ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 201 การประชุมครอบครัว

บทที่ 201 การประชุมครอบครัว

บทที่ 201 การประชุมครอบครัว

“นายเซียว ขอให้คุณให้ความเคารพตัวเองด้วย” จางฉีโม่พูดอย่างเย็นชา “ฉันรู้สึกว่าเวลาที่คุณพูด เหมือนเด็กอายุสามขวบเลย”

“หากคุณมาเพื่อพูดเรื่องไร้สาระ เช่นนั้นต้องขอโทษด้วย ฉันไม่มีเวลาฟัง” จางฉีโม่พูดอย่างชัดเจน สีหน้ารังเกียจมาก ลุกขึ้นและจากไปทันที

“คุณ เดี๋ยวก่อน จางฉีโม่” เซียวจวงลุกขึ้นด้วยใบหน้าที่โกรธ รู้สึกเหมือนได้รับความอับอาย “ฉันให้ความเคารพตัวเอง? แล้วคุณกำลังแสร้งทำอะไรอยู่? คุณรู้หรือไม่ กล้าปฏิเสธฉัน อีกไม่นานคุณก็จะกลายเป็นคนน่าเวทนาแล้ว หรือว่าคุณต้องการที่จะสูญเสียสิ่งที่คุณมีอยู่ในตอนนี้ ฉันเซียวจวงชอบคุณ นั่นคือความโชคดีของคุณแล้ว”

“ฉันไม่มีอะไรจะพูดกับคุณ ถ้าคุณยังมายุ่งกับฉันอีก ฉันจะแจ้ง รปภ.เชิญคุณออกไป” จางฉีโม่พูดอย่างเย็นชา สำหรับคนที่คิดว่าตัวเองเหนือกว่าคนอื่น ไม่มีอะไรจะพูด

หลังพูดจบ จางฉีโม่หันหลังแล้วออกจากห้องอาหารไป เซียวจวงจ้องมองที่หลังของจางฉีโม่ กำหมัดอย่างแน่น รู้สึกไม่พอใจอย่างมาก

เซียวจวงไม่คิดว่า ในขณะที่หุ้นของบริษัทกำลังตกเช่นนี้ จางฉีโม่ไม่สนใจข้อเสนอของเขาแม้แต่นิดเดียว

ตัวเองเป็นคุณชายใหญ่เซียวซื่อกรุ๊ปในประเทศ M ชอบคนชนชั้นต่ำในประเทศหลุงอย่างเธอ มันเป็นโอกาสที่เธอจะเฟื่องฟูขึ้นมาชั่วพริบตาเดียว

เดิมทีเขาคิดว่า แค่ข่มขู่เล็กน้อย แสดงความร่ำรวยของตัวเอง จางฉีโม่ก็คงจะเดินตามตัวเองอย่างเชื่อฟัง เขารู้สึกว่าเมื่อเทียบกับคนอย่างหลินอิ่งแล้ว เหนือกว่าเป็นหลายร้อยเท่า หลินอิ่งไม่คู่ควรมีผู้หญิงสวยๆเช่นนี้

เซียวจวงรู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก ความมีเกียรติในตนเองถูกสะกิดอีกครั้ง ตั้งแต่อาศัยอยู่ในประเทศหลุงวิธีเอาชนะผู้หญิงไม่เคยผิดพลาดเลย แต่มันใช้ไม่ได้ผลสำหรับจางฉีโม่

“คุณชายเซียว ต้องการให้ฉันจัดคน ไปจับตัวผู้หญิงคนนี้กลับมาหรือไม่”

ณ ตอนนี้ บอดี้การ์ดชุดดำข้างกาย ถามเบาๆ

“ฮ่าๆ ฉันจัดการเองได้” เซียวจวงหัวเราะอย่างเย็นชา “เธอจะต้องกลับมาขอร้องฉัน ฉันไม่เชื่อว่า ถ้าบริษัทล้มละลาย เธอจะไม่มาหาฉันเพราะเรื่องเงิน”

รออีกไม่กี่วัน ให้บริษัทเครื่องประดับจางซื่อพ่ายแพ้ แล้วผนวกไห่หยางกรุ๊ปซะ เมื่อจางฉีโม่ยากจนข้นแค้น ตัวเองค่อยยื่นมือเข้าไป เธอยังจะมีท่าทีหยิ่งผยองเหมือนตอนนี้อยู่ได้หรือไม่

เมื่อคิดว่าอีกไม่กี่วัน จางฉีโม่ก็ต้องก้มหัวที่หยิ่งผยองลงเพื่อขอร้องตัวเอง เขาก็รู้สึกมีความสุขมาก

“กลับกันเถอะ เมื่อครู่นายคริสโทรหาหาฉัน” เซียวจวงกล่าว ก็นำบอดี้การ์ดชุดดำคนนี้ออกจากอาคารเป่าติ่ง

ไม่นาน เซียวจวงนั่งอยู่ในรถเบนท์ลีย์สีดำ มาถึงสำนักงานประธานกรรมการของลาตินกรุ๊ป

นายคริสใส่แว่นสายตายาว นั่งอยู่บนที่นั่ง เปิดแชมเปญด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยพลัง

“คุณชายเซียว ฉันคิดว่าพวกเราควรจะฉลองกันหน่อย แผนการครั้งนี้สมบูรณ์มาก เจียงฉีของไห่หยางกรุ๊ปเข้าโรงพยาบาลแล้ว อย่างน้อยก็ประมาณเดือนกว่าที่ไม่สามารถมาดูแลกิจการของไห่หยางกรุ๊ปได้” นายคริสยิ้มเล็กน้อย “ระยะเวลานานขนาดนี้ เพียงพอสำหรับพวกเราที่จะผนวกไห่หยางกรุ๊ปได้ วงการธุรกิจในเมืองตุงไห่ ก็จะถูกผูกขาดโดยพวกเรา”

“แผนการยังไม่เป็นที่น่าพอใจมากนัก นายคริส” เซียวจวงสีหน้าไม่ค่อยพอใจ “ถึงแม้เจียงฉีจะอาการสาหัส แต่หลินอิ่งหนีไปได้ ส่วนนี้ทำให้ฉันไม่พอใจมาก ฉันคิดว่าคุณต้องจัดการลอบสังหารอีกครั้ง ฆ่าหลินอิ่งซะ”

เขาไม่ได้สนใจกิจการของลาตินกรุ๊ป แต่เขาสนใจความเป็นความตายของหลินอิ่งมากกว่า

นายคริสขมวดคิ้ว กล่าวว่า “คุณชายเซียว หลินอิ่งเป็นแค่คนตัวเล็กๆคนหนึ่ง ไม่จำเป็นต้องสนใจเลย

ฉันช่วยคุณจัดการลอบสังหารอีกไม่ได้แล้ว วิธีการเดียวกันนี้สามารถใช้ได้เพียงครั้งเดียว ตอนนี้พวกเขามีการเตรียมตัวแล้ว ถ้าลงมืออีกครั้ง จะเป็นการเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับพวกเรามากขึ้นเท่านั้น”

“คนที่เราส่งไปฆ่าหลินอิ่งกับเสิ่นซาน ตอนนี้ไม่สามารถติดต่อได้แล้ว คนพวกนี้รู้สถานะของฉัน อาจจะเปิดเผยเรื่องของฉันได้” นายคริสพูดเบาๆ “เสิ่นซานคนคนนี้ กองกำลังใต้ดินของเขาในเมืองตุงไห่ เพียงพอที่จะงัดข้อกับฉันได้”

“ฉันไม่สนใจเรื่องเหล่านี้ นายคริส เมื่อไหร่จึงจะสามารถผนวกไห่หยางกรุ๊ปได้ ฉันสนใจแค่เงินที่ลงทุน จะมีกำไรมากน้อยเพียงใด” เซียวจวงกล่าว

นายคริสยิ้ม แววตาดูถูกเหยียดหยามปรากฏขึ้นในดวงตาของเขา พูดอย่างไม่แยแส “ฉันได้ส่งคนไปจัดการกับผู้ถือหุ้นของไห่หยางกรุ๊ปแล้ว พวกเขาจบสิ้นแล้ว ส่วนคุณต้องการจะจัดการตัวละครเล็กๆอย่างหลินอิ่ง ฉันจะจัดบอดี้การ์ดให้คุณ คุณก็ไปจัดการเองแล้วกัน เป้าหมายของฉันคือจัดการกับเสิ่นซาน”

“ดีมาก ภายในหนึ่งอาทิตย์สามารถผนวกสมาคมหลายหมื่นล้านได้ นายคริส คุณเก่งจริงๆ” เซียวจวงกล่าวด้วยความดีใจ ภูมิใจมาก มาประเทศหลุงทริปเดียว นอนเล่นก็ยังสามารถทำเงินได้มากมายแล้วยังมีสาวๆอีกมากมาย สบายจริงๆ

“ชนแก้ว”

ทั้งสองต่างคดในข้อ งอในกระดูก ยิ้มแล้วชนแก้ว

อีกด้านหนึ่ง วิลล่าหิมะมังกร

เสิ่นซานส่งหลินอิ่งถึงหน้าประตูวิลล่าด้วยตัวเอง ก่อนหน้านี้ฉีโม่นัดเวลาแล้ว เขามาถึงวิลล่าตรงเวลา

วิลล่าหิมะมังกรแห่งนี้ ถูกลู่หย่าฮุ่ยตกแต่งจนหัวมังกุท้ายมังกรยุ่งไปหมด สูญเสียรูปแบบก่อนหน้านี้ไปโดยสิ้นเชิง

เมื่อหลินอิ่งเดินเข้าประตู รู้สึกถึงบรรยากาศที่แปลกๆ ลู่หย่าฮุ่ยกับจางซิ่วเฟิงนั่งอยู่บนโซฟา จ้องมองตัวเองด้วยสายตาที่แปลก

แต่จางฉีโม่ นั่งอยู่ข้างๆ สีหน้าดูเคร่งขรึมมาก

“หลินอิ่ง มานั่งคุยกันก่อน ฉันคิดว่าวันนี้จำเป็นต้องมีการประชุมครอบครัวแล้ว” ลู่หย่าฮุ่ยกล่าวอย่างจริงจัง

หลินอิ่งเงียบสงบ นั่งลง เพิ่งสังเกตเห็น บนโต๊ะเต็มไปด้วยกองธนบัตรสีแดง ดูแล้วตื่นตามาก

“หลินอิ่ง เห็นแล้วใช่ไหม นี่คือเงินสดสองล้าน คนมีส่งมาเพราะเห็นแก่หน้าของฉีโม่” ลู่หย่าฮุ่ยกล่าวอย่างภาคภูมิใจ “คุณลองเดาดูว่าใครเป็นคนส่งเงินมา”

หลินอิ่งขมวดคิ้ว แล้วถาม “ใครเป็นคนส่งเงินมา”

“เฮอ เซียวซวน คุณรู้จักไหม” ลู่หย่าฮุ่ยกล่าวอย่างเย็นชา “ถ้าไม่มาด้วยตัวเอง ฉันก็ยังไม่รู้ หลายวันนี้คุณกลับไปที่วิลล่า ทำอะไรอยู่ข้างนอกบ้าง”

จางซิ่วเฟิงถอนหายใจ กล่าวว่า “เฮ้ ช่างเป็นอะไรที่โชคร้าย หลินอิ่ง ทำไมคุณถึงไม่อายบ้าง บ้านก็ไม่กลับ วันๆก็อยู่กับหวางหงหลิงผู้หญิงคนนั้น ส่วนนี้ก็ช่างมันเหอะ แล้วทำไมต้องสร้างปัญหาให้พวกเราอีก”

“หวางหงหลิงมีคู่หมั้นแล้ว ชื่อเซียวจวง ได้ยินมาว่าตอนนี้เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของลาตินกรุ๊ปในเมืองชิงหยูน เขาให้ลูกพี่ลูกน้องส่งเงินมา เป็นการทักทายพวกเรา เตือนคุณอยู่ห่างๆหวางหงหลิง คุณรู้หรือไม่ว่าน่าอับอายแค่ไหน” จางซิ่วเฟิงถามและพูด

“เซียวซวนเคยมาที่นี่แล้ว” หลินอิ่งถาม

เขาพอจะเข้าใจสถานการณ์แล้ว เซียวซวนส่งเงินมาที่บ้านตัวเอง แล้วยังทิ้งคำพูดเช่นนี้ไว้ สองพี่น้องเซียวซื่อกรุ๊ป น่าขยะแขยงมากพอ

“ใช่ ถ้าคนไม่มา พวกเรายังคงอยู่ในกะลา ตอนนี้เรื่องมันวุ่นวายขนาดนี้ ลาตินกรุ๊ปเริ่มลงมือกับบริษัทของฉีโม่แล้ว นั่นไม่ใช่เพราะคุณยั่วยุคู่หมั้นของคนอื่นอย่างไร้ยางอาย คุณทำอะไรลงไป” ลู่หย่าฮุ่ยตำหนิอย่างไม่ไยดี แสดงอารมณ์ที่เบื่อหน่าย

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท