ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 217 ยอมจำนนหรือหายไป

บทที่ 217 ยอมจำนนหรือหายไป

บทที่ 217 ยอมจำนนหรือหายไป

“แกพูดถูกแล้ว” คริสกล่าวอย่างภาคภูมิใจ ในสายตาเต็มไปด้วยความเชื่อมั่นในตนเอง

“จุ ๆ นี่ก็คือลูกน้องที่ไม่ได้เรื่องของแก? จะทำอะไรฉันได้?” คริสส่ายหัว พลางจุปาก สายตาจ้องมองกลุ่มบอดี้การ์ดที่กองอยู่บนพื้นด้วยแววเหยียดหยาม

ล้อเล่นอะไร หลินอิ่งคนประเทศหลุงคนนี้คิดที่จะใช้กำลัง?

ฮาเดสที่อยู่ข้างกายของเขา อยู่ที่ประเทศMมีฉายาเป็นถึงราชาสายลับเชียวนะ ทรงพลังยิ่งกว่า 007 ในภาพยนตร์เสียอีก เขาคนเดียวสามารถรับมือกับกลุ่มเฮยยิงทั้งหมดได้อย่างสบาย ๆ แข็งแกร่งราวกับยอดมนุษย์

คริสจำได้ว่ามีอยู่ครั้งหนึ่งฐานทัพที่ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกเกิดปัญหาขึ้นเล็กน้อย จึงส่งฮาเดสไปปฏิบัติภารกิจ เขาคนเดียวทำลายล้างกองกำลังติดอาวุธรับจ้าง ที่เกิดเหตุในตอนนั้น สามารถพูดได้ว่าเป็นที่สังเวชใจจนไม่คิดว่าจะมีอยู่ในโลกมนุษย์นี้ได้ แต่ฮาเดสกลับไม่รู้สึกใด ๆ เขาเป็นดั่งเช่นเครื่องจักรสังหาร!

มีราชาสายลับคอยติดตามแบบนี้ คริสจะต้องเกรงกลัวหลินอิ่งใช้กำลังด้วยหรือ?

พละกำลังในการต่อสู้ของฮาเดส ทำให้ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นนอกเหนือจากหลินอิ่งตกตะลึง ทั้งหมดล้วนมีท่าทางปากอ้าตาค้าง รู้สึกไม่เชื่อในสายตาตัวเอง

แข็งแกร่งมากจริง ๆ เหล่ามือปืนอย่าว่าแต่จะเปิดฉากยิงเลย แม้แต่โอกาสที่จะซักปืนออกมายังไม่มี ตอนนี้กลับถูกตีราวกับสุนัข

อีกอย่าง หลินจุนสามพี่ของก็แข็งแกร่งมากพอแล้ว ยอดฝีมือศิลปะการต่อสู้ของประเทศจัดอยู่ในอันดับต้น ๆ ของเมืองตุงไห่ และยังมีความสามารถชิงปืนด้วยมือเปล่าภายในสิบก้าว แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าฮาเดสคนนี้กลับไม่มีแรงตอบโต้แม้แต่น้อย!

“หลินอิ่ง ตอนนี้แกมีความสุขหรือยัง?” คริสกล่าวพลางยิ้มเยาะ “พาลูกน้องแกไปรักษาที่โรงพยาบาลก่อนเถอะ คิดจะลงมือกับฉัน แกยังมีคุณสมบัติไม่เพียงพอ ฉันจะกลับก่อนแล้วกัน รอคอยวิธีการที่รุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ของฉัน ฉันก็อยากจะรู้เหมือนกัน ว่าแกจะทนได้ไปถึงเมื่อไหร่”

“ฮ่า ๆ ๆ!”

คริสหัวเราะอย่างมีชัย พลางหันหลังเตรียมจะจากไปพร้อมกับฮาเดส

“ท่านหลิน จะให้สุนัขแก่ตัวนี้จากไปแบบนี้ไม่ได้นะ!” เสิ่นซานมองไปที่หลินอิ่งด้วยสีหน้าเป็นกังวล เขาคิดว่านอกจากหลินอิ่งลงมือเองแล้ว ก็ไม่มีวิธีอื่นที่จะจัดการกับคนที่แข็งแกร่งอย่างฮาเดส

หลินอิ่งมอดบุหรี่ในมือ แววอาฆาตผ่านไปในสายตาของเขา เขาพลันลุกขึ้นในวินาทีต่อมา

ในขณะที่หลินอิ่งพุ่งตัวออกมาอย่างรวดเร็วนั้น เห็นได้ชัดว่าฮาเดสได้รู้สึกตัวแล้ว เขาพลันหันหลังกลับพร้อมกับหวดหมัดออกไป เห็นได้ชัดว่าเขาสัมผัสได้ถึงการเคลื่อนไหวของหลินอิ่ง

ตูม!

สองหมัดกระทบกับ หลังจากเสียงที่ไม่ค่อยชัดเจนดังขึ้น ฮาเดสถูกกระแทกจนถอยหลังหลายสิบก้าว ในท่าท่างเย็นชาของเขามีแววเกรงกลัวปรากฏออกมา เขามองหลินอิ่งด้วยความประหลาดใจและไม่แน่ใจ ราวกับคาดไม่ถึงว่าหลินอิ่งที่ร่างกายดูผอมแห้งอ่อนแอแบบนั้น จะสามารถต่อยจนเขาถอยหลังได้

ในขณะที่ฮาเดสกำลังลังเลสงสัย หลินอิ่งพลันกวาดเท้าเตะตวัดเข้ามาอีกครั้ง เขาไม่ทันตั้งตัวทำให้ถูกเตะเข้าหัวเข่าอย่างจัง จากนั้นก็ตามมาด้วยเงาเท้าแยกออก กระบวนท่ารวดเร็วจนมองไม่ชัดเจน

ท่าเตะตวัดเท้าถูกเตะออกไปหลายสิบครั้ง เสียงดังปังปังปังลอยออกมาในอากาศ ฮาเดสถูกบีบให้ถอยหลังติดต่อกัน ก้าวถอยหลังทีละก้าวหนัก ๆ เหยียบจนบนพื้นปูนมีรอยทรุดเป็นรอยเท้า แต่ตัวเขายังคงประคับประคองไม่ตัวเองหงายหลัง

หลังจากที่ผ่านไปหลายสิบรอบ สีหน้าของฮาเดสแดงขึ้น เสียงกระดูกสั่นกึก ๆ ไปทั้งตัว เบิกตากว้างจ้องมองหลินอิ่ง สองตาแดงก่ำ ราวกับสัตว์ร้ายที่กำลังบ้าคลั่ง

“อ้าก! แกไอ้คนประเทศหลงที่สมควรตาย!” ฮาเดสคำรามอย่างโกรธเกรี้ยว ราวกับว่าได้รับความอับอายที่ใหญ่หลวง นี่เป็นครั้งแรกเขาถูกคนอื่นต่อยตีจนน่าสังเวชแบบนี้

ในขณะที่คำราม ฮาเดสก็ก้าวไปข้างหน้า ท่าทางกำลังจะพุ่งเข้าหาหลินอิ่ง แต่ทันใดนั้นร่างกายของเขาก็แข็งทื่อ กระดูกสั่นสะท้าน ราวกับว่าถูกดูดพลังไปหมด ใช้กำลังไม่ได้

ตูม!

หลินอิ่งได้พุ่งเข้ามาก่อนแล้ว เขาเตะจนร่างใหญ่ของฮาเดสพุ่งหมุนตัวตีลังกาในอากาศครั้งใหญ่

ร่วงลงบนพื้นอย่างหนักส่งเสียงอู้อี้ออกมา ตามด้วยเท้าเหยียบลงไปบนหัวของฮาเดส ทำให้เขาถูกกดจนไม่สามารถขยับได้

“แกพอจะมีฝีมืออยู่บ้าง แต่น่าเสียดาย ที่ยังไม่พอดูเท่าไหร่ ใช้ฝึกซ้อมมือก็ยังขาดความชำนาญอยู่บ้าง” หลินอิ่งกล่าวอย่างเรียบ ๆ

ฮาเดสก็นับเป็นยอดฝีมืออยู่ สามารถต่อกรกับเขาได้เป็นยี่สิบกระบาลท่า

แต่ก็ยังไม่แข็งแกร่งเท่าที่คิด ใช้ฝึกซ้อมมือยังไม่มีคุณสมบัติพอ ยังไงซะ เขาก็ยังไม่ได้ก้าวเข้าสู่ระดับที่แท้จริงของศิลปะการต่อสู้โบราณ

“แก! แกเป็นใครกันแน่?” ฮาเดสทั้งตกใจทั้งโกรธแค้นพลางเอ่ยถามด้วยความสงสัย พยายามใช้กำลังทั้งหมดต่อต้านเพื่อจะลุกขึ้นมา แต่เท้าที่หลินอิ่งเหยียบลงไปเบา ๆ นั้น ราวกับเป็นภูเขาลูกใหญ่ทับอยู่บนตัวของเขา ทำให้เขาขยับตัวไม่ได้เลยแม้แต่น้อย

“ฉันเป็นใคร แกคิดไม่ถึงหรอก” หลินอิ่งเอ่ยเชื่องช้า “ทางที่ดีแกอย่าขยับมั่วซั่ว ไม่เช่นนั้นล่ะก็ แกจะกำหมัดไม่ได้ไปตลอดชีวิต”

หากไม่ใช่เพราะพิจารณาที่จะปราบพยศฮาเดสแล้วเก็บไว้ใช้เองล่ะก็ เขาคงใช้กำลังภายในทำลายกระดูกและกล้ามเนื้อของฮาเดสไปนานแล้ว

“ฉัน…” ฮาเดสรับรู้ถึงความรู้สึกหวาดกลัวลึก ๆ ไม่กล้าที่จะพูดอะไรอีก และปิดปากอย่างสนิท

การเผชิญหน้ากับหลินอิ่งในวันนี้ ทำให้เข้ารู้สึกราวกับว่าได้เผชิญหน้ากับตำนาน!

ทักษะและความแข็งแกร่งของหลินอิ่ง สำหรับประสบการณ์หลายปีมานี้ของฮาเดส เขาเคยได้ยินเพียงแค่ในตำนานเท่านั้น

เมื่อก่อนเขายังไม่ค่อยจะเชื่อว่าจะมียอดฝีมือแบบนี้อยู่ จนกระทั่งได้พบกับหลินอิ่ง ตอนนี้เขาเชื่อแล้ว ที่แท้ ที่ประเทศหลุงมียอดฝีมือแบบนี้อยู่จริง ๆ!

“นี่มัน! แก แกนี่คือ…” คริสมองหลินอิ่งด้วยสีหน้าท่าทางหวาดผวา ตอนนี้แม้แต่พูดยังพูดจาพูดสะเปะสะปะ

สถานการณ์ตรงหน้ามีแรงกระทบต่อเขาอย่างหนัก ทำลายความมั่นใจและเชื่อมั่นในใจเขาจนหมดสิ้น

ฮาเดสเป็นบอดี้การ์ดยอดฝีมือที่เขาภาคภูมิใจมากที่สุด เป็นไปได้ยังไงที่หลินอิ่งสามหมัดสองเท้าก็ล้มเขาลงได้แล้ว?

จะต้องรู้นะว่า ในตอนนั้นฮาเดสเผชิญหน้ากับกองกำลังติดอาวุธรับจ้างที่เหี้ยมโหด เขาฆ่าจนเลือดไหลเป็นสายน้ำยังไม่กะพริบตาเลยสักนิด สุดท้ายจะสู้คนประเทศหลุงที่ดูผอมบางคนหนึ่งไม่ได้?

ถือเป็นการทำลายความรู้ความเข้าใจที่คริสเคยมีเลยก็ว่าได้ เขาคิดไม่ตกว่าหลินอิงเป็นเทพเจ้ามาจากไหนกันแน่!

“ฉันเคยบอกแกแล้ว ว่าท่าทีของแกกำหนดชะตากรรมของแก” หลินอิ่งมองไปทางคริส กล่าวด้วยสีหน้าท่าทางปกติ “แกพูดเองซิ ว่าตอนนี้แกต้องการจะรับชะตากรรมแบบไหน?”

“ฉัน…” คริสใบหน้าขมขื่น อัดอั้นจนพูดไม่ออก ความหยิ่งผยองที่มีอยู่ก่อนหน้านี้สูญหายไป

“หลินอิ่ง แกเป็นใครมาจากไหนกันแน่” คริสถามอย่างไม่ยอมตายใจ “ฉันแนะนำแกวันนี้อย่าได้ทำมากเกินไป อิทธิพลที่อยู่ในมือของฉันในลาตินกรุ๊ป มันไม่ง่ายอย่างนั้นที่จะทำลาย!”

คำพูดนี้ของเขาแข็งนอกแต่อ่อนใน แม้แต่น้ำเสียงของเขายังสั่น

“แกยังใช้อำนาจมาขู่ฉัน?” ลินอิ่งหัวเราะเยาะ พลางปล่อยฮาเดสที่ถูกเหยียบไว้ใต้เท้า จากนั้นก็พุ่งเข้าหาคริส

พลั๊ว! คริสโดนตบเข้าบ้องหูหนึ่งครั้งหมุนหน้าล้มกองลงกับพื้น แว่นตาที่ใส่ค้างไว้บนจมูกแตกกระจาย

“แก จะยอมจำนนหรือหายไปจากโลกใบนี้!” หลินอิ่งบีบคอหอยของคริส พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือก

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท