ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 182 ไม่ต้องกลัวคำขู่

บทที่ 182 ไม่ต้องกลัวคำขู่

บทที่ 182 ไม่ต้องกลัวคำขู่

“อะไรนะ? แผนการลงทุนหมื่นล้าน นี่ไม่ใช่เรื่องตลกใช่ไหม?”

“นี่? ครั้งที่แล้วราคา 2 พันล้านของไห่หยางกรุ๊ปยังไม่สามารถเอาชนะลาตินกรุ๊ปได้เลย คราวนี้บอกว่า 1 หมื่นล้าน? หรือว่าจะมีซุปเปอร์แชโบลหนุนหลังอยู่เบื้องหลังหรือ?”

เมื่อเจียงฉีได้เสนอราคาออกมา แขกรับเชิญทุกคนที่อยู่ในสถานที่ต่างก็ร้องอุทาน ซึ่งมันเหลือเชื่อมาก

แผนการลงทุน 5 พันล้านของลาตินกรุ๊ปนั้นมันเกินจริงมากพอแล้ว คราวนี้เป็น 1 หมื่นล้านโดยตรง และยังสัญญาว่าตัวแทนเจ้าของธุรกิจไม่ต้องสนใจในเรื่องอื่นๆอีกด้วย

นี่เท่ากับว่าเป็นการอุดช่องโหว่แห่งความเสี่ยงด้วยเงินไปเลย พันธมิตรทางธุรกิจเช่นนี้จะไปหาได้ที่ไหนอีก?

ในชั่วขณะ หัวใจของทุกคนก็เอนเอียงไปที่ไห่หยางกรุ๊ปจนหมด

“คุณเจียงฉี? คุณไม่ใช่ว่ากำลังพูดเป้อเย้ออยู่หรือ? นี่มันจะต้องผ่านเจ้าหน้าที่เป็นสักขีพยานนะ ไม่ใช่ว่าคุณจะเรียกออกอย่างผ่านๆก็ได้” ลี่น่าขมวดคิ้วเล็กน้อย สีหน้าของเธอดูประหลาดใจมาก เธอมองเจียงฉีด้วยความไม่น่าเชื่อ

“คุณลี่น่า ทำไมคุณถึงพูดคำพูดที่ไร้เดียงสาเช่นนี้ได้ ในโอกาสที่เคร่งขรึมเช่นนี้? ผมเรียกราคามั่วงั้นเหรอ?” เจียงฉียิ้มเยาะ เมื่อเห็นความตื่นตระหนกของหญิงสาวชาวต่างชาติที่หยิ่งผยองคนนี้ ก็มีความรู้สึกที่พึงพอใจอย่างมาก

“ใช่ คุณลี่น่า ลาตินกรุ๊ปของพวกคุณดูถูกสมาคมธุรกิจเมืองชิงหยูนของเรามากเกินไปหรือไม่? ในโอกาสแบบนี้จะอนุญาตให้มีการเสนอราคาโดยพลการได้อย่างไร? การทำธุรกิจมันเกี่ยวข้องกับความซื่อสัตย์ ประธานเจียงจะเรียกราคาตามอำเภอใจได้อย่างไร?”

“ถ้าลาตินกรุ๊ปของพวกคุณมีความจริงใจขนาดนี้ งั้นก็ควรรายงานแผนการลงทุนที่น่าสนใจกว่าประธานเจียง ไม่เช่นนั้นก็อย่ามาหาเรื่องอยู่ที่นี่!”

“นี่……ฉัน” ลี่น่าหน้าแดง และในเวลาเธอถูกจับได้ว่าพูดไม่เป็นระเบียบ ทำให้คนอื่นหัวเราะเยาะ

แผนงาน 1 หมื่นล้านที่เจียงฉีโยนออกมานั้นเป็นระเบิดที่แข็งแกร่งจริงๆ มันมีแรงกระแทกมาก และเธอไม่สามารถยอมรับมันได้ชั่วขณะหนึ่ง

เดิมทีในครั้งนี้จะมาคุยเรื่องธุรกิจ วงเงินสูงสุดของแผนคือหกพันล้าน มีแผนจะรวมที่ดินและทรัพยากรอสังหาริมทรัพย์ใกล้เมืองเทคโนโลยีอีกครั้ง เพื่อการพัฒนา

แต่ผลก็คือ ไม่ได้คาดคิดว่าไห่หยางกรุ๊ปจะร่ำรวยได้ขนาดนี้ และเตรียมเงินทุนไว้ 1 หมื่นล้าน

การปรับใช้กลยุทธ์ทางธุรกิจของลาตินกรุ๊ปไม่ได้เตรียมเงินทุนจำนวนมากเช่นนี้ ในขณะนี้แม้ว่าจะโทรแจ้งบุคคลระดับสูงที่รับผิดชอบ แต่มันก็ไม่ได้ผลอะไรเลย

การใช้เงินจำนวนมากเช่นนี้ จะต้องผ่านการประชุมคณะกรรมการของบริษัทเท่านั้น สามารถพูดได้ว่า ในครั้งนี้ถูกโจมตีจนรับมือไม่ทัน

“ตัวแทนธุรกิจทุกท่าน ยังไม่ต้องกังวล” ลี่น่าบังคับให้ตัวเองสงบลง “แผนงาน 1 หมื่นล้านไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเลย ฉันหวังว่าพวกคุณจะเก็บที่ดินไว้ในมือก่อนในขณะนี้ บริษัทของเราจะเสนอแผนการที่ดีกว่าแน่นอน ซึ่งจะดีกว่าและมีกำไรมากกว่าไห่หยางกรุ๊ปอย่างแน่นอน!”

“วางทิ้งไว้เหรอ? คุณกำลังล้อเล่นอะไรอยู่? คุณลี่น่า เราเคารพลาตินกรุ๊ป แต่คุณบอกให้เราอย่าทำธุรกิจที่ให้ผลกำไรอย่างชัดเจน และรอแผนงานของคุณงั้นเหรอ?”

“คุณลี่น่า สิ่งที่คุณพูดนั้นไร้สาระเกินไป เราไม่มีเหตุผลหรือภาระผูกพันที่จะต้องเก็บไว้ให้คุณ”

ผู้คนที่อยู่ในสถานที่เริ่มต่อต้านขึ้นมาทันที รังเกียจมากกับคำพูดที่เกินจริงของลี่น่า

คนอื่นเขาเสนอโครงการลงทุนในราคาสองเท่าของบริษัทพวกคุณออกมา และให้ทุกคนรอให้คุณเปิดโครงการที่ดีกว่านี้งั้นเหรอ? นี่ไม่ใช่การเล่นขายของเด็กเหรอ? คิดว่ามีเพียงลาตินกรุ๊ปเท่านั้นจริงๆเหรอที่มีความสามารถในการพัฒนาโครงการขนาดใหญ่?

ลี่น่ารู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย เมื่อเห็นว่าอำนาจไม่สามารถควบคุมสนามได้ เธอจึงพูดอย่างเย็นชา “ทุกท่าน หวังว่าพวกคุณจะไม่ต่อต้านลาตินกรุ๊ปของเรา มิฉะนั้น จะไม่มีผลดีใดๆ! ถ้าพวกคุณกล้าที่จะเซ็นสัญญากับไห่หยางกรุ๊ปแล้วก็ พวกคุณจะต้องเสียใจทีหลังอย่างแน่นอน!”

“นี่……..”

“คุณลี่น่า คุณ นี่คุณกำลังคุกคามเราอยู่หรือ?”

ขณะที่ลี่น่าพูดด้วยน้ำเสียงที่แข็งกร้าวออกมา บรรดาชนชั้นสูงในสถานที่ก็มีสีหน้าดูไม่ดีขึ้นมาทันที และดูคิดหนักเล็กน้อย

คนในวงการรู้ดีถึงพลังของลาตินกรุ๊ป มีกลุ่มบุคลากรที่ดุร้ายอย่างลับๆ และวิธีการก็ดุร้ายมาก ตราบใดที่บเป็นการค้าขายที่บริษัทพวกเขาต้องการจะเอาชนะ ก็จะทำให้ได้รับโดยทุกวิถีทาง และพวกเขาก็จะใช้วิธีบีบบังคับแบบไม่คำนึงถึงสิ่งใดๆ

เมื่อไม่นานมานี้ ซีอีโอของบริษัทหลายคนถูกทำให้เสียศักดิ์ศรี เพราะพวกเขาทำให้ลาตินกรุ๊ปขุ่นเคือง พวกเขาหมดตัวไปในชั่วข้ามคืน และล้มละลายและออกจากเมืองชิงหยูนไป

“ลี่น่า คุณหยิ่งผยองเกินไปหรือเปล่า? คุกคามและข่มขู่แบบเปิดเผยงั้นเหรอ? คิดว่าเมืองชิงหยูนเป็นที่ไหนเหรอ?” เจียงฉีซักถามด้วยความโกรธ

ครั้งที่แล้วเขาเกือบจะถูกคนของลาตินกรุ๊ปจัดการไปแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะเสิ่นซานมาถึงทันเวลาร่างของเขาคงแข็งไปแล้ว

เห็นได้ชัดว่า ลาตินกรุ๊ปได้นำกลยุทธ์เงินทุนที่เต็มไปด้วยกลิ่นเลือดมาใช้ และต้องการสร้างการผูกขาดทางธุรกิจในเมืองตุงไห่เลยทีเดียว

“คุกคามงั้นเหรอ?” ลี่น่ายิ้มอย่างเหยียดหยาม “ประธานเจียง ความพ่ายแพ้ของครั้งที่แล้วยังไม่พออีกหรือ? จะต้องมาเป็นคู่ต่อสู้กับลาตินกรุ๊ปของเราให้ได้ใช่ไหม? คุณมีความแข็งแกร่งมากพอขนาดนั้นหรือไม่?”

ไม่รู้ว่าเจียงฉีได้รับการสนับสนุนทางการเงินมากมายจากที่ไหน แต่แล้วยังไงล่ะ? หากปราศจากความสามารถที่สอดคล้องกัน ไม่ว่าไห่หยางกรุ๊ปจะร่ำรวยสักแค่ไหนก็ตาม มันก็เป็นเพียงแกะตัวอ้วนๆที่รอคนอื่นเชือดเท่านั้น

“ฮ่าฮ่า ลาตินกรุ๊ปของพวกคุณไม่มีเงินพอยังจะมาคุยเรื่องการค้าขายอะไรกัน? มีวิธีการใดๆก็ปล่อยมาได้เลย!” เจียงฉีพูดอย่างเย็นชา โดยมีประธานหลินคอยหนุนหลัง เขาไม่เกรงกลัวการคุกคามของลาตินกรุ๊ปเลยสักนิด

“ทุกท่าน พวกคุณไม่ต้องกลัวการคุกคาม!” เจียงฉีมองไปที่ผู้คนที่อยู่ชั้นล่าง และพูดด้วยใบหน้าที่จริงจัง “ตอนนี้ผมจะให้ทีมธุรกิจแสดงแผนงานให้ทุกท่านดู และส่งมอบต่อในภายหลังก็โอเคแล้ว บริษัทของเราจะเริ่มก่อสร้างและพัฒนาโครงการเมืองโลกถัดจากเมืองเทคโนโลยีในทันที”

“คุณ! คุณอยากรนหาที่ตายหรือ?” ลี่น่ามองไปที่เจียงฉีอย่างโกรธเคือง และโกรธด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น แค่ทรราชท้องถิ่นของประเทศมังกรคนหนึ่งเท่านั้น กล้าต่อกรกับบริษัทข้ามชาติอย่างพวกเขางั้นเหรอ?

“คุณลี่น่า ถ้าลาตินกรุ๊ปของพวกคุณอยากจะได้รับสิทธิในการพัฒนา งั้นก็ควรเอาความสามารถมาพูด อย่าก่นด่าเหมือนแม่ค้าท้องถนน? โอเคไหม?”

“เสียงตบลิ้น นี่คือชุดของกลุ่มตัวแทนธุรกิจข้ามพรมแดนเหรอ คุณภาพนั้นน่ากังวลนัก”

ผู้คนในสถานที่ล้วนใช้ประโยชน์จากสถานการณ์เพื่อเยาะเย้ยขึ้นมา

พวกเขารู้สึกไม่เห็นชอบมานานแล้วที่ลาตินกรุ๊ปหาเงินในเมืองชิงหยูนและขาดความมั่งคั่งของผู้คน หากไม่ได้รับการสนับสนุนจากไห่หยางกรุ๊ป พวกเขายังไม่พบโอกาสที่จะเยาะเย้ยเลย

สีหน้าของลี่น่าแดงขึ้น และเธอก็พาคนเดินออกไปด้วยท่าทางที่โกรธเคืองมาก การเงินก็เอาชนะไม่ได้ การขู่เข็ญก็ไม่มีใครกลัวเลย ดังนั้นเธอจึงไม่มีหน้าที่จะอยู่ที่นี่อีกต่อไปแล้ว

เมื่อเห็นสถานการณ์ เจียงฉีก็ยิ้มรับ โทรศัพท์ออกไป จากนั้นก็มีทีมธุรกิจของไห่หยางกรุ๊ปที่อยู่ด้านนอกประตูเดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว และเริ่มส่งมอบเอกสารให้กับตัวแทนธุรกิจที่นั่งอยู่ทั้งหมด

สถานการณ์โดยรวมถูกกำหนดไว้แล้ว

“ประธานหลิน เรื่องต่อไป คุณว่าควรจะจัดการอย่างไรดี? ผู้หญิงคนนั้นต้องให้เธออยู่หรือไม่?” เจียงฉีหันไปมองหลินอิ่ง และถามด้วยความเคารพ

หลินอิ่งยังคงจิบน้ำชาอยู่ และกล่าวว่า “คุณให้ฉินฝู้กุ้ยติดตามเธอไว้ก็พอแล้ว ในตอนนี้สิ่งสำคัญก็คือการค้นหาผู้มีอำนาจสูงสุดที่อยู่เบื้องหลังของลาตินกรุ๊ปออกมาให้ได้”

ฮาพิคนก่อน และลี่น่าคนนี้ เป็นเพียงตัวแทนของลาตินกรุ๊ปเท่านั้น ผู้มีอำนาจที่อยู่เบื้องหลังตัวจริงนั้นฉลาดมาก และไม่เคยปรากฏตัวอยู่ในเมืองชิงหยูนเลย

“เรื่องทั้งหมดในภายหลังของเมืองโลก คุณต้องรับผิดชอบในการติดตามและจัดการ” หลินอิ่งกล่าวอย่างเคร่งเครียด “เรื่องของเงินทุนผมจะให้คนเอาเงินเข้าบัญชีของบริษัทเอง”

“ครับ ประธานหลิน” เจียงฉีพยักหน้า

หลินอิ่งลุกขึ้นและเดินออกจากห้องเหมา เจียงฉีกราบส่งเขาไปที่ห้องโถงก่อน ถึงจะกลับไปจัดการธุระต่อ

เมื่อมาถึงห้องโถงธุรกิจ ครอบครัวของจางฉีโม่ยังคงคุยเรื่องโฆษณาชวนเชื่อกับบริษัทภาพยนตร์และโทรทัศน์อีกแห่งอยู่

หลินอิ่งครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง และส่งข้อความไปหาหยูจื๋อเฉิง เพื่อให้เขาโอนเงินมาจากตี้จิง

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท