ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่216 นี่ก็คือไพ่ใบสุดท้ายของแก?

บทที่216 นี่ก็คือไพ่ใบสุดท้ายของแก?

บทที่216 นี่ก็คือไพ่ใบสุดท้ายของแก?

“จัดการกับกลุ่มเฮยยิงไม่ยากเลยสักนิด เพราะพวกมันอ่อนแอเกินไป” หลินอิ่งจ้องมองคริส พลางกล่าวอย่างสบาย ๆ “ฉันต้องการจะทำยังไง? มันก็ขึ้นอยู่กับท่าทีของแก แกจะเป็นคนกำหนดชะตากรรมของแกเอง”

“กลุ่มเฮยยิงอ่อนแอเกินไป?” คริสขมวดคิ้วเล็กน้อย มุมปากกระตุก

ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นผู้ยิ่งใหญ่และมีอิทธิพลมืดแพร่กระจายไปทั่วภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ในมือของเขากลุ่มเฮยยิงถือว่าเป็นกลุ่มสายลับที่จัดอยู่หนึ่งในสิบอย่างแน่นอน นักฆ่ามืออาชีพที่ลอบสังหารบุคคลสำคัญทางการเมืองของหลายประเทศมาแล้ว กลับบอกว่าอ่อนแอเกินไป?

“เหอะ หลินอิ่ง แกมันช่างกำเริบเสิบสานจริง ๆ กำเริบเสิบสานกว่าทุกคนที่ฉันเคยเจอมาในประเทศหลุง” คริสกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “แกรู้หรือไม่ว่าแกได้ยั่วยุกับอะไรเข้าแล้ว? กำหนดชะตากรรมของฉัน? ช่างตลกและไร้เดียงสาเสียจริง ๆ!”

“ดูเหมือนว่าคณะกรรมการของไห่หยางกรุ๊ปจะถูกแกปลุกระดมเข้าให้แล้ว รอบนี้ถือว่าแกชนะแล้วกัน” คริสยักไหล่ กล่าวด้วยท่าทางไม่แยแส “แต่แกจะไม่โชคดีแบบนี้ตลอดไป คอยดูแล้วกัน ดังนั้นโอกาสที่พวกเราจะประมือกันยังมีอีกเยอะ ในอนาคตแกจะต้องเสียใจภายหลัง”

พูดจบ คริสใบหน้าไร้ความรู้สึก พาชายชุดดำที่อยู่ด้านข้างหันหลังเตรียมจะจากไป

สถานการณ์เป็นที่ชัดเจนแล้วว่า แผนการที่ใช้ในการต่อกรกับไห่หยางกรุ๊ปในครั้งนี้ ได้ถูกทำลายโดยหลินอิ่งที่ปรากฏออกมาอย่างกะทันหัน แม้แต่กลุ่มเฮยยิงก็ไม่มีร่องรอย พูดได้ว่าการปฏิบัติการในครั้งนี้ล้มเหลวโดยสิ้นเชิง

หลังจากที่กลับไป อาจจะต้องตรวจสอบพิจารณาไห่หยางกรุ๊ปและคู่ต่อสู้อย่างหลินอิ่งใหม่อีก ดำเนินการวางแผนใหม่อีกครั้ง ใช้วิธีการที่เหี้ยมโหดกว่าเดิม โค่นล้มคนประเทศหลุงที่ไม่รู้อะไรนี่ให้ได้ภายในครั้งเดียว!

คริสคิดเช่นนี้ ในใจของเขาเต็มไปด้วยความเจ็บใจและเกลียดชัง เดิมทีเขาตั้งใจที่จะมารับทรัพย์สินอย่างมีความสุข ตอนนี้ไม่มีอารมณ์อย่างสิ้นเชิง เนื้อที่กำลังจะถึงปากกลับหายลับไปกับตา

“ฉันให้แกไปหรือยัง?” หลินอิ่งกล่าวอย่างเรียบ ๆ

“อ้อ? เหรอ?” คริสหันหลังกลับ ยิ้มมองหลินอิ่ง “ฉันจะไป แกห้ามได้เหรอ? แค่อาศัยพวกสวะที่อยู่ข้างแกพวกนี้?”

“หรือว่า แกหลอกล่อให้ฉันมา เตรียมที่จะใช้กำลังกับฉัน?” คริสกล่าวด้วยท่าทางเหยียดหยาม พูดอย่างค่อนข้างมีความมั่นใจ

ความมั่นใจของคริสได้มาจากชายชุดดำที่อยู่ข้าง ๆ กล่าวความจริง เขาไม่ได้ให้ความสำคัญอะไรกับคนประเทศหลุงพวกนี้เลย ถึงแม้จะจัดการกับกลุ่มเฮยยิงได้อย่างคาดไม่ถึง แต่ถ้าหากคิดที่จะงัดข้อกับเขาซึ่ง ๆ หน้า ยังถือว่าไม่ชำนาญพอ

หลินอิ่งเหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้มจ้องมองคริส

คริสคนนี้เจ้าเล่ห์ไม่เบา ไม่ง่ายเลยกว่าที่จะล่อมันออกมาได้ จะปล่อยไปง่าย ๆ ได้ยังไง?

“ฉันแนะนำพวกแกอย่าหาเรื่องให้ตัวเอง แต่ว่าพวกแกเหมือนจะไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา” คริสกล่าวไปยิ้มไป กวาดสายตามองพวกของเสิ่นซานและหลิวจุนด้วยท่าทางหยอกล้อ พลางส่ายหัว

ไม่ได้เห็นบอดี้การ์ดที่เสิ่นซานพามาอยู่ในสายตาแม้แต่น้อย

“มึงไอ้แกต่างชาติ จองหองจริง ๆ แม่งเอ้ย วันนี้กูจะตีกระดูกแก่ ๆ ของมึงให้หักไปเลย!” เสิ่นซานกล่าวอย่างโมโห ถูกท่าทางของคริสยั่วโมโหจนพูดคำหยาบออกมาอย่างเหลืออด

“กูอยู่ในเส้นทางนี้มาตั้งหลายปี ยังไม่เคยเห็นคนแก่ที่จองหองอย่างมึงมาก่อนเลย สั่งคนมาวุ่นวายกับกระเป๋าเงินของพวกกูไม่พอ ยังสั่งให้คนมาซุ่มยิงหลับหลังอีก ตอนนี้ศัตรูอยู่ต่อหน้ามึง มึงยังกล้าอวดดีแบบนี้?” เสิ่นซานถามด้วยความโมโห

จะไม่เห็นคนอื่นอยู่ในสายตามากเกินไปแล้ว เห็นตัวเองและพี่น้องที่อยู่ตรงนี้เป็นโคลนที่บีบเล่นในกำมือหรือยังไง?

“อวดดี? แล้วจะทำไม?” คริสกล่าวอย่างช้า ๆ “คนประเทศหลงโง่เง่าอย่างพวกแก อยากเห็นพละกำลังที่แท้จริงไหม? มาสิ ลองดู ดูซิว่าจะห้ามฉันไว้ได้ไหม”

“แกมันรนหาที่ตายจริง ๆ!” เสิ่นซานกล่าวอย่างเย็นชา พลางมองไปยังหลิวจุนที่อยู่ด้านข้าง “จับมันไว้!”

หลิวจุนคันไม้คันมือ เตรียมพร้อมที่จะลงมือมานานแล้ว ตาแก่คนนี้เป็นคนที่สั่งการให้ซุ่มยิงท่านหลินและท่านสามอยู่เบื้องหลัง อีกทั้งยังเป็นคนส่งสายลับต่างชาติมาขัดขวางภารกิจของเขาอยู่บ่อยครั้ง ตอนนี้หน้าตาอวดดีนี่ มันทำให้เขาเหลืออดโดยสิ้นเชิง

ฟิ้ว!

หลิวจุนพุ่งออกไปในทันใด รวดเร็วดุจสายฟ้า ยกมือขึ้นราวกับกรงเล็บอินทรีจะคว้าคริสเอาไว้ ขณะนั้นเอง ชายชุดดำที่อยู่ข้างคริสได้ลงมือ หมัดหนึ่งหวดจนหลิวจุนก้าวถอยหลังหลายก้าว

“นี่…” หลิวจุนถอยหลังหลายก้าว มองดูชายชุดดำด้วยสีหน้าประหลาดใจ หมัดนั้นหวดจนเขามือไม้ชา

เขาเรียนศิลปะการต่อสู้ประจำประเทศมาเป็นสิบยี่สิบปี ความสามารถผ่าหินผ่าศิลา จับมีดมือเปล่า แต่พลังหมัดของชายชุดนั้นแข็งแกร่งขนาดนี้ หวดจนแขนของเขาสั่น

ชายชุดดำผู้เงียบงันคนนั้น ถอดหมวกสีดำที่ใส่อยู่ออก ปรากฏใบหน้าที่เหี้ยมโหดออกมา นี่เป็นคนขาวที่มีรูปร่างสูงสองเมตร ทั่วร่างกายเต็มไปด้วยพลังแรงระเบิด เบ้าตาลึก จมูกนกอินทรี สีหน้าและท่าทางเย็นชาอย่างที่สุด

“ฮาเดส ทักทายพวกเขาหน่อย” คริสกล่าวอย่างเรียบ ๆ พลางยกมือกอดอก ท่าทางราวกับกำลังดูหนังดีเรื่องหนึ่งอยู่

“ขอรับฯ ฯพณฯ คริส” ฮาเดสตอบอย่างเรียบ ๆ น้ำเสียงแหบแห้ง

พรึ่บ! ฮาเดสพลันลงมือ รูปร่างท่าทางสูงใหญ่ดูไม่ค่อยฉลาด พอขยับตัวขึ้นมากลับเร็วราวกับสายลม ยกกำปั้นขึ้นแล้วหวดไปทางหลิวจุน สั่นสะเทือนจนได้ยินเสียงลมแผดหวิว

ปัง! หลิวจุนใช้กำปั้นหวดออกไปรับ สุดท้ายโดนกระแทกจนถอยหลังหลายก้าว เขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ ไม่รอให้เข้าได้รับรู้ ฮาเดสก็ได้ปล่อยหมัดออกมาแล้ว หมัดขนาดใหญ่จู่โจมเข้ามาราวกับลมพายุฝน ซัดเข้าใส่หลินจุนเสียงดังปังปังปัง

“เฮือก!”

หลังจากที่หลิวจุนทนรับสิบกว่าหมัดอย่างต่อเนื่อง เขาทนรับไม่ได้อีกต่อไป ถูกสองหมัดซัดจนกระเด็นออกไปไกลสิบกว่าเมตร กระแทกลงบนกำแพงอย่างหนัก ในปากกระอักเลือดออกมาสองคำ ใบหน้าบวมแดงเต็มไปด้วยความละอายใจ เขาคิดไม่ถึงว่าอยู่ต่อหน้าท่านหลิน เขากลับทำขายขี้หน้าขนาดนี้

เห็นได้ชัด เมื่อลงมือก็แบ่งแยกสูงต่ำได้ทันที ฮาเดสแข็งแกร่งกว่าหลิวจุนหลายเท่า ไม่ว่าจะเป็นพลังหรือความเร็ว ล้วนไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกัน

“นี่! นายยังกล้าอวดดี?”

ทันทีที่เห็นหลิวจุนถูกคนล้มลง สามพี่น้องตระกูลหลิวที่เหลืออีกสองคนพลันโมโหขึ้นมา ทันใดนั้นก็พุ่งเข้าใส่ฮาเดสในทันที จู่โจมซ้ายขวา เข้ามาก็ใช้ฝ่ามือสับเข้าไปอย่างแรง ฝีมือรวดเร็วและรุนแรงเป็นอย่างมาก

ฮาเดสยิ้มมุมปากอย่างเหยียดหยาม จากนั้นหมุนตัวหันหลัง ทันใดนั้นยกมือขึ้นคว้าพี่น้องทั้งสองของหลิวจุน แขนที่เต็มไปด้วยพลังของเขาพลันเหวี่ยง พลั๊ว! เหวี่ยงทั้งสองคนลอยไปกระทบเข้ากับกำแพง กระแทกจนกำแพงเกิดรอยร้าวขึ้น ทำให้รู้ว่าเขามีพลังมหาศาลแค่ไหน

ในตอนนั้นเอง บอดี้การ์ดสวมชุดสูทสิบกว่าคนที่ยืนอยู่ที่ทางเดินมองมาพร้อมกัน ยื่นมือเข้าไปในเสื้อด้านข้างนำอาวุธออกมา จากนั้นก็มีลมกระโชกจู่โจมเข้ามา ปังปังปัง ฮาเดสพลันพุ่งเข้ามาในทันที สองหมัดสามเท้าลงมา บอดี้การ์ดสิบกว่าคนล้วนถูกเขาซัดลอยออกไป เหวี่ยงกระแทกลงบนกำแพงกระอักเลือด ราวกับกระดูกได้แตกสลาย แม้แต่ตาเปล่าก็ไม่สามารถจับการเคลื่อนไหวของเขาได้

“นี่?” เสิ่นซานสีหน้าท่าทางประหลาดใจ เขาถูกสถานการณ์ตรงหน้าทำให้อึ้งทึ่ง คิดไม่ถึงว่าสุนัขแก่อย่างคริสยังมียอดฝีมือแบบนี้อยู่!

นอกจากท่านหลินแล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นคนที่สามารถชิงปืนด้วยมือเปล่าได้ ภายในสิบก้าว ใช้อาวุธยังต่อกรกับฮาเดสคนนี้ไม่ได้!

ยังคงมีรอยยิ้มอยู่บนใบหน้าของคริส มองไปที่หลินอิ่งพลางยิ้มด้วยท่าทางอย่างผู้ชนะ

หลินอิ่งสีหน้าท่าทางปกติ กล่าวอย่างเรียบ ๆ : “นี่ก็คือไพ่ใบสุดท้ายของแก?”

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท