ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 205 กลุ่มเฮยยิง

บทที่ 205 กลุ่มเฮยยิง

บทที่ 205 กลุ่มเฮยยิง

หลังจากรอเซียวจวงจากไป หวางหงหลิงถึงได้โล่งใจ โบกมือส่งสัญญาณให้ไอ้หกกับไอ้เจ็ดเก็บลูกผู้ชายตัวจริงลงไป

เธอมองหลินอิ่งด้วยสีหน้ากังวลอย่างยิ่ง กล่าวอย่างจริงจัง “หลินอิ่ง ตอนนี้คุณรู้แล้วใช่หรือไม่ เซียวจวงอยากจัดการคุณมากแค่ไหน ถ้าคืนนี้ฉันไม่มาหาคุณ คุณรู้หรือไม่ว่าคุณจะมีจุดจบอย่างไร”

หวางหงหลิงไม่คิดว่า คืนนี้เซียวจวงจะพาคนมาหาเรื่องหลินอิ่งด้วยตัวเอง จริงๆเลย หากไม่มีกำลังเพียงพอที่จะปกป้อง ไม่รู้ว่าหลินอิ่งจะตกอยู่ในสภาพอย่างไร

“เซียวจวงยังไม่สามารถจัดการฉันได้” หลินอิ่งกล่าวอย่างช้าๆ

“คุณ” หวางหงหลิงโกรธจนพูดอะไรไม่ออก เธอรู้สึกว่าหลินอิ่งดื้อรั้นมาก ไม่สามารถแยกแยะสถานการณ์ได้

“ฉันไม่สน คุณต้องไปกับฉันเดี๋ยวนี้” หวางหงหลิงกล่าวอย่างจริงจัง “นอกจากฉัน ไม่มีใครสามารถรับรองความปลอดภัยของคุณได้ คนสติฟั่นเฟือนอย่างเซียวจวงมาหาเรื่องคุณ ถ้าคุณตกอยู่ในมือเขา ต้องตายสถานเดียว”

“ฉันให้ไอ้หกกับไอ้เจ็ดคัดคนฝีมือดีมาให้ พวกเขาจะปกป้องคุณ รับรองว่าดีกว่าคนของเสิ่นซาน” หวางหงหลิงกล่าวอย่างจริงจัง

เธอไม่ได้ดูถูกเสิ่นซาน แต่จากที่เธอดู หลินอิ่งไปขอความช่วยเหลือจากเสิ่นซาน อย่างมากเสิ่นซานก็จะจัดบอดี้การ์ดทั่วไปให้หลินอิ่ง จะมาใส่ใจเหมือนตัวเองได้อย่างไร เป็นทีมงานมืออาชีพและโหดเหี้ยมส่งตรงจากโลกนักฆ่าในต่างแดน

และเธอก็รู้ อย่างลาตินกรุ๊ปที่ข้ามชาตินี้ มีกองกำลังในที่มืดมากมาย บอดี้การ์ดทั่วไปไม่สามารถรับมือได้

หลินอิ่งเพียงแค่ยิ้ม กล่าวว่า “ฉันจัดการเองได้ เรื่องนี้คุณไม่ต้องยุ่งอีกแล้ว”

“คืนนี้ฉันยังมีธุระอีก ต้องขอตัวก่อน”

พูดจบ หลินอิ่งหันหลังแล้วจากไป ขึ้นโรลส์-รอยซ์ แฟนเธอมที่จอดอยู่ข้างทาง เสิ่นซานสตาร์ทรถในตำแหน่งคนขับ กลับรถและจากไป

หวางหงหลิงสีหน้าดูกังวล จ้องมองหลินอิ่งขึ้นรถและจากไป ยังคิดจะเตือนหลินอิ่ง แต่ก็ไม่รู้จะพูดอย่างไรแล้ว

เธอไม่เข้าใจจริงๆ ไม่ว่าเธอจะพูดอย่างไร หลินอิ่งก็ไม่ยอมฟังคำเตือน

“ทำไมเขาถึงนิ่งและสงบได้ขนาดนี้” หวางหงหลิงสงสัย และรู้สึกแปลกใจมาก เรื่องมาถึงขนาดนี้แล้ว เผชิญหน้ากับเซียวจวงที่ชอบใช้วิธีข่มขู่คนอื่นเพื่อแก้แค้น ทำไมหลินอิ่งยังหน้านิ่งขนาดนี้ มองไม่เห็นร่องรอยของความตื่นตระหนกเลย

“เฮ้ย” หวางหงหลิงถอนหายใจ มองไปที่ไอ้หกที่อยู่ด้านหลัง กล่าวอย่างจริงจัง “ไอ้หก คุณกับไอ้เจ็ดนำคนไปที่เมืองหนานเฉิงเดี๋ยวนี้ จับตาดูความเคลื่อนไหวของเสิ่นซาน และหาหลินอิ่งให้เจอ ดูเขาไว้”

“เออ……..คุณหนู ทำเช่นนี้ไม่ดีมั่ง” ไอ้หกกล่าวอย่างลังเล “เมืองหนานเฉิงเป็นถิ่นของท่านเสิ่นซาน ข้างกายของเสิ่นซานก็มียอดฝีมือ พวกเราไปจับตามองเขา ถ้าเกิดเขาจับได้ จะทำให้เขาขุ่นเคืองได้……”

ไอ้หกก็ทำตัวไม่ถูก ถ้าเป็นเรื่องของหลินอิ่ง การกระทำของคุณหนูก็จะไร้เหตุผลมาก

ท่านเสิ่นซานเป็นมังกรของเมืองตุงไห่ เขากับไอ้เจ็ด แก๊งที่อยู่ภายใต้มือของเขาล้วนมาจากโลกนักฆ่าต่างแดน กำลังใต้ดินภายนอก ไปติดตามตรวจสอบผู้นำของจังหวัด ที่มันรนหาที่ชัดๆ

หลังจากได้ฟัง หวางหงหลิงขมวดคิ้วเล็กน้อย คิดอยู่สักพัก กล่าวว่า ” เช่นนั้นพวกคุณไปจับตาดูเซียวจวงไว้ เขามีการเคลื่อนไหวอะไรบ้าง พวกคุณรีบรายงานฉันทันที”

ไอ้หกสีหน้าลังเล เช็ดเหงื่อที่หน้าผาก

“คุณหนู ฉันรู้สึกว่า เรื่องของเซียวจวงกับหลินอิ่งท่านไม่ต้องไปเกี่ยวข้องจะดีกว่า เรื่องของหลินอิ่งเป็นความขัดแย้งระหว่างไห่หยางกรุ๊ปกับลาตินกรุ๊ป” ไอ้หกกล่าวอย่างจริงจัง น้ำเสียงเคร่งขรึม “และท่านทุ่มเททั้งแรงกายและแรงใจทำขนาดนี้ หลินอิ่งก็ไม่มีทางรับน้ำใจ”

“ใช่แล้ว คุณหนู ที่ท่านขอให้ตรวจสอบก่อนหน้านี้ ตอนนี้ข้างกายเซียวจวงมีกลุ่มชาวต่างชาติฝีมือดี ความสามารถในการรับมือและการลาดตระเวนค่อนข้างแข็งแกร่ง เราพบเห็นจากการติดตามเมื่อครั้งที่แล้ว” ไอ้เจ็ดกล่าว

จากมุมมองของพวกเขา ไม่ว่าจะเป็นท่านเสิ่นซานที่พึ่งของหลินอิ่ง หรือจะเป็นเซียวจวงของลาตินกรุ๊ป พวกเขาไม่ใช่มังสวิรัติ ต่างก็ไม่ธรรมดา อย่างน้อย กำลังลับของทั้งสองฝ่าย ไม่ใช่ว่าทั้งสองคนจะปรับสมดุลกันได้ง่ายๆ

“ถ้าสังเกตเห็นแล้วยังไง” หวางหงหลิงพูดด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น “ทำตามที่ฉันสั่ง ไปจับตาดูเซียวจวงไว้ อย่างมากก็แค่หักหน้ากันอย่างเปิดเผย”

อย่างไรก็ตามเธอได้ตัดสินใจ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นจะต้องดูแลความปลอดภัยให้หลินอิ่งให้ได้ แม้จะต้องเผชิญหน้ากับลาตินกรุ๊ปซึ่งๆหน้าก็ไม่มีปัญหา

“ครับ พวกเราจะนำคนลงมือเดี๋ยวนี้” ไอ้หกพยักหน้าด้วยความเคารพ คุณหนูขาดสติทั้งหมดเป็นเพราะหลินอิ่ง พวกเขาทั้งสองคนทำได้เพียงแค่เชื่อฟังคำสั่ง

ไม่นาน ไอ้หกกับไอ้เจ็ดก็รวบรวมกำลังคน นำทีมไปสังเกตการณ์ที่ลาตินกรุ๊ป

อีกด้านหนึ่ง รถของเสิ่นซานขับไปที่เขตตะวันออกของเมือง

หลินอิ่งนั่งอยู่หลังคนขับ ดวงตาเย็นชามาก

เขาให้เสิ่นซานมาหา เพราะวางแผนจะลงมือด้วยตัวเองในคืนนี้ ไปตัดปีกของลาตินกรุ๊ป

ก่อนหน้านี้ได้หาข้อมูลข่าวกรองจากคนชาวต่างชาติที่ซุ่มยิง รู้วึคนที่คอยสั่งการอยู่เบื้องหลังลของลาตินกรุ๊ปในเมืองตุงไห่ที่แท้จริงชื่อว่านายคริส เป็นคนประเทศ M เขาเพิ่งส่งกลุ่มยอดฝีมือมาจากต่างประเทศ จากนั้นก็เริ่มตอบโต้

ตอนนี้จะบดขยี้ลาตินกรุ๊ป ก่อนอื่นพวกเขาต้องกำจัดกองกำลังลับของพวกเขาก่อน

คิดอยู่สักพัก หลินอิ่ง กล่าวว่า “เสิ่นซาน ข่าวที่ฉันให้คุณจัดการ ไปตรวจสอบข้อเท็จจริง ผลเป็นอย่างไรบ้าง”

เสิ่นซานขับรถไปด้วย ตอบอย่างจริงจังไปด้วย “ท่านหลิน ฉันได้ให้คนของฉันไปตรวจสอบแล้ว ได้ผลมาว่า ชาวต่างชาติสองคนนั้นไม่ได้โกหก มีคนของลาตินกรุ๊ปแอบซุ่มอยู่ที่ท่าเรือตุงไห่จริง”

หลินอิ่งกล่าว “ขอรายละเอียดของสถานการณ์ด้วย”

“ตามที่ท่านจับตัวสองคนชาวต่างชาตินั้น พวกเขาเป็นคนรักษาความปลอดภัยพิเศษของลาตินกรุ๊ปในประเทศ M ครั้งนี้มีจำนวนคนทั้งหมดสามสิบกว่าคนตามนายคริสมาที่ประเทศหลุง รหัสเรียกว่ากลุ่มเฮยยิง” เสิ่นซานกล่าวอย่างช้าๆ “กลุ่มเฮยยิงกลุ่มนี้ไม่ธรรมดา ล้วนมาจากสำนักสืบสวนด้านความมั่นคงของประเทศM คุณภาพระดับมืออาชีพ”

“สมาชิกในกลุ่มเฮยยิงทุกคน มีความเชี่ยวชาญในการต่อสู้ระยะใกล้ อาวุธปืนต่างๆ และการลาดตระเวน ลอบสังหาร ต่อต้านการก่อการร้าย ล้วนเป็นระดับชั้นนำของต่างประเทศ” เสิ่นซานกล่าวด้วยสีหน้าที่เป็นกังวลเล็กน้อย “ถึงแม้ฉันจะมีกำลังพลมากมาย แต่ถ้าจะต้องเผชิญหน้าและกำจัดคนกลุ่มนี้ให้สิ้นซาก ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย” หลังจากที่เสิ่นซานได้ข้อมูลจากชาวต่างชาติสองคนนั้น ในใจก็รู้สึกเกรงกลัวอยู่บ้าง

แม้ว่าเขาจะอยู่วงการนี้มาหลายปีแล้วก็ตาม แต่ก็ไม่เคยเจอยอดฝีมือเช่นนี้มาก่อน แม่งเอ้ย นี่คือหน่วยพิเศษของประเทศM เลยนะ

ถ้ารู้ กลุ่มเฮยยิงเป็นกลุ่มต่อต้านการโจมตีที่เชี่ยวชาญในการคว่ำบาตรผู้ก่อการร้าย ตอนนี้พวกเขาเองก็หวาดกลัว วิธีการที่สามารถจินตนาการได้ มันต้องโหดร้ายอย่างที่คนปกติคิดไม่ถึง

ลาตินกรุ๊ปมีกองกำลังพิเศษเช่นนี้ ทำให้เสิ่นซานกังวลใจมาก ถ้าไม่มีท่านหลินคอยหนุนอยู่ด้านหลัง เขาก็คงไม่มีความมั่นใจที่จะต่อสู้

“กลุ่มเฮยยิง” หลินอิ่งขมวดคิ้วเล็กน้อย “คนกลุ่มนี้ซุ่มอยู่ที่ท่าเรือตุงไห่จริงเหรอ”

“ใช่ ฉันให้หลิวจุนไปสืบด้วยตัวเองเลย มีชาวต่างชาติแอบซุ่มอยู่ในโกดังขนาดใหญ่ที่ท่าเรือตุงไห่จริง และที่นั่นยังเป็นคลังอาวุธ มีอาวุธทุกประเภท” เสิ่นซานกล่าวอย่างจริงจัง “คราวนี้พวกเขาใช้มือปืนในการลอบสังหาร ครั้งหน้า ฉันสงสัยว่าพวกเขาอาจจะระเบิดพวกเราอย่างบ้าคลั่ง”

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท