ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 226 แม้แต่ตัวเองแซ่อะไรก็ลืม

บทที่ 226 แม้แต่ตัวเองแซ่อะไรก็ลืม

บทที่ 226 แม้แต่ตัวเองแซ่อะไรก็ลืม

“ไม่ใช่ ทุกท่านในที่นี้ ลิขสิทธิ์เครื่องประดับจางซื่ออยู่ในบริษัทตลอด พวกคุณจะเอาพินัยกรรมของคุณปู่มาอ้าง อย่างนี้จะไม่เกินไปหน่อยเหรอ?” จางฉีโม่พูดด้วยความโมโหเล็กน้อย

“นั่นสิ อย่างนี้ไม่เท่ากับให้คนนอกหัวเราะเยาะเหรอ? มีปัญหาอะไรก็ปรึกษากันดีๆ” ลู่หย่าฮุ่ยพูดสมทบขึ้น

“หึ พวกเราไม่สนระบบบริษัทอะไรนั่นหรอก เครื่องประดับจางซื่อแบรนด์นี้เป็นของเก่าแก่ตระกูลจาง!” ชายชราผู้หนึ่งพูดขึ้นมาอย่างชอบธรรม “ครอบครัวเธอเป็นตัวแทนตระกูลจางไม่ได้ ฉะนั้น ก็ไม่สามารถใช้เครื่องประดับจางซื่อคำนี้ได้”

พอหยุดสักพัก เขาก็พูดต่อว่า “ถ้าพวกคุณจะปรึกษาก็ได้ ออกเงินสิ ให้ราคาที่คนตระกูลจางพอใจกันหมด ทุกคนถึงจะยอม ไม่อย่างนั้น คนด่านตระกูลจางนี้เธอก็ผ่านไม่ได้ ถ้าพวกเธอยังจะหน้าด้านใช้แบรนด์นี้ พวกเราก็ไม่ตกลงเด็ดขาด!”

“ถูกต้อง พวกเราเห็นด้วยกับวิธีของอาเจ็ด ควรจะทำอย่างนี้”

“ครอบครัวพวกเธอไม่แสดงให้เห็น พวกเราก็จะก่อกวนเอาแบรนด์นี้ทุบทิ้งอย่างไม่เสียดาย!”

คนในตระกูลจางที่อยู่ในงานยิ่งพูดก็ยิ่งไม่เกรงใจ ยิ่งโอหัง

สีหน้าของจางฉีโม่ก็ค่อยๆ ดูไม่ได้ รู้สึกว่าคุยเหตุผลกับคนพวกนี้ก็คุยไม่รู้เรื่อง พวกเขาไร้เหตุผล

ว่าตามหลักการ ถ้าต้องขึ้นศาลว่าความกัน ตามระเบียบขั้นตอนเธอไม่กลัวเท่าไหร่

แต่ปัญหาก็คือ จะเสียหายกับชื่อเสียงบริษัทอย่างมาก ท่าทางของคนตระกูลจาง เห็นได้ชัดคือ สู้ไม่ได้ก็จะอาเจียนรดใส่

อย่างไรเสียแบรนด์เครื่องประดับจางซื่อก็ไม่ได้อยู่ในมือพวกเขา พวกเขาไม่ได้ประโยชน์อะไร ยอมทุบทิ้งก็ไม่เป็นไร

“รีบหาคำอธิบายมาเถอะ ครอบครัวพวกเธอทำงานไม่เป็น อย่างนั้นก็ให้พี่ใหญ่พี่สามมาควบคุมสถานการณ์” อาเจ็ดตระกูลจางพูดต่อ ด้วยท่าทางเย่อหยิ่ง วางท่าสูงส่ง

อาเจ็ดเป็นผู้มีความอาวุโสสูงในตระกูลจาง เป็นน้องชายคนที่เจ็ดของคุณท่าน พูดไปแล้วก็ไม่เห็นจางฉีโม่หลานสาวคนนี้ในสายตาเลย อาศัยที่ตัวเองอายุมากทำตัวเป็นผู้อาวุโส

คนในตระกูลจางอื่นๆ ต่างก็พากันสมทบ ตำหนิครอบครัวจางฉีโม่

“ฉีโม่ ตั้งแต่ครอบครัวพวกเธอควบคุมบริษัท พวกเราคนตระกูลจางรุ่นอาวุโสไม่ได้ประโยชน์อะไรแม้แต่นิดเดียว เห็นบริษัทยิ่งทำก็ยิ่งใหญ่โต แต่ส่วนแบ่งพวกเราน้อยจนน่าสงสาร” ชายคนหนึ่งที่ได้มรดกเป็นหุ้นส่วนจางซื่อกรุ๊ปพูดขึ้นมา “ความต้องการของพวกเราก็ง่ายมาก ก็คือว่าตามพินัยกรรมตอนนั้นของคุณท่าน ปันผลหุ้นให้พวกเราเท่ากันทุกคน

“ถูกต้อง ทำอย่างนี้ถึงจะถูกต้อง พวกเธอถึงจะเป็นที่ยอมรับในการบริหารเครื่องประดับจางซื่อกรุ๊ป”

จางฉีโม่คิ้วขมวดเล็กน้อย คนตระกูลจางพวกนี้ยิ่งพูดก็ยิ่งเกินไป

ตาร้อนที่ตอนนี้เค้กของบริษัทก้อนโตขึ้นเรื่อยๆ และบอกตามตรง คนพวกนี้หลังจากนายท่านแบ่งหุ้นส่วนให้แล้ว ก็ไม่ได้ทำงานช่วยเหลือบริษัทแต่อย่างใด สนใจแต่นั่งเก็บเงินอย่างเดียว

พวกเขางานอะไรก็ไม่ทำ รู้สึกว่าตอนนี้บริษัทใหญ่โตแล้ว ก็ต้องได้ปันผลมากขึ้น

“ทุกท่าน เมื่อก่อนฉันเคยเพิ่มเงินปันผลให้ทุกคน โดยไม่ต้องทำอะไรเลย ได้เงินปันผลบริษัทตามปกติ หรือว่านี่ยังไม่พอ?” จางฉีโม่ถามด้วยความสงสัย

“แค่นี้พอที่ไหน? ฉีโม่ เงินปันผลที่เธอเพิ่มให้พวกเรา เทียบกับขนาดโครงสร้างของบริษัทตอนนี้ได้อย่างไร?”

“นั่นสิ เมื่อก่อนเราจะจัดหาคนเข้ามาบริษัทก็ยังสะดวก ปรากฏพอเธอมาควบคุมบริษัท การตั้งค่าการ์ดทุกชนิด พวกเราคนตระกูลจางอยากจัดคนเข้ามาทำงานในบริษัทก็ไม่ได้ กลับกันกลับให้คนนอกเข้ามาหาเงินในบริษัท นี่ทำอะไรของเธอกัน? นี่ยังเป็นบริษัทของตระกูลจางอยู่ไหม?”

จางฉีโม่ถอนใจ เจ็บแปลบขึ้นมาในใจ ปนความโมโห ผู้อาวุโสตระกูลจางไร้เหตุผลสิ้นดี ชอบคิดว่าจางซื่อกรุ๊ปเป็นของตระกูลจาง การปันผลให้พวกเขาเป็นเรื่องชอบธรรม ทั้งหมดเพราะความเป็นอาวุโส ไร้ยางอายที่สุด!

เธอก็นึกไม่ถึงว่าคนตระกูลจางทั้งหมดจะมีท่าทางอย่างนี้

“เหอะๆ ฉีโม่อ่ะ ครอบครัวเธอตอนนี้ได้ยินความในใจของคนตระกูลจางแล้วสินะ?”

ในเวลานี้เอง ก็มีเสียงหัวเราะเยือกเย็นดังเข้ามา เห็นแต่จางหงซวนกับจางหงจูนเดินเข้ามาอย่างช้าๆ ทั้งสองคนนั่งลงที่นั่งตรงข้าม มองจางฉีโม่กับครอบครัวอย่างล้อเลียน

“พวกเธอครอบครัวตั้งใจฟังให้ดี นี่เป็นเสียงของผู้อาวุโสในตระกูลจาง! ดูสิหลังจากพวกเธอควบคุมจางซื่อกรุ๊ป แรงเกลียดชังของคนในตระกูลมากแค่ไหน? เห็นแต่พวกเธอทำแต่ความเละเทะ ทำให้ทุกคนไม่พอใจ!” จางหงจูนพูดจาสั่งสอน

“ฉะนั้นน่ะ ฉันก็จนปัญญา ต้องปลุกระดมตระกูลจาง ก่อตั้งเครื่องประดับจางซื่อกรุ๊ปขึ้นใหม่” จางหงจูนพูดอย่างช้าๆ “ในฐานะที่ฉันเป็นใหญ่ในตระกูลจางรุ่นนี้ จะทนดูตระกูลจางพังลงในน้ำมือพวกเธอไม่ได้!”

จางฉีโม่ทำเสียง “หึ” พูดว่า “ลุงใหญ่ พวกคุณทำอย่างนี้ไร้เหตุผลสิ้นดี จางซื่อกรุ๊ปพัฒนามาจนตอนนี้ ไม่ได้อาศัยคุณลุง อีกทั้ง ตระกูลจางก็ไม่ใช่เครื่องประดับจางซื่อกรุ๊ป!”

ทั้งหมดนี้เป็นการเอาวงศ์ตระกูลมามัด บังคับเอาตระกูลจางมาผูกกับจางซื่อกรุ๊ป แล้วก็ใช้ความเป็นผู้อาวุโส อ้างคุณธรรมโจมตีกัน

ช่างน่าทุเรศจริงๆ นาทีนี้จางฉีโม่รู้สึกว่า คำว่าวงศ์ตระกูลทำให้รู้สึกน่ารังเกียจขยะแขยง

“ทุกคนจงฟัง ที่พูดมานี่เป็นคำพูดคนเหรอเปล่า? ตระกูลจางไม่ใช่เครื่องประดับจางซื่อกรุ๊ป?ฉีโม่เอ้ย เธออย่าลืมสิว่าเธอก็แซ่จางนะ!” จางหงจูนพูดอย่างไม่เกรงใจ “เธอหาเงินกับคนนอก จนลืมไปว่าตัวเองแซ่อะไรแล้วสินะ?”

“เครื่องประดับจางซื่อกรุ๊ปเป็นกิจการบรรพชนที่คุณท่านทิ้งเอาไว้ ไม่ใช่ให้เธอทำเละเทะ!” จางหงจูนพูดอย่างผู้มีคุณธรรม “ทางเธอดึงคนมาลงทุนพัฒนาเอง ฉันก็ไม่ว่าอะไร แต่ว่า คำว่าเครื่องประดับจางซื่อนี้ ไม่อนุญาตให้เธอใช้อีกเด็ดขาด ฉันจะจัดงานแถลงข่าว ประกาศเรื่องนี้สู่ภายนอก!”

“เดี๋ยว พี่ใหญ่ จะเปิดแถลงข่าวเหรอ?” ลู่หย่าฮุ่ยลนลานขึ้นมา พูดด้วยความตื่นเต้นว่า “พี่ใหญ่ เมื่อก่อนฉีโม่กุมอำนาจ ก็เก็บตำแหน่งไว้ให้พวกพี่ใหญ่ในบริษัท นี่พวกพี่จะโค่นล้มกันเหรอ?”

“โค่นล้มอะไรกัน? ครอบครัวพวกเธอมันเป็นวายร้าย รู้ไหม? อาศัยคนภายนอกควบคุมบริษัท มารังแกผู้อาวุโสในตระกูลจาง แล้วก็ไม่ฟัง คนในตระกูลเคียดแค้นครอบครัวพวกเธอแค่ไหน?” จางหงซวนช่วยพูดอีกแรง น้ำเสียงประชด

จางหงซวนกับจางหงจูนท่าทางได้ใจ พวกเขามีชื่อที่ชอบธรรมในวงศ์ตระกูล ยืนอยู่บนศีลธรรมอันสูงส่ง อย่างไรสุดท้ายไม่ว่าจะก่อเรื่องอย่างไร ทิศทางไม่น่าจะส่งผลดีต่อจางฉีโม่ ต้องส่งผลต่อบริษัทพวกเขาอย่างรุนแรงแน่

ขอบอกว่า คนทั้งตระกูลจางไม่ชอบหน้าเธอจางฉีโม่ แล้วเธอยังจะฟ้องร้องกับคนทั้งตระกูลอีก? อย่างนี้คนภายนอกมองมา เธอจางฉีโม่จะเป็นคนดีได้อีกเหรอ?

“นี่…ฉีโม่ คราวนี้จะทำอย่างไรดี แบรนด์เครื่องประดับจางซื่อจะทิ้งไปไม่ได้นะ” ลู่หย่าฮุ่ยร้อนใจอยู่ข้างๆ เป็นกังวลอย่างมาก

“ฉัน……” จางฉีโม่รู้สึกหัวโตขึ้นมาทันที ไม่รู้ว่าทำไมครอบครัวลุงใหญ่ถึงได้บีบคั้นกันอย่างนี้

เมื่อก่อนจางฉีโม่ได้ทุ่มเทแรงกายแรงใจกับเงินทองไปสร้างแบรนด์เครื่องประดับจางจื่อ คราวนี้ถ้าเสียลิขสิทธิ์แบรนด์ไป ไม่อยากจะคิดถึงผลที่ตามมาเลย

นึกออกเลยว่า ผลิตภัณฑ์ที่เป็นแบรนด์มีชื่อเสียง อยู่ๆ ต้องเปลี่ยนแบรนด์ จะส่งผลกระทบมากมายแค่ไหน!

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท