ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 223 “บริษัทเครื่องประดับจางซื่อ” แห่งที่ 2

บทที่ 223 “บริษัทเครื่องประดับจางซื่อ” แห่งที่ 2

บทที่ 223 “บริษัทเครื่องประดับจางซื่อ” แห่งที่ 2

บริษัทเครื่องประดับจางซื่อเป็นแบรนด์ที่คุณท่านจางบริหารมาหลายปี คราวนี้คนของตระกูลจางเปิดบริษัทใหม่สร้างความวุ่นวายภายในกันเอง แล้วยังจะแย่งชิงแบรนด์ชื่อดังนี้กันอีก สุดท้ายไม่ว่าผลจะออกมาอย่างไร เรื่องไร้สาระอย่างนี้ ต้องส่งผลต่อชื่อเสียงบริษัทรุนแรงอย่างแน่นอน

ไม่รู้ว่าคนตระกูลจางเล่นพิเรนทร์อะไร ไม่รู้จักสงบสักวัน ไม่รู้ไปเอาความมั่นใจมาจากไหน ทั้งที่รู้ว่าบริษัทของฉีโม่ดีขึ้นทุกวัน แล้วไหนจะการลงทุนของไห่หยางกรุ๊ป ทำไมยังกล้าเปิดตัวเป็นคู่แข่งอีก?

“จึ๊ๆ ดูท่าทางนายคงไม่รู้เรื่องนี้เลย” หวางหงหลิงทำเสียงจึ๊ๆ ด้วยความประหลาดใจพูดว่า “บริษัทของเมียตัวเองเกิดเรื่องใหญ่อย่างนี้ นึกไม่ถึงว่ายังดักดานอยู่ นายอยู่ในตระกูลจางฐานะอะไรกัน เรื่องใหญ่อย่างนี้จางฉีม่อก็ไม่บอกนาย ไม่รู้ว่านายอยู่ในตระกูลจางมีความหมายอะไร”

หลินอิ่งหัวเราะแล้วพูดว่า “ฉันก็ไม่รู้ว่าวันๆ เธอเอาแต่เฝ้าสังเกตเรื่องเหล่านี้ มันน่าสนุกตรงไหน”

ข่าวอะไรที่เขาไม่รู้ หวางหงหลิงกลับรู้ข่าวเป็นคนแรก ทำให้เห็นว่าเขาเฝ้าสังเกตการณ์เคลื่อนไหวของฉีโม่กับเขา

“นาย!” หวางหงหลิงสำลักจนจะพูดไม่ออก “หึ นายทำเป็นเบ่งต่อไปเถอะ อย่างไรความจริงก็คือ ในเมืองชิงหยูนนี้มีแต่ฉันที่ช่วยนายได้ แล้วยังจะไม่รู้จักชั่วดีอีก”

พูดเสร็จ หวางหงหลิงก็ลุกขึ้น พูดว่า “ฉันยังมีธุรกิจที่ต้องคุยกับเสิ่นซานอีก เดี๋ยวค่อยมาหานายใหม่”

เธอรู้สึกเหมือนเรียกคนที่ทำเป็นหลับให้ตื่น เห็นๆ อยู่ว่า เธอเป็นคนช่วยแก้ไขความยุ่งยากให้หลินอิ่งทั้งนั้น แต่คนคนนี้ยังทำเหมือนว่าตัวเองเก่งอยู่ได้ ไม่รู้จักเจียมตัวเอาซะเลย

อย่างไรก็ตาม สักวันหลินอิ่งต้องเข้าใจ คิดเสร็จหวางหงหลิงก็จากไปด้วยสีหน้าที่พอใจ เดินเข้าไปในหอนิทรรศการ

หลังจากรอหวางหงหลิงจากไปแล้ว หลินอิ่งก็เอามือถือขึ้นมา กำลังจะโทรหาฉีโม่ ถามเรื่องราวเสียหน่อย แต่อยู่ๆ กลับมีชายหนึ่งหญิงหนึ่งเดินเข้ามา นั่งลงตรงข้ามเขา สีหน้าดูล้อเลียน

หลินอิ่งหน้านิ่วคิ้วขมวด วางมือถือลง มองสองคนนั้นตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างละเอียด คนหนึ่งเป็นชายหนุ่มสวมสูทสีดำ กับอีกคนเป็นหญิงสาวสวมชุดราตรี

หน้าตาสองคนนี้เหมือนเคยรู้จักกัน ดูคุ้นๆ

“คนตระกูลโจเหรอ?” หลินอิ่งถามด้วยความสงสัย

คนที่เคยพบหน้าคร่าตา หลินอิ่งเห็นแล้วไม่มีวันลืม

เขานึกขึ้นมาได้แล้ว คราวก่อนที่กงซุนชิวอวี่มาที่เมืองชิงหยูน ตระกูลโจเป็นสองคนนี้ที่ออกมาต้อนรับเขา และก็เป็นเจ้าสองตัวงี่เง่านี่ที่วางอุบาย โทรหาหวางหงหลิงมาทำเรื่องบ้าๆ

“เหอะๆ นึกไม่ถึงว่านายจะจำพวกเราได้” โจตงพูดด้วยสีหน้าที่หยอกล้อ

“จึ๊ๆ วันนี้เป็นวันที่ลาตินกรุ๊ปกับไห่หยางกรุ๊ปจัดงานฉลองมโหฬาร เพื่อฉลองความยิ่งใหญ่การเปิดโครงการเทคโนโลยีเมืองโลก ที่มาในงานมีใครบ้างที่ไม่ใช่บุคคลที่มีหน้ามีตาในเมืองชิงหยูน? แต่เหมือนมีคนประหลาดเข้ามามั่วอยู่คนหนึ่งนะ” โจยู่ถานพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงถากถาง

“นั่นสิ นี่เป็นลูกเขยของตระกูลจางไม่ใช่เหรอ? เหมือนฝ่ายจัดงานจะเชิญตระกูลจางแค่คนสองคน หรือนายมาในนามตัวแทนของตระกูลจาง? ลูกเขยเศษสวะอย่างนายมีฐานะแบบนี้ในตระกูลจางตั้งแต่เมื่อไหร่” โจตงก็ถากถางอย่างไม่เกรงใจ

หลินอิ่งหัวเราะอย่างเยือกเย็น ถามด้วยความสงสัยว่า “คราวก่อนนายเป็นคนโทรหาหวางหงหลินล่ะสิ พวกนายสองคนเป็นคนปลุกเรื่องไร้สาระอยู่เบื้องหลังสินะ?”

“อุ๊ย? ยังโกรธเหรอ? ไม่ยอมใจเหรอ?” โจยู่ถานแสยะยิ้มพูด “ปลุกเรื่องไร้สาระอะไรกัน สิ่งที่ฉันพูดเป็นความจริง นายเป็นผู้ชายที่มีเมียแล้ว ยังไปให้ท่าสาวน้อยผู้บริสุทธิ์อย่างคุณหนูกงซุน แล้วอีกทางก็ยังไปเกาะหวางหงหลิงอีก ทำเรื่องขายหน้าอย่างนี้ ยังจะมาห้ามกันไม่ให้พูดได้เหรอ?”

“น่าขำจริงๆ ผู้ชายไร้ยางอายอย่างนาย เกาะผู้หญิงแล้วยังจะมั่นใจได้อีก?” โจยู่ถานถากถางอย่างไร้ความรู้สึก สีหน้าเต็มไปด้วยการดูถูก

คราวก่อนคุณหนูใหญ่กงซุนมาเมืองชิงหยูน ไม่รู้ว่าเศษสวะอย่างหลินอิ่งไปไต่สัมพันธ์อย่างไร ถึงได้อ้างอิทธิพลของคุณหนูกงซุน ให้หล่อนที่เป็นถึงคุณหนูใหญ่แห่งตระกูลโจยกน้ำชา ขอขมาลาโทษ ช่างไม่รู้จักที่ตายเสียแล้ว

บัดนี้กงซุนชิวอวี่ไปจากตุงไห่แล้ว คราวก่อนหล่อนก็ตุกติก ให้หวางหงหลิงไปหาหลินอิ่ง คิดว่าคงจะให้เปิดโปงความอัปลักษณ์ของหลินอิ่งต่อหน้ากงซุนชิวอวี่

คราวนี้ ดูสิหลินอิ่งจะมีใครให้พึ่งอีก ไม่มีใครปกป้องเขา เขาก็เป็นแค่เขยเศษสวะเท่านั้น จะกล้าอวดเบ่งอีกไหม

“เศษสวะอย่างนายคราวก่อนยังกล้าให้ฉันรินน้ำชาให้ ตอนนี้ รีบมารินน้ำชาให้ฉันเดี๋ยวนี้ ก้มหัวขอขมาลาโทษฉันซะดีๆ” โจวยู่ถานพูดด้วยท่าทางสูงส่ง “ไม่อย่างนั้น ฉันจะให้นายไสหัวไปจากเมืองชิงหยูน จะให้ฝ่ายจัดงานไล่นายออกไปเดี๋ยวนี้ ให้นายต้องขายหน้า!”

หลิ่นอิ่งส่ายหน้า ก่อนหน้าตระกูลโจพึ่งลาตินกรุ๊ปเป็นเสือสมิงมาจัดการกับไห่หยางกรุ๊ป โจยู่ถานก็แอบเล่นตุกติกลับๆ ตัวเขาเองยังไม่ไปหาเรื่องตระกูลโจเลย แต่กลับจะเข้ามาหาเรื่องเอง?

“ดูท่าทางนายเชื่อมั่นตัวเองมากเลยนะ? คิดว่ามีหวางหงหลิงปกป้องนายก็แน่นักอย่างนั้นเหรอ ช่างเป็นเศษสวะที่ไม่รู้จักเจียมตัวเอาซะเลย!” โจตงประนามด้วยเสียงเย็นชา “นายรู้ไหม นายคริสฝ่ายจัดงานของลาตินกรุ๊ป มีความร่วมมืออย่างไรกับตระกูลโจเรา? หวางหงหลิงเธอเซ่นไหว้ผิดที่แล้ว คิดจะปกป้องนายคงเอาไม่อยู่!”

“ใช่ ฉันจะกำจัดความเชื่อมั่นของนายเดี๋ยวนี้ นึกว่าอาศัยหวางหงหลิงมางานอย่างนี้ ตัวเองก็จะเป็นบุคคลที่มีฐานะขึ้นมาอย่างนั้นเหรอ?” โจยู่ถานพูดด้วยเสียงเย็นชา “ฉันจะนับถึงแค่สิบวินาที ถ้านายไม่มาขอขมาลาโทษฉันดีๆ ฉันจะให้คนจับตัวนายโยนออกไป แล้วก็ให้วงการธุรกิจปิดตายนาย รับรองต่อไปนายไม่มีข้าวกินแน่”

เนื่องจากคราวก่อนตระกูลโจเกาะแข้งเกาะขากงซุนชิวอวี่ไว้ไม่ได้ คราวนี้พอไปพึ่งลาตินกรุ๊ป ได้รับความสำคัญจากคริส เลยระเบิดอำนาจ

ใครบ้างไม่รู้ ว่าวงการธุรกิจเมืองตุงไห่ถูกครอบงำโดยลาตินกรุ๊ป? แม้แต่ไห่หยางกรุ๊ปก็ต้องประนีประนอมให้ความร่วมมือ ตระกูลโจเป็นผู้สนับสนุนรายแรก ยังต้องแยแสหวางหงหลิงด้วยเหรอ?

“ให้ฉันไสหัวออกไป?” หลินอิ่งหัวเราะอย่างเยือกเย็น “คุณไปเรียกฝ่ายจัดงานมาสิ”

“โจตง โทรหานายคริสที บอกว่ามีคนก่อกวนที่งาน ให้เขาส่งคนมาเก็บกวาดที” โจยู่ถานโบกมือขึ้นพูด ใส่มาดเต็มที่

สำหรับพวกเธอแล้ว พวกเขาตระกูลโจวเป็นเดิมพันที่ถูกข้าง ตอนนี้ลาตินกรุ๊ปเจิดจ้าดั่งดวงอาทิตย์กลางท้องฟ้า พวกเขาทั้งหมดเหมือนผู้ใต้อำนาจ ต่อไปสนใจแค่เก็บเกี่ยวผลประโยชน์ตามใจชอบในวงการค้าเมืองตุงไห่ก็พอแล้ว คิดจะอวดเบ่งอย่างไรก็ได้

ประสาอะไรกับ เศษสวะอย่างหลินอิงที่แค่เกาะผู้หญิงกินกับไต่ความสัมพันธ์กับตระกูลหวาง รังแกทำให้อับอายบ้างนิดหน่อย ก็เป็นแค่เรื่องจิ๊บจ๊อย

ติ๊ดๆ

ในเวลานี้เอง มือถือของหลินอิ่งก็ดังขึ้น

เป็นสายโทรเข้าจากจางฉีโม่

พอรับสาย เสียงของฉีโม่ก็ดังเข้ามาอีกด้าน “ฮัลโหล หลินอิ่ง คุณยุ่งอยู่ไหม?”

“มีอะไร ว่ามา” หลินอิ่งพูดด้วยสีหน้าปกติ

“หลินอิ่ง คุณรู้จักทนายที่เก่งๆ ไหม? ลุงใหญ่กับลุงสามพวกเขาเปิดจางซื่อกรุ๊ปอีกแห่งแล้ว ให้ฉันไปฟ้องร้องแย่งเครื่องหมายทางการค้าเอง พวกเขายังเอาพินัยกรรมของคุณท่านในตอนนั้นออกมา……” จางฉีโม่พูดด้วยความวิตก

“ผม……” หลินอิ่งกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง

“หลินอิ่งจะไปรู้จักทนายความอะไร โทรหาเขาจะช่วยอะไรได้?”

เสียงลู่หย่าฮุ่ยดังเข้ามาอย่างรำคาญในสาย จากนั้นก็เสียงตึ๊ดดังขึ้นสองครั้ง ถูกวางสายไปแล้ว

หลินอิ่งคิ้วขมวด ไม่ได้พูดอะไรมาก เวลานี้เอง โจตงพาบอดี้การ์ดต่างชาติสองสามนายเดินมายังตัวเขา ท่าทางเหมือนน่ากลัว

อีกด้านหนึ่ง จางฉีโม่วางสายลง สีหน้าจนใจ สองสามีภรรยาลู่หย่าฮุ่ยก็พร่ำพูดอยู่ข้างๆ ไม่รู้จักจบ

ในเวลานี้เอง จางฉีโม่ยืนอยู่ใต้อาคารใหญ่ ใต้อาคารเต็มไปด้วยผู้คน ประดับประดาด้วยผ้าและโคมไฟ กำลังจัดพิธีเปิดที่ยิ่งใหญ่มโหฬาร ชื่อบริษัว่าบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ

ลุงใหญ่จางหงจูนกับลุงสามจางหงซวน ไม่รู้ว่ากินยาผิดหรือเปล่า อยู่ๆก็ตั้งต้นใหม่ เปิดบริษัท แล้วยังเชิญตระกูลจางตั้งแต่เบื้องล่างจรดเบื้องบนมากันหมด

จางฉีโม่ก็อยากมาดูสถานการณ์ จึงมาร่วมพิธีเปิดกับพ่อแม่ด้วย นึกไม่ถึงพอมาถึงก็เจอทีมทนายความมาต้อนรับ ได้รับหมายทนายเตือนจากจางหงจูน……

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท