ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 194 ฉันมีลาตินกรุ๊ปหนุนหลัง

บทที่ 194 ฉันมีลาตินกรุ๊ปหนุนหลัง

บทที่ 194 ฉันมีลาตินกรุ๊ปหนุนหลัง

พอปี้ซินหยู่เข้าประตูมา ก็ตำหนิต่อหน้าเจียงฉี ดูน่าเกรงขามไม่หวั่นเกรงไห่หยางกรุ๊ป

สีหน้าเจียงฉีเปลี่ยนไปเล็กน้อย กำลังจะเปิดปากบริภาษ จากนั้นก็มองไปทางหลินอิ่งด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

หลินอิ่งสีหน้าปกติ มองสำรวจปี้ซินหยู่รอบหนึ่ง

ผู้หญิงเย่อหยิ่งคนนี้ดูคุ้นตาอย่างมาก เหมือนเป็นดาราที่เคยเห็นบนหน้าจอทีวีเป็นประจำ

ปี้ซินหยู่แต่งตัวได้อินเทรนด์ รูปร่างหน้าตาก็สวยมากเช่นกัน นับเป็นสาวสวยจัดคนหนึ่งได้เลย เพียงแต่ขาดมารยาทไปไม่น้อย

หลินอิ่งไม่ได้พูดอะไร ยกชาของตัวเองขึ้นมาดื่ม ส่งสัญญาณทางสายตาให้เจียงฉี

เจียงฉีมองไปที่ปี้ซินหยู่ กล่าวด้วยสีหน้าจริงจังว่า “คุณปี้ใช่ไหม? สวัสดีครับ ผมคือผู้ดูแลไห่หยางกรุ๊ป เจียงฉี”

พอได้ยิน ปี้ซินหยู่ก็มีสีหน้าประหลาดใจ เห็นได้ชัดว่าถูกการแนะนำตัวนี้ทำให้ตกใจเข้าแล้ว ใช้เวลาอยู่สักพักถึงกลับมาเป็นปกติ ยังมีท่าทางเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งอยู่บ้าง

“คุณคือ? ประธานเจียงของไห่หยางกรุ๊ป” ปี้ซินหยู่ถามอย่างสงสัย

ก่อนหน้านี้เธอแค่ได้ยินว่ามีผู้บริหารระดับสูงคนหนึ่งของไห่หยางกรุ๊ปมา เปลี่ยนผู้กำกับและผู้ดูแลของทีมโปรดักชั่นกะทันหัน แต่คิดไม่ถึงว่าจะเป็นเจียงฉีประธานของไห่หยางกรุ๊ปมาที่นี่ด้วยตนเอง!

“ครับ คุณปี้ เรื่องการเปลี่ยนตัวผู้กำกับของทีมโปรดักชั่น เป็นเรื่องภายในองค์กรของเรา คุณมีอะไรไม่พอใจหรือ?” เจียงฉีกล่าวด้วยสีหน้าราบเรียบ

เขาเองก็รู้ความเป็นมาของปี้ซินหยู่เช่นกัน ดาราใหญ่ในวงสังคมตี้จิง มีตำแหน่งสำคัญอยู่ในวงการโทรทัศน์ ค่อนข้างเส้นใหญ่ เป็นเพราะคลุกคลีในวงสังคมตี้จิง ปี้ซินหยู่จึงเคยคบหากับผู้ทรงอิทธิพลของตี้จิงอยู่ไม่น้อย ดังนั้นถึงได้วางอำนาจบาตรใหญ่เช่นนี้ ทีมโปรดักชั่นทั้งทีมที่กำหนดไว้ตอนแรกล้วนคอยรับใช้เธอคนเดียว

“ประธานเจียง เรื่องนี้ฉันไม่พอใจอย่างมาก!” ปี้ซินหยู่พูดอย่างไม่พอใจ “ฉันมาเมืองตุงไห่เพื่อร่วมงานถ่ายละครโบราณเรื่องนี้กับไห่หยางกรุ๊ปของพวกคุณ คุณเองก็น่าจะรู้ว่าเห็นแก่หน้าใคร พวกเราเซ็นสัญญาตกลงกันแล้วว่า เรื่องในทีมโปรดักชั่นทั้งหมดฉันต้องเป็นคนจัดการเอง!”

“ต่อให้ผู้กำกับเป็นคนของไห่หยางกรุ๊ป ภายในคิดจะเปลี่ยน ก็ต้องมาบอกฉันล่วงหน้าก่อน มาถามความเห็นฉันถึงจะถูก!” ปี้ซินหยู่พูดอย่างเอาแต่ใจ

เธอไม่ได้สนใจว่าภายในไห่หยางกรุ๊ปจะจัดคนไหนมา แต่เกาจีไท่เป็นผู้กำกับที่สามารถให้ค่าตัวที่แพงที่สุดกับเธอได้ และยังเชื่อฟังราวกับสุนัขพันธุ์ปักกิ่งตัวหนึ่ง ที่สำคัญที่สุดคือ เปลี่ยนคนกะทันหันโดยไม่แจ้ง ถือเป็นการไม่ไว้หน้าเธอโดยสิ้นเชิง

เจียงฉีมีสีหน้าลังเล ฐานภาพยนตร์ละครโบราณนี้ เป็นส่วนสำคัญในการโฆษณาโครงการเมืองโลก ตอนนั้นได้ไว้วานเพื่อนในวงสังคมตี้จิงใช้เงินหลายสิบล้านเชิญตัวปี้ซินหยู่มา เพื่อใช้เป็นตัวหลักในการโฆษณา

แต่ก็คิดไม่ถึงเช่นกันว่า คนคนนี้จะมีปัญหามากขนาดนี้ กระทั่งภายในเปลี่ยนตัวผู้กำกับก็ยังมาสร้างปัญหา

“คุณปี้ นี่เป็นการจัดการภายในขององค์กรเรา คุณมาหาผม คุณคิดว่ายังไงล่ะ?” เจียงฉีถามด้วยสีหน้าจริงจัง

“ง่ายมาก ชดใช้ค่าเสียหาย” ปี้ซินหยู่พูดออกมาตรงๆ “นี่เป็นการกระทำที่ขัดต่อสัญญา เงินชดเชยตามสัญญา สองร้อยล้าน!”

หลินอิ่งวางถ้วยชาลง มองปี้ซินหยู่แวบหนึ่ง ช่างกล้าพูดจริงๆ สองร้อยล้าน นักแสดงคนหนึ่งใหญ่โตขนาดนี้เชียว? กล้าหาเรื่องกับเจียงฉี? เดาว่าคงนึกว่าตนเองมีภูมิหลังสินะ

จากนั้น เขาก็มองไปที่เจียงฉี เจียงฉีมีสีหน้าเคร่งเครียด รู้สึกขายหน้าต่อหน้าประธานหลินอีกแล้ว ตัวหลักในการโฆษณาที่ถูกจ้างมาขู่กันถึงที่เลยเชียว

“คุณปี้ คุณไม่ได้กำลังล้อเล่นอยู่ใช่ไหม? คุณต้องการยกเลิกสัญญาจึงมาถามหาค่าชดเชยสองร้อยล้านจากผม?” เจียงฉีถามเสียงต่ำ

“หึ” ปี้ซินหยู่หัวเราะหยัน ท่าทางไม่ยี่หระ “ตามสัญญา หากไห่หยางกรุ๊ปผิดสัญญา จะต้องชดใช้ค่าเสียหายเป็นจำนวนห้าเท่าของค่าตัวนักแสดง นี่เขียนไว้ชัดเจนในสัญญา หรือคุณต้องการให้ฉันฟ้องร้องบริษัทพวกคุณล่ะ?”

“จริงสิ และอย่าคิดจะเปลี่ยนเกาจีไท่กลับมาเป็นผู้กำกับต่อเชียว ไม่มีประโยชน์! พวกคุณไม่แจ้งฉัน ก็เปลี่ยนคนในทีมโปรดักชั่นโดยพลการ ถือเป็นการผิดสัญญาไปแล้ว” ปี้ซินหยู่กล่าวอย่างเอาแต่ใจ “ไม่มอบคำอธิบายที่เหมาะสมให้ฉัน ฉันจะจ้างทนายมาฟ้องร้อง”

“คุณต้องการคำอธิบายอะไร” หลินอิ่งเอ่ยปากถาม

ปี้ซินหยู่มองสำรวจหลินอิ่งแวบหนึ่ง แววตาเหยียดหยาม กล่าวว่า “นายมีฐานะอะไร? มีสิทธิ์พูดแทนไห่หยางกรุ๊ปด้วยเหรอ?”

“ประธานเจียง ฉันหวังว่าตอนที่ฉันกับคุณเจรจากัน จะไม่มีพนักงานตัวเล็กๆ มาสอดปากในเรื่องนี้” ปี้ซินหยู่กล่าวอย่างไม่เกรงใจ

คนที่สวมเสื้อผ้าราคาถูกแบบนี้ ไม่มีสิทธิ์มาพูดคุยกับเธอ

“คำอธิบายที่ฉันต้องการนั้นง่ายมาก ทำตามสัญญา ชดใช้ค่าเสียหายสองร้อยล้าน เรื่องที่ไห่หยางกรุ๊ปผิดสัญญาก็จะไม่ติดใจเอาความ ฉันก็จะถ่ายละครเรื่องนี้ต่อให้พวกคุณจนเสร็จ ทำหน้าที่เป็นพรีเซ็นเตอร์โฆษณาให้บริษัทพวกคุณจนเสร็จสิ้น” ปี้ซินหยู่มองไปที่เจียงฉีพลางกล่าวอย่างครุ่นคิดว่า “ไม่อย่างนั้นล่ะก็ ฉันรับรองว่าความเสียหายของบริษัทพวกคุณจะไม่จบแค่ที่สองร้อยล้าน!”

เจียงฉีมีท่าทางโมโหเล็กน้อย ถามว่า “คุณหมายความว่ายังไง?”

เขาทำธุรกิจมานานขนาดนี้ เพิ่งจะเคยพบเจอนักแสดงที่พูดจาข่มขู่นายจ้างเป็นครั้งแรก!

“หมายความว่ายังไง?” ปี้ซินหยู่ทำท่าทางครุ่นคิด พูดอย่างกำเริบเสิบสานว่า “ประธานเจียง ให้ฉันบอกคุณตามตรงนะ ลาตินกรุ๊ปก็ให้ค่าตัวฉันราคาสูงเพื่อไปเป็นพรีเซ็นเตอร์โฆษณาให้กับบริษัทพวกเขา แต่ฉันเห็นแก่หน้าประธานหลี่ ถึงไม่ได้ไป ตอนนี้พวกคุณไม่เคารพฉัน แถมเป็นฝ่ายผิดสัญญาก่อน ยังไม่ยอมชดใช้ค่าเสียหาย ฉันคงได้แต่เลือกไปที่ลาตินกรุ๊ปแล้ว”

“คุณต้องการให้ผมโทรไปหาประธานหวางแห่งตี้จิงไหม?” เจียงฉีกล่าวเสียงต่ำ ท่าทางโกรธจัด ผู้หญิงคนนี้ช่างอวดดีเหลือเกิน

“ประธานหวาง? ประธานหวางก็แค่คู่ค้าทางธุรกิจของฉันเท่านั้น ควบคุมฉันไม่ได้หรอก” ปี้ซินหยู่กล่าวอย่างไม่อนาทรร้อนใจ

เจียงฉีขมวดคิ้วเล็กน้อย แม้จะเป็นดาราเหมือนกัน แต่ปี้ซินหยู่กับหูจินวั่งกลับไม่มีอะไรเหมือนกันเลย ผู้หญิงคนนี้เปิดบริษัทภาพยนตร์และโทรทัศน์ของตัวเอง อยู่ตี้จิงมีคนคอยหนุนหลัง คิดจะตัดเส้นทางเธอนั้นยากมาก

แต่ เธอถือดีอะไรมาต่อกรกับไห่หยางกรุ๊ป? “ปี้ซินหยู่ เธอกล้าข่มขู่บริษัทเรา? เธอคิดว่าไห่หยางกรุ๊ปจะทำอะไรเธอไม่ได้เหรอ?” เจียงฉีกล่าวเสียงต่ำ

ปี้ซินหยู่กล่าวเยาะหยัน “ประธานเจียง คุณประเมินไห่หยางกรุ๊ปสูงไปหรือเปล่า? ฉันมีลาตินกรุ๊ปหนุนหลัง ฉันตัองกลัวคุณด้วยเหรอ? คุณคิดว่าบริษัทของพวกคุณ จะยืนหยัดอยู่ในเมืองตุงไห่ได้นานแค่ไหนกัน?”

เธอถูกลาตินกรุ๊ปซื้อตัวมานานแล้ว หนนี้ไห่หยางกรุ๊ปไม่ยอมจ่ายเงินก้อนโต เธอถึงคร้านจะให้ความสนใจ ถึงอย่างไรใครจ่ายเยอะกว่าตามคนนั้นก็ถูกแล้ว มีลาตินกรุ๊ปเป็นโล่กำบัง ไห่หยางกรุ๊ปก็ไม่กล้าทำอะไรเธอเช่นกัน!

เจียงฉีถูกคำพูดนี้ทำให้เดือดดาลอย่างยิ่ง มองปี้ซินหยู่อย่างเย็นชา

“ฉันจะให้เวลาบริษัทพวกคุณใคร่ครวญอีกหนึ่งวัน จะจ่ายสองร้อยล้านให้ฉัน หรือจะให้ฉันหันไปหาลาตินกรุ๊ปมาฟ้องพวกคุณ ให้พวกคุณจ่ายค่าเสียหาย เป็นข่าวอื้อฉาวว่าบริษัทพวกคุณทำผิดสัญญาลับหลัง แถมยังสูญเสียพรีเซ็นเตอร์โฆษณาไปด้วย!” ปี้ซินหยู่พูดอย่างไม่เกรงใจแม้แต่น้อย น้ำเสียงค่อนข้างแข็งกร้าว

“ลาตินกรุ๊ปหนุนหลัง? สิ่งที่คุณตัดสินใจในวันนี้อย่ามาเสียใจภายหลังก็แล้วกัน” หลินอิ่งยิ้มเย็นกล่าว

ปี้ซินหยู่มองหลินอิ่งอย่างเย็นชา “หึๆ นายกำลังขู่ฉันอยู่หรือ? ดูท่าทางนายมันก็แค่สุนัขรับใช้ตัวเล็กๆ ของไห่หยางกรุ๊ปเท่านั้น ยังกล้ามาอวดดีต่อหน้าฉันอีก? ต่อไปอย่าให้ฉันพบเจอนายระหว่างทางล่ะ”

“ประธานเจียง ในเมื่อบริษัทพวกคุณไม่ยอมจ่ายค่าชดเชย งั้นก็รอหมายจากทนายแล้วกัน” ปี้ซินหยู่กล่าวอย่างอวดดี จากนั้นก็หมุนตัวเดินจากไป

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท