บทที่ 225 คนตระกูลจางตาร้อนแล้ว
ในเวลานี้ ภายในอาคารจางซื่อ ห้องทำงานท่านประธานชั้น16
จางหงจูนกับจางหงซวนยืนนอบน้อมอยู่หน้าโต๊ะทำงาน มีชายสวมชุดคลุมจงซานผู้หนึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้เจ้านาย ถือถ้วยน้ำชาวางมาดเต็มที่
“ประธานกงซุน พวกเราเชิญหลินอิ่งกับครอบครัวมาแล้ว วันนี้ภรรยาของหลินอิ่งกับพ่อตาแม่ยายมาถึงงานแล้ว” จางหงซวนเลิกคิ้วขึ้นพูด
“ถูกต้องแล้วครับ ประธานกงซุน ทุกอย่างทำตามที่คุณสั่ง ไม่ทราบว่าต่อไป จะให้พวกผมสองคนทำอะไร?” จางหงจูนพูดด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
พวกเขาสองคนนับถือประธานกงซุนที่ชวนให้คนสะพรึงอยู่ตรงหน้า ดั่งเทพเจ้าทีเดียว
ประธานกงซุนท่านนี้ เดิมนามว่ากงซุนเฟยเจี้ยน อาจจะไม่ได้โด่งดังในเมืองตุงไห่แต่อย่างใด แต่ที่เมืองเกาหยางข้างๆ แค่ขยับขานิดหน่อย ก็สะท้านไปทั่วเมืองทีเดียว!
มหาเศรษฐีในตี้จิง บุคคลผู้มีอำนาจในตระกูลกงซุน รัฐบุรุษผู้ก่อตั้งประเทศ กงซุนฉงหลง บุตรชายแท้ๆ ของบุคคลผู้ยิ่งใหญ่ที่รู้จักกันดีในประเทศหลุง!
การได้ทำงานร่วมกับผู้มีอำนาจสูงสุดในตี้จิงเช่นนี้ จางหงจูนทั้งสองคนก็รู้สึกเหมือนเป็นลางดี เป็นเรื่องที่ไม่กล้าแม้แต่จะคิด
ก่อนหน้านี้ จางหงจูนกับจางหงซวนอยู่ๆ ก็ถูกมือปืนปริศนาพาตัวไป ทำพวกเขาสองคนตกใจจนปอดแหก นึกว่าล่วงเกินจอมโหดที่ไหนเข้า ปรากฏนึกไม่ถึงว่าจะมีโชควาสนาหล่นมาจากฟ้า ได้ไต่เต้าความสัมพันธ์กับกงซุนเฟยเจี้ยน
ต้องบอกว่า บุคคลระดับนี้ ได้เกี่ยวพันด้วยนิดหน่อย ก็ได้ประโยชน์คณานับแล้ว แค่น้ำมันรั่วจากปลายนิ้วมือลงมา ก็ทำให้พวกเขาอิ่มท้องไปชั่วชีวิตได้!
“หลินอิ่งไม่มาเหรอ?” กงซุนเฟยเจี้ยนถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ เผยออร่าที่สูงส่งให้เห็น
“หลินอิ่ง……” จางหงซวนพูดด้วยความระมัดระวัง “หลินอิ่งหมู่นี้ก่อความขัดแย้งกับพ่อตาแม่ยายของเขา จะไล่เขาหนี เลยไม่ได้มาร่วมพิธีเปิดด้วย”
“ประธานกงซุน วางใจได้ การหาตัวหลินอิ่งเป็นเรื่องเล็ก ผมหาเขาพบได้ทุกเมื่อ!” จางหงจูนตบหน้าอกพูด กลัวทำงานไม่เรียบร้อยแล้วล่วงเกินองค์พระที่อยู่ตรงหน้า
“ไม่ต้องไปหาเขา พวกคุณทำตัวตามธรรมชาติก็พอ” กงซุนเฟยเจี้ยนกล่าว
จางหงซวนคิดภายในใจ จนเดี๋ยวนี้เขาก็ไม่ชัดเจนว่าบุคคลระดับสูงอย่างกงซุนเฟยเจี้ยน ทำไมต้องตรงดิ่งมาหาเรื่องหลินอิ่งยังเมืองตุงไห่ ทั้งที่ไม่ใช่คนระดับสูงอะไร
อีกอย่าง กงซุนเฟยเจี้ยนยังเตือนพวกเขาทั้งสองอย่างเข้มงวดว่า ห้ามให้ข่าวของกงซุนเฟยเจี้ยนรั่วไหล ทำซะจนลึกลับ
ว่าตามหลักการ จากศักยภาพของกงซุนเฟยเจี้ยน จะบี้หลินอิ่งให้ตายยังง่ายกว่าบี้มดตัวหนึ่งเสียอีก
“ประธานกงซุน ทำไมท่านถึงได้สนใจหลินอิ่งเศษสวะคนนี้นัก เขาล่วงเกินท่านเหรอ?” จางหงซวนถามอย่างระมัดระวัง “ผมได้ยินข่าวซุบซิบว่า หลินอิ่งเคยคิดจะประจบสอพลอคุณหนูใหญ่แห่งตระกูลกงซุน ใช่เพราะเรื่องนี้หรือไม่ขอรับ?”
“อ้อ? คุณก็ได้ยินแล้วเหรอ?” กงซุนเฟยเจี้ยนเหลียวมองจางหงซวนด้วยความสนใจ
“ใช่ครับ ประธานกงซุน หลินอิ่งคนผู้นี้ขึ้นชื่อว่าเป็นเศษสวะแห่งเมืองชิงหยูน นอกจากเกาะผู้หยิงกินแล้ว ก็ไม่มีความสามารถอะไร คราวก่อนผมได้ยินคนตระกูลโจบอกว่า หลินอิ่งคางคกอยากกินเนื้อห่านฟ้า คิดจะประจบคุณหนูใหญ่แห่งตระกูลกงซุน” จากหงซวนเลิกคิ้วขึ้นพูด
คุณทายถูกต้อง ฉันมาเพราะเรื่องนี้” กงซุนเฟยเจี้ยนพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ไม่อธิบายอะไรมาก
กงซุนเฟยเจี้ยนเคยเห็นชั้นเชิงอานุภาพของหลินอิ่งด้วยตาตัวเอง แน่นอนต้องไม่เห็นหลินอิ่งเป็นบุคคลพื้นๆ
การจงใจมาเมืองตุงไห่ครั้งนี้ ก็เพื่อช่วยระบายความแค้นให้พี่สองกงซุนเฟยเทียน หาโอกาสจัดการหลินอิ่ง!
“ประธานกงซุน พวกเราสนับสนุนการปฏิบัติการของท่าน อย่างคนหน้าไม่อายอย่างหลินอิ่ง ถือเป็นความอัปยศของพวกเราตระกูลจาง ผมก็ดูถูกเขา” จางหงซวนประจบประแจง
เขาคิดในใจว่า คราวนี้หลินอิ่งรอดยากแน่ มีภรรยาเป็นตัวเป็นตนแล้ว ยังคิดจะสีคุณหนูตระกูลกงซุนอย่างไม่กลัวตาย?อยู่นานจนเบื่อชีวิตแล้วสินะ ช่างไม่รู้สถานะตัวเองเอาซะเลย!
ก็ดี คราวนี้มีกงซุนเฟยเจี้ยนองค์พระองค์นี้มาโปรด ได้พลิกตัวเป็นใหญ่สักที ช่วยงานแค่เล็กน้อย ไม่เพียงแย่งชิงเครื่องประดับจางซื่อกรุ๊ปกลับมาได้ แล้วยังไต่สัมพันธ์กับตระกูลกงซุนได้อีกด้วย ช่างสวยสดงดงามเสียเหลือเกิน
“เอาล่ะ พวกคุณออกไปเถอะ ไม่ใช่เรื่องที่พวกคุณต้องรู้ ก็อย่าถามให้มาก แล้วก็อย่าพูดให้มาก” กงซุนเฟยเจี้ยนโบกมือขึ้น พูดอย่างเกรงขาม
“ครับๆๆ ได้ครับ ประธานกงซุน ท่านมีอะไรจะสั่งเชิญบอกพวกเรามาได้” จางหงจูนพูดอย่างอ่อนน้อม
จากนั้น ทั้งสองคนก็ค่อยๆ ถอยตัวออกมาจากห้องทำงานประธาน
รอจนสองคนนี้จากไป ชายวัยกลางคนสีหน้าเย็นชาก็เดินเข้ามา
“ฉางเฟิง หลายวันที่สังเกตการณ์หลินอิ่งมานี้ พบอะไรบ้าง?” กงซุนเฟยเจี้ยนพูดอย่างช้าๆ
“หลินอิ่งมีความรู้สึกไวสูง ผมไม่สามารถสะกดรอยตามเขาได้” ฉางเฟิงตอบอย่างเฉยเมย “แต่ว่า ผมพบว่าเขาไม่ได้ธรรมดาอย่างที่เห็นผิวเผิน เป็นคนที่มีอำนาจในที่ลับของเมืองชิงหยูน”
“หึ ศิลปะต่อสู้โบราณอย่างเขาต้องได้รับการฝึกฝนอย่างลึกซึ้งแน่นอน จะแอบสร้างอำนาจลับๆ ก็ไม่แปลก” กงซุนเฟยเจี้ยนพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “เตรียมตัวให้พร้อมเถอะ รอฉันเลือกเวลาที่เหมาะ เลือกสถานที่แล้วก็จะแจ้งให้นายลงมือ ต้องจัดการภายในครั้งเดียว ทางเจ้าบ้านรองเร่งฉันมาหลายครั้งแล้ว ต้องรีบลงมือ เจ้าบ้านรองรอให้ฉันหิ้วหัวของหลินอิ่งกลับไป”
“ครับ!”
……
ในเวลนี้เอง ภายในหอนิทรรศการชั้น12ของอาคารจางซื่อ นั่งเต็มไปด้วยแขกเหรื่อ ทั้งหมดเป็นคนของสายเลือดตระกูลจางในเมืองชิงหยูน อย่างน้อยๆ ก็เป็นบุคคลที่มีความสามารถ
และคนตระกูลจางทั้งระดับล่างและระดับบนกว่าร้อยคน ก็มาถึงในงานกันครบถ้วน
จางฉีโม่กับครอบครัวนั่งอยู่ที่ตำแหน่ง VIP สีหน้าของทุกคนล้วนครุ่นคิด รอจางหงจุนกับจางหงซวนมาคุยธุระ และคนตระกูลจางที่นั่งอยู่รอบๆ ต่างก็พูดจาตำหนิติเตียนต่างๆ นานา
“ฉีโม่อ่ะ แล้วก็พี่ห้าอ่ะ ฉันบอกตามตรงนะ พวกเธอไม่มีความปรานีกันเลย นึกไม่ถึงว่าพวกเธอครอบครัวจะไปพึ่งบารมีคนอื่น เพื่อครอบครองตำแหน่งประธานจางซื่อกรุ๊ป เรียกว่าก่อกวนจริงๆ !” ชายวัยกลางคนคนหนึ่งพูดขึ้นมาด้วยความไม่พอใจ
“ถ้าให้ฉันพูดนะ ฉีโม่ ครอบครัวเธอแขวนหัวแพะแต่ขายเนื้อหมา ใช้แบรนด์เครื่องประดับจางซื่อหาเงินให้คนอื่น! สร้างความลำบากให้กับตระกูลจางของพวกเรา ควรจะมอบแบรนด์ชั้นนำเครื่องประดับจางซื่อนี้ออกมา นี่เป็นแบรนด์ที่คุณท่านสร้างขึ้นมาในตอนนั้น ครอบครัวเธอจะกลืนกินฝ่ายเดียวไม่ได้ นอกจากนี้ พวกเธอต้องแจกจ่ายเงินจำนวนหนึ่งให้กับทุกคนในตระกูลจางด้วยถึงจะถูก”
“ถูกต้อง พวกเราคนของตระกูลจางทั้งหมดในครั้งนี้ล้วนเห็นด้วยกับความเห็นของพี่ใหญ่กับพี่สาม มอบลิขสิทธิ์แบรนด์ของเครื่องประดับจางซื่อให้กับพวกเขาจัดการ เพราะอะไรเหรอ เพราะพี่ใหญ่กับพี่สามทำงานเข้าท่า แจกจ่ายเงินจำนวนหนึ่งให้พวกเราตระกูลจางทุกคน”
ญาติกลุ่มหนึ่งต่างสงสัย อยู่สีหน้าของลู่หย่าฮุ่ยผัวเมียก็ถอดสี คิดจะให้พวกเขาเอาเงินออกมา นั่นยากกว่าปีนขึ้นสวรรค์เสียอีก
“นั่นน่ะสิ ครอบครัวพวกเธอเจริญก้าวหน้าแล้ว ก็ไม่สนใจคนในตระกูลจางแล้ว ใช้แบรนด์ที่คุณท่านทิ้งไว้ไปหาร่ำรวยกับคนนอก แล้วทิ้งพวกเราคนในบ้านไว้อีกทาง มีอย่างนี้ที่ไหนกัน?” ชายชราสวมแว่นสายตาคนหนึ่งพูดขึ้นมาด้วยความไม่พอใจ
คนของตระกูลจางต่างบ่นพึมพำด้วยความไม่พอใจ แต่ละคน เหมือนโกรธแค้นครอบครัวฉีโม่อย่างใหญ่หลวง
ในความเป็นจริง ครอบครัวจางฉีโม่กับพวกเขาก็ไม่มีความแค้นต่อกัน เมื่อก่อนเรียกว่าเข้ากันได้ดีพอสมควร เพียงแต่ครอบครัวจางฉีโม่อยู่ๆ ก็บินทะยานขึ้นสูง จึงทำให้คนยากที่จะรู้สึกว่ายุติธรรมแล้ว
มีสิทธิ์อะไรกัน? ทุกคนต่างก็เป็นคนตระกูลจาง เดิมทีเงื่อนไขก็เหมือนกันทุกอย่าง อยู่ๆ ครอบครัวพวกเธอก็ก้าวหน้าขึ้นมา ไม่ใช่เพราะยืมคนนอกมาลงทุนหรอกเหรอ? หรือว่าใช้แบรนด์ของคุณท่าน?
ความสงสัยเหล่านี้พอฟังขึ้นมา ใบหน้าของจางฉีโม่ก็ปรากฏน้ำโหเล็กน้อย แต่ในเวลาอันสั้นไม่รู้จะตอบโต้อย่างไร
เธอไม่เคยคิดว่า คนตระกูลจางที่เคยไปมาหาสู่กันปกติ นึกไม่ถึงว่าจะก่อกวนไร้เหตุผลให้เธอมอบแบรนด์เครื่องประดับจางซื่อที่ตัวเองบริหารออกมา
เธออดที่จะรู้สึกสะเทือนใจไม่ได้ หรือว่านี่คือความเป็นคน