ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 219 จัดตั้งโครงสร้างในต่างประเทศ

บทที่ 219 จัดตั้งโครงสร้างในต่างประเทศ

บทที่ 219 จัดตั้งโครงสร้างในต่างประเทศ

คริสครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง แล้วกล่าวอย่างเคร่งขรึม: “อิทธิพลของลาตินกรุ๊ปที่อยู่ในประเทศหลุงยังไม่ถือว่าใหญ่โต กำลังอยู่ในขั้นพัฒนา อย่างไรก็ตามรูปแบบทรัพยากรของวงการธุรกิจได้เริ่มขึ้นในหลายปีก่อนแล้ว ในวงการธุรกิจของแต่ละพื้นที่ล้วนได้เข้าไปมีส่วนพัวพันด้วย อยู่ที่ประเทศหลุงผมสามารถระดมทรัพยากรช่องทางธุรกิจได้มากมาย”

คริสหยุดไปชั่วขณะ แล้วกล่าวต่อ: “ผมแค่อยู่ในนามของผู้รับผิดชอบภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก สำนักงานใหญ่ภูมิภาคเอเชียที่ลาตินกรุ๊ปจัดตั้งในภูมิภาคเอเชีย ตั้งอยู่ที่คาบสมุทรไนเซีย และออฟฟิศของผม อยู่ที่คาบสมุทรเกาหลี

“แกพูดต่อไป” หลินอิ่งรินชาดำให้ตัวเองหนึ่งถ้วย และค่อย ๆ จิบมัน

เขาฟังความหมายแฝงที่อยู่ในคำพูดของคริสออก นั่นก็คือ คริสไม่ได้เป็นมือหนึ่งเพียงคนเดียวของลาตินกรุ๊ปที่อยู่ที่ภูมิภาคเอเชีย ภายในยังมีคู่แข่ง

“ประธานหลิน ลาตินกรุ๊ปในภูมิภาคเอเชียมีโครงสร้างที่ลึกซึ้งมาก แบ่งเป็นสองฝ่าย ผมยังมีคู่แข่งภายในที่แข็งแกร่งอยู่อีกคนหนึ่ง” คริสกล่าวอย่างเคร่งขรึม “อำนาจหลักที่อยู่ในมือของผมกระจายตัวอยู่ที่คาบสมุทรเกาหลีและภูมิภาคไซบีเรีย ส่วนคู่แข่งของผมมีอำนาจสั่งการโดยสิ้นเชิงในประเทศต้าเหอและทุกประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้รวมถึงภูมิภาคสามเหลี่ยมทองคำ”

หลินอิ่งพยักหน้าเล็กน้อย และเอ่ยถาม: “ใครคือคู่แข่งภายในของแกในลาตินกรุ๊ป?”

“คู่แข่งของผมมีชื่อว่าโม่เก๋อติง ได้ก่อตั้งลาตินกรุ๊ปที่เมืองก่าง เมืองใหญ่ทางตอนใต้ของประเทศหลุง แย่งชิงตลาดประเทศหลุงกับผม” คริสกล่าวแนะนำ

“เมืองก่าง?” หลินอิ่งขมวดคิ้วเล็กน้อย เหมือนกับว่าคิดอะไรขึ้นมาได้

คิดไม่ถึงว่า ที่เมืองก่างยังมีสาขาย่อยของลาตินกรุ๊ป เมืองก่างเป็นเมืองใหญ่ที่การเงินเจริญรุ่งเรือง เป็นเมื่อที่เชื่อมโยงกับต่างประเทศเมืองหนึ่ง ประเพณีท้องถิ่นไม่เหมือนกับที่อื่น ๆ ในประเทศหลุงอย่างสิ้นเชิง

จากคำพูดของคริสสามารถดูออก ลาตินกรุ๊ปนับว่าใหญ่มหึมา กลุ่มนักลงทุนที่ยิ่งใหญ่ของแท้ มีอิทธิพลไปทั่วโลก ยุโรปตะวันออก ยุโรปตะวันตก ยุโรปเหนือ เอเชีย แอฟริกา ในทุกทวีปใหญ่ ๆ ล้วนมีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ ควบคุมพลังอำนาจที่ยิ่งใหญ่

ในเมื่อเขาวางแผนที่จะจัดวางคริสหมากตัวนี้ แน่นอนว่าเขาจะไม่ให้อิทธิพลคริสถูกจำกัดอยู่แค่ในภูมิภาคเอเชีย ต้องสนับสนุนเขาให้มีตำแหน่งที่สูงขึ้นในลาตินกรุ๊ป แบบนี้ถึงจะมีคุณค่ามากขึ้น

“เซียวซื่อกรุ๊ปที่อยู่เบื้องหลังเซียวจวง มีความสัมพันธ์อะไรกับลาตินกรุ๊ป?” หลินอิ่งเอ่ยถาม

พอได้ยินเช่นนั้น ภายในใจของคริสอดไม่ได้ที่จะคิดเชื่อมโยงกัน เมื่อก่อนเซียวจวงที่ไง่แบบไม่มีใครเทียบคนนั้นมองหลินอิ่งด้วยความเคียดแค้น ดูเหมือนว่าจะมีความแค้นที่ใหญ่หลวงกับประธานหลิน

“ประธานหลิน เซียวซื่อกรุ๊ปแห่งประเทศMมีการติดต่อกับผมมากมาย ผมคนข้างเข้าใจอยู่” คริสกล่าวอย่างเคร่งขรึม “ในปีเดียวกันนั้นคุณท่านเซียวของเซียวซื่อกรุ๊ปได้ย้ายถิ่นฐานไปจากประเทศหลุง เบื้องหลังของกรุ๊ปนี้ค่อนข้างแปลก มีความเชื่อมโยงมากมายกับรัฐบาลของประเทศM และรากฐานของลาตินกรุ๊ปอยู่ที่ ละตินอเมริกา ดังนั้นกับเซียวซื่อกรุ๊ปจึงเป็นเพียงความร่วมมือทางธุรกิจปกติ ด้านอื่น ๆ ค่อนข้างจะหลีกเลี่ยง”

หลินยิ่งพยักหน้า ตระกูลเซียวสามารถทำธุรกิจกับลาตินกรุ๊ปได้ อิทธิพลที่ประเทศMแค่คิดก็พอจะรู้แล้ว เพียงแค่คิดไม่ถึงว่า จะมีความเชื่อมโยงกับรัฐบาล มันทำให้คนรู้สึกสนใจที่จะพิจารณาจริง ๆ ตระกูลนักลงทุนที่ย้ายถิ่นฐานไปจากประเทศหลุง

“ประธานหลิน ไอ้โง่เซียวจวงนั่นผมรู้จักมันดี เป็นหนึ่งในตัวเลือกทายาทสืบทอดของตระกูลเซียว ได้ยินว่ามันยังเป็นปรปักษ์กับท่านอย่างไม่รู้จักเป็นตาย” คริสกล่าวอย่างระมัดระวัง “ไอ้โง่นั่นยังเห็นท่านเป็นศัตรู แต่บุคคลเล็ก ๆ แบบมันไม่จำเป็นต้องให้ท่านลงมือเอง ผมสามารถจับไอ้โง่นั่นมาเมื่อไหร่ก็ได้ เพียงแค่คำพูดท่านประโยคเดียว ผมสามารถทำให้มันหายไปจากโลกนี้ได้ทุกเมื่อ”

ยอมจำนนหลินอิ่ง ภายในใจของคริสกำลังไตร่ตรองว่าจะได้รับความเชื่อใจอันเล็กน้อยนั้นมาได้ยังไง พอได้ยินหลินอิ่งเอ่ยถึงเซียวซื่อกรุ๊ป ก็คิดขึ้นมาทันทีว่าจะใช้หัวของเซียวจวงมาให้หลินอิ่งเพื่อแสดงความภักดี

หลินอิ่งมองเซียวจวงแวบหนึ่ง เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะไม่รู้ว่าคริสกำลังคิดอะไรอยู่ นี่คือรอไม่ไหวที่จะพิสูจน์ความสามารถและคุณค่าของตัวเอง

“เรื่องเซียวจวงแกไม่ต้องยุ่ง” หลินอิ่งกล่าวอย่างเรียบ ๆ

“ครับ ประธานหลิน” คริสพยักหน้าอย่างเคร่งขรึม เขาเริ่มปรับตัวเข้ากับตัวตนใหม่ และยอมรับกับสถานะลูกน้องของหลินอิ่งได้แล้ว

“ต่อไปนี้ แกทำเหมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น อยู่ที่เมืองชิงหยูนพัฒนาลาตินกรุ๊ปต่อไป” หลินอิ่งกล่าวอย่างเคร่งขรึม “ที่ฉันเอาแกไว้ เพราะแกมีประโยชน์อย่างมากในต่างประเทศ ที่แกต้องทำ ก็คือยู่ตำแหน่งในลาตินกรุ๊ปให้สูงขึ้น ควบคุมอำนาจให้มากขึ้น ฉันจะค่อย ๆ นำอำนาจที่แกควบคุมอยู่ในมือ เปลี่ยนให้เป็นอำนาจที่แท้จริง ส่วนคู่แข่งที่แกพูดถึงนั้น ในอนาคตฉันจะจัดการให้แกเอง ทำงานกับฉัน ทางที่ดีอย่าได้มีความคิดอย่างอื่น แกเป็นคนฉลาด ไม่จำเป็นต้องให้ฉันพูดอะไรมาก ฟังเข้าใจหรือยัง?”

พูดไป หลินอิ่งพลางหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาส่งข้อความด้วยท่าทางสบาย ๆ แจ้งให้เสิ่นซานมาหา

“ครับ! ผมเข้าใจแล้ว” คริสกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ตื่นเต้นเล็กน้อย

ถึงแม้จะไม่รู้ว่าหลินอิ่งต้องการจะให้เขาทำอะไร แต่จากความสามารถของหลินอิ่ง พูดคำที่พูดออกมานั้น ทำให้เขารู้สึกถึงเลือดที่เดือดพล่าน

ในลาตินกรุ๊ป ภายนอกดูเหมือนว่าเขาใหญ่อันดับสาม แต่ถ้านับรวมกับบอสที่อยู่เบื้องหลังอย่างลับ ๆ อำนาจและตำแหน่งของเขาเป็นได้แค่เพียงหนึ่งในสิบ

ถึงแม้คริสจะกุมอำนาจใหญ่โตอยู่ในมือ แต่ทั้งหมดนี้เป็นแค่เพียงเพราะมีอำนาจอยู่แค่ที่ลาตินกรุ๊ปเท่านั้น ไม่ใช่อำนาจที่เป็นของตัวเขาเอง ถ้าหากวันใดเสียตำแหน่งผู้มีอำนาจภายในของลาตินกรุ๊ปไป ก็จะกลายเป็นไม่เหลืออะไรทันที หลินอิ่งบอกว่าจะทำให้อำนาจพวกนี้ กลายเป็นอำนาจที่แท้จริง ก็ทำให้อารมณ์ในใจของเขาระเบิดขึ้นมาในทันที

ก๊อก ๆ

เวลานี้ เสียงเคาะประตูดังขึ้น เสิ่นซานเดินเข้ามา แล้วทักทายด้วยความเคารพ

“คริส แกแลกเปลี่ยนพูดคุยกับเสิ่นซานหน่อย กำลังคนและอิทธิพลในประเทศหลุง ทั้งหมดมอบให้กับเสิ่นซาน กำลังคนในต่างประเทศ ยังคงอยู่ในความดูแลของแก” หลินอิ่งกล่าวอย่างเรียบ ๆ

“นี่… นี่…” คริสกล่าวอย่างลังเล สีหน้าขมขื่นเล็กน้อย ชัดเจน ในฐานะผู้จำนนคนใหม่ ตำแหน่งในใจของหลินอิ่ง ยังไงเขาก็เทียบเสิ่นซานไม่ได้

“ประธานหลิน อิทธิพลและธุรกิจใต้ดินในประเทศหลุงผมเป็นคนพัฒนาและบริหารจัดการด้วยตัวเอง ในตอนนี้พวกนี้ล้วนเป็นกองกำลังใต้บังคับบัญชาของท่าน ท่านมอบให้ผมรับผิดชอบ ผมจะต้องทำได้ดีกว่าเสิ่นซานแน่” คริสกล่าวอย่างเคร่งเครียด

ในใจของคริสคิดว่าตัวเองแกร่งกว่าเสิ่นซาน ยังไงเขาก็เป็นถึงนายท้ายผู้สั่งการของกลุ่มนักลงทุนระหว่างประเทศรายใหญ่ แต่เสิ่นซานเป็นเพียงแค่ชายชราใต้ดิน ฝีมือจะสูงไปกว่าเขาได้ยังไง?

หลินอิ่งหึครั้งหนึ่ง “มอบให้แกจัดการ? เรื่องที่แกทำในโลกใต้ดิน มีขอบเขตไหม?”

“ท่าน หมายถึงเรื่องพวกนั้น?” คริสกล่าวอย่างลังเล เข้าใจทันทีว่าหลินอิ่งพูดถึงอะไร เพราะว่าเมื่อก่อนหลินอิ่งเคยสั่งให้เสิ่นซานไประเบิดโกดังสินค้าใต้ดินของเขา

“ประธานหลิน นั่นเป็นกระเป๋าเงินที่ทำให้เงินทองไหลมาเทมา อยู่ที่ภูมิภาคสามเหลี่ยมทองคำผมมีห่วงโซ่ผลประโยชน์ที่สมบูรณ์อยู่หนึ่งชุด ความหมายของท่านคือ ต่อไปผมไม่ทำธุรกิจนั่นแล้ว?” คริสถามด้วยความสงสัย

“ที่ต่างประเทศแกจะทำยังไงฉันไม่สน แต่อยู่ที่ประเทศหลุง จะใช้วิธีนั้นไม่ได้ อิทธิพลใต้ดินที่อยู่ที่ประเทศหลุงของแกทั้งหมด มอบให้เสิ่นซานให้หมด” หลินอิ่งกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือก

คุณค่าของคริสคือใช้ขยายโครงสร้างไปยังต่างประเทศ และในประเทศหลุง เขามีเสิ่นซานและหยูจื๋อเฉิงสองคนดูแลอิทธิพลใต้ดินก็พอแล้ว

“ครับ ประธานหลิน” คริสพยักหน้า แต่สีหน้าของเขายังคงงงงวยเป็นอย่างมาก เขาไม่เข้าใจว่าทำไมหลินอิงเห็นเงินกองอยู่ตรงหน้าแต่ไม่เก็บ

หลินอิ่งเห็นความสงสัยของคริส เขาส่ายหัวอยู่ในใจ คนสไตล์นายทุนใหญ่อย่างคริส ไม่เห็นประเทศและชนชาติอยู่ในสายตา ขอเพียงมีผลประโยชน์ อะไรเขาก็ทำได้ ถ้ามีโอกาสแม้แต่ประเทศตัวเองก็สามารถเอาไปแลกเงินได้

เหมือนดั่งเช่นที่บุคคลที่เคยรวยเป็นอันดับหนึ่งของประเทศหลุงเคยกล่าวไว้ อย่าพูดเรื่องการเมืองการปกครองกับผม ผมเป็นแค่นักธุรกิจคนหนึ่ง

ดังนั้น คริสหมากตัวนี้ วางได้เพียงในต่างประเทศเท่านั้น เก็บไว้ในประเทศหลุงก็เป็นความหายนะ

หลังจากนั้น หลินอิ่งก็ได้จัดการวางแผนอย่างเอาจริงเอาจัง ให้เสิ่นซานและคริสส่งมอบงาน เขาจัดการให้ฮาเดสอยู่ข้างกายเขา ให้เสิ่นซานเข้าร่วมลาตินกรุ๊ป ร่วมงานกับคริสสักระยะ เพราะยังไงคนคนนี้ยังจะต้องคอยติเตือนอีกสักหน่อยถึงจะได้

หลังจากที่จัดการเรื่องต่าง ๆ หลินอิ่งก็ได้ไปจากอาคารไห่หยาง ให้ฮาเดสขับรถ มุ่งหน้าไปยังโรงแรมฮอลิเดย์ในเครือลาตินกรุ๊ป

จัดการกับคริสเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้ เขาจะไปหาเซียวจวงเพื่อคิดบัญชี

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท