไห่ หากคุณอยากหาผู้สนับสนุนที่ดีกว่า ก็ต้องให้แม่นยำขึ้น รู้ไหม?” หวางหงหลิงนั่งไขว้ขาขึ้น และถือถ้วยน้ำชา กล่าวอย่างสบายๆ

หลินอิ่งเพียงแค่ยิ้ม และเกียจคร้านที่จะอธิบาย “ถ้าอย่างนั้นคุณก็ไปหาเจียงฉีเถอะ ผมยังมีเรื่องต้องทำ ไปก่อนนะ”

“เดี๋ยวก่อน รีบไปไหนกัน? รู้สึกอายเหรอ ที่จะยอมรับความช่วยเหลือของฉัน?” หวางหงหลิงหัวเราะอย่างขี้เล่น และยืนขึ้นเพื่อหยุดหลินอิ่ง

“พอดีเลย ฉันโทรหาเจียงฉีเพื่อมาพูดคุยเกี่ยวกับสัญญา อย่างไรก็ตาม คุณก็จะพาฉันไปที่ถนนการค้าในเมืองเก่าเพื่อดูอสังหาริมทรัพย์เป็นอย่างไร? นี่เป็นโครงการที่จะร่วมมือกันในอนาคต” หวางหงหลิงกล่าว

หลินอิ่งครุ่นคิดสักพัก ที่เขามาที่เขตเมืองเก่าในครั้งนี้เพื่อมาตรวจสอบสถานการณ์ในเมืองโลกอยู่แล้ว หากได้ไปดูถนนการค้าที่อยู่ในมือของตระกูลหวางก็ดีเหมือนกัน

“งั้นก็ไปดูกันเถอะ” หลินอิ่งพยักหน้าเล็กน้อย

หวางหงหลิงยิ้ม และทั้งสองก็ลงไปชั้นล่าง

“หงหลิง คุณพูดคุยเรื่องอะไรกับเขา? คุยเสร็จหรือยัง?”

พึ่งลงมาชั้นล่าง เซียวซวนก็รีบเดินเข้าไป มองไปที่หลินอิ่งด้วยสีหน้าระแวดระวัง

“เรื่องธุรกิจบางอย่าง” หวางหงหลิงกล่าว

“ธุรกิจเหรอ? คนบ้านนอกอย่างเขาจะเข้าใจเรื่องของธุรกิจได้อย่างไร?” เซียวซวนมองไปที่หลินอิ่งด้วยความรังเกียจ รู้สึกไม่พอใจอย่างมาก คิดว่าหลินอิ่งพยายามประจบหวางหงหลิงในตอนเมื่อกี้นี้ และไม่รู้ว่าวางยาเสน่ห์อะไรในน้ำซุปของเธอไป

“หลินอิ่ง ฉันเคยบอกสถานการณ์คุณไปแล้ว ทำไมคุณถึงไม่รู้จักคิดบ้าง?” เซียวซวนพูดอย่างเย็นชา “เมื่อกี้ฉันเพิ่งโทรหาพี่ชายลูกพี่ลูกน้องของฉัน และพี่ชายลูกพี่ลูกน้องของฉันจะกลับมาที่เมืองชิงหยูนในอีกสองวัน ถ้าถึงเวลานั้นคุณยังคงพัวพันกับหวางหงหลิงอยู่ และคุณก็จะจบลงในไม่ช้าแล้ว”

หลินอิ่งมองไปที่หวางหงหลิง และถามว่า “พี่ชายลูกพี่ลูกน้องของเธอคือใครเหรอ?”

แม้จะรู้ว่านี่คือหวางหงหลิงที่จงใจปฏิบัติต่อตัวเองในฐานะเป้าหมายการถ่ายโอน แต่มันก็น่ารำคาญจริงๆ ที่ต้องฟังเซียวซวนคนนี้เอาพี่ชายลูกพี่ลูกน้องของเธอมาขู่เข็ญตัวเอง

“พี่ชายลูกพี่ลูกน้องของเซียวซวน ชื่อเซียวจวง เป็นลูกชายคนโตของเซียวซื่อกรุ๊ปแห่งประเทศ M และเป็นบุคคลที่มีหุ้นส่วนอยู่ในลาตินกรุ๊ปเช่นกัน” หวางหงหลิงกล่าวด้วยรอยยิ้มเล็กน้อย

หลินอิ่งขมวดคิ้วเล็กน้อย มีหุ้นส่วนอยู่ในลาตินกรุ๊ปงั้นเหรอ? เขาพอเข้าใจเจตนาของหวางหงหลิงบ้างแล้ว

“ใช่ ลาตินกรุ๊ปและเซียวซื่อกรุ๊ปมีความร่วมมือที่ดี หลินอิ่ง ตอนนี้คุณรู้แล้วว่าพี่ชายลูกพี่ลูกน้องของฉันยอดเยี่ยมมากแค่ไหนแล้วหรือยัง? คุณอยากจะเทียบกับพี่ชายลูกพี่ลูกน้องฉัน คุณยังไม่มีคุณสมบัติพออย่างยิ่ง?” เซียวซวนกล่าวด้วยความได้ใจ และรู้สึกมีความเหนือกว่ามาก

“คุณเซียวซวน รอให้พี่ชายลูกพี่ลูกน้องของคุณมาที่เมืองชิงหยูน คุณอย่าลืมให้เขามาหาผม” หลินอิ่งพูดอย่างใจเย็น

เซียวซวนยิ้มเยาะ และพูดว่า “ฮ่าฮ่า ยังจะแกล้งทำเป็นอีกเหรอ? เมื่อคุณพบกับพี่ชายลูกพี่ลูกน้องของฉัน ดูสิว่าคุณยังกล้าที่จะหยิ่งผยองเช่นนี้หรือเปล่า”

ไม่รู้เลยจริงๆว่าหลินอิ่งมีความกล้าหาญมาจากไหนกัน หลังจากรู้ว่าพี่ชายลูกพี่ลูกน้องของเขาเป็นผู้ถือหุ้นของลาตินกรุ๊ป เขายังกล้าพูดกับตัวเองแบบนี้อีกเหรอ? คิดว่าหวางหงหลิงจะสามารถปกป้องเขาได้จริงๆงั้นหรือ?

ถ้าไม่ใช่เพราะว่าพี่ชายลูกพี่ลูกน้องชอบหวางหงหลิง เพียงตระกูลหวางในเมืองชิงหยูนเหรอ จะเอาอะไรมาเปรียบเทียบกับเซียวซื่อกรุ๊ปของพี่ชายลูกพี่ลูกน้องได้?

“หลินอิ่ง เราไปที่เที่ยวชมที่พลาซ่าภาพยนตร์และโทรทัศน์ของเมืองโลกกันก่อน นั่นคือธุรกิจที่อยู่ภายใต้ของตระกูลหวางของเรา คุณสามารถดูขนาดของพลาซ่าภาพยนตร์และโทรทัศน์ได้ มีศักยภาพที่ดีอย่างแน่นอน” หวางหงหลิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม

เมื่อพูดเช่นนั้น หวางหงหลิงก็อยู่ในรถสีแดงกุหลาบที่จอดอยู่ข้างถนน ไอ้หกอยู่ในตำแหน่งคนขับโดยไม่พูดอะไรสักคำ และหลินอิ่งนั่งอยู่ที่เบาะหลังของรถโดยไม่มีการแสดงออกใดๆ

“เดี๋ยวก่อน หงหลิง ฉันจะไปกับคุณ” เซียวซวนเข้าไปที่เบาะหลังของรถ โดยไม่สนใจว่าคนเขาจะเห็นด้วยหรือไม่ “ฉันได้ยินมาว่าจะมีคอนเสิร์ตขนาดใหญ่ที่พลาซ่าภาพยนตร์และโทรทัศน์เมื่อเร็วๆนี้ และยังจะมีการแสดงวงเวียนของดาราดังอีกด้วย ไปเที่ยวดูสักหน่อยพอดีเลย”

หวางหงหลิงขมวดคิ้วเล็กน้อย จากนั้นก็ยิ้ม และสั่งให้ไอ้หกว่า “ไปที่พลาซ่าภาพยนตร์และโทรทัศน์”

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท