ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 231 ป้ายชื่อให้พวกคุณแล้วไง?

บทที่ 231 ป้ายชื่อให้พวกคุณแล้วไง?

บทที่ 231 ป้ายชื่อให้พวกคุณแล้วไง?

จางซิ่วเฟิงสีหน้าไม่ดี ยังคงถือแก้วเหล้าในมือ รู้สึกเวียนหัว เหล้าเริ่มออกฤทธิ์ ทรงตัวไม่ค่อยอยู่

“พี่สาม พี่ใหญ่ ประธานทั้งสอง ขอโทษด้วยครับ เมื่อครู่ค่อนข้างแรงไปหน่อย” จางซิ่วเฟิงพูดอย่างระมัดระวัง

“พ่อ ช่างมันเถอะ พวกเราไปกันเถอะ” จางฉีโม่ลุกขึ้นแล้ว ในใจรู้สึกโมโห เวลาเดียวกันก็รู้สึกเศร้า

แบบนี้มันเป็นการเหยียดหยามบนโต๊ะอาหารกันชัดๆ ไม่ได้เห็นครอบครัวเธออยู่ในสายตาเลยแม้แต่น้อย

“แต่ว่า…..” จางซิ่วเฟิงยากพูดอะไรแต่ก็หยุด สีหน้าเอือมระอา

ถ้าหากทำให้คนใหญ่คนโตสองคนนี้โกรธบนโต๊ะอาหาร อีกหน่อยเขาจะอยู่ในเมืองชิงหยูนต่อไปยังไง

“น้องห้า อย่าพูดว่าฉันไม่ได้ให้โอกาสครอบครัวนายนะ แบบนี้มันให้โอกาสแล้วยังไม่รับอีก แม้แต่ประธานทั้งสองยังกล้าทำแบบนี้ พี่ว่า ต่อจากนี้ป้ายชื่อเครื่องประดับจางซื่อ จากนี้ไปพวกเธอก็ไม่ต้องใช้อีกแล้ว ไม่อย่างนั้น อย่าโทษประธานทั้งสองคนบีบบังคับ ไม่เหลืออะไรให้พวกเธอกินเลยแม้แต่คำเดียว” จางหงจูนสีหน้าได้ใจ เหมือนพอใจกับสถานการณ์ตอนนี้มาก

“เห้อ ฉีโม่ พฤติกรรมของเธอแบบนี้ จะควบคุมบริษัทเครื่องประดับใหญ่โตอย่างจางซื่อได้ยังไง? ยังอยากเป็นตัวแทนตระกูลจาง? คนอื่นหัวเราะตายแน่” จางหงซวนก็พูดเสียดสี “ตอนแรก ก็เห็นแก่ว่าเป็นครอบครัวเดียว ยังพอให้ช่องว่างกันได้ แต่ว่าพวกเธอไม่ไว้หน้าแม้แต่ประธานสองท่านนี้ ก็อย่าไปโทษคนอื่นเลย อีกหน่อยไม่มีจุดยืนในแวดวงธุรกิจในเมืองชิงหยูน”

จางฉีโม่สีหน้าไม่ดี ยังคงยืนหยัดสถานะตัวเอง ไม่คิดจะนั่งลง แม่ไม่รู้สถานการณ์จริงๆ ใครกันที่ไม่มีมารยาทแยกแยะไม่ออกเลยเหรอ

“พี่ใหญ่ พี่สาม ฉีโม่ไม่ได้หมายความอย่างนั้น เธอยังอายุน้อย พูดจาไม่รู้ระเบียบ” ลู่หย่าฮุ่ยเปิดปากพูดอย่างหงุดหงิด “ฉันว่า เรื่องเกี่ยวกับชื่อบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ พวกเราเจรจากันได้”

“เจรจาอะไร? ชื่อเสียงบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ บริหารมาตั้งแต่รุ่นปู่ ดูพฤติกรรมพวกเธอ อยากทำลายชื่อเสียงบริษัทเหรอ?” จางหงจูนพูดอย่างมีเหตุมีผล

“อยากเจรจา ก็ได้ ให้จางฉีโม่นั่งลงก่อน ดื่มเหล้าขาวที่เหลือให้หมด เพื่อแสดงความจริงใจ” จางหงซวนพูดด้วยรอยยิ้มเย็นชา สีหน้าสบายใจ

สามารถใช้อำนาจมาบีบบังคับคู่ต่อสู้ รู้สึกได้ใจมาก

“ชื่อบริษัทให้พวกคุณแล้วยังไง?”

ทันใดนั้น ขณะที่บรรยากาศบนโต๊ะอาหารกำลังเคร่งเครียด ก็มีเสียงหนุ่มคนหนึ่งดังขึ้น

หลินอิ่งมาแล้ว

สีหน้าหลินอิ่งปกติ เดินเข้ามาในงานคนเดียว ส่วนฮาเดสยื่นรอที่หน้าประตูอย่างเคารพ

“หลินอิ่ง คุณมาแล้วเหรอ” จางฉีโม่มองไปที่หลินอิ่ง พูดด้วยสีหน้าดีใจ

พอได้ยินเสียงของหลินอิ่ง เธอก็รู้สึกอุ่นใจขึ้นมาทันที

“ให้ชื่อบริษัทกับพวกเราแล้วยังไง? หลินอิ่ง นายมันช่างกล้าพูดนะ นายรู้ฐานะตัวเองในตระกูลจางไหม? นายมีสิทธิ์พูดที่นี่ไหม?” จางหงจูนพูดตำหนิ มองหน้าหลินอิ่งอย่างไม่พอใจ

“โอ้ หลินอิ่ง นายกล้าดีแล้วนะตอนนี้ กล้าทำตัวแบบนี้ต่อหน้าพวกเราเหรอ? คิดว่าตัวเองได้เกาะตระกูลหวางกิน เก่งมากเลยหรือ? นายไม่รู้สึกอายแม้แต่น้อยเลยเหรอ อยู่ข้างนอกทำให้ตระกูลจางขายหน้า” จางหงซวนพูดเสียดสี

เท่าที่เขาสองคนดูแล้ว หลินอิ่งเป็นแค่คนไร้น้ำยา ไม่มีความสามารถอะไรเลย อยู่ข้างนอกก็ทำได้แค่ไปเกาะคุณหนูลูกเศรษฐี ยังคิดว่าตัวเองมีความสามารถขนาดไหน?

แม้แต่ตระกูลผู้ดีเมืองรอบข้างยังให้คนมาจัดการเขา แค่คิดก็รู้ นี่มันผู้ชายที่ไร้ยางอายขนาดไหน

หลินอิ่งหัวเราะเย็นชา พูดว่า “ผมไม่อยากเสียเวลาพูดไร้สาระกับพวกคุณ ชื่อบริษัทเครื่องประดับจางซื่อพวกคุณอยากได้ใช่ไหม? เอาไปเลย”

จางหงจูนกับจางหงซวนทุ่มเทสร้างปัญหาทุกวิถีทางในบริษัท ตอนนี้ยังอยากได้ชื่อบริษัทจางซื่ออีก

แล้วมันจะมีประโยชน์อะไร?

บริษัทเครื่องประดับจางซื่อจากการลงทุนมหาศาลของเขา ก็ขยายใหญ่โตขึ้น พัฒนาไปเมืองอื่น จนมีผลกระทบต่อแวดวงเครื่องประดับในประเทศหลุง ซึ่งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อในเมืองชิงหยูนเมื่อก่อนเปรียบไม่ได้เลย

ถึงจะไม่ใช่ชื่อนี้ ความสามารถที่มีอยู่ อยากพัฒนาขึ้นมาก็ง่ายดายมาก ไม่มีอะไรน่าห่วงเลย

ในทางกลับกันกับตระกูลจาง ต้องการแตกแยกกับฉีโม่ บริษัทเครื่องประดับจางซื่อภายใต้การดูแลของจางหงจูน จะมีผลยังไง?

“ออ เหรอ? แบบนี้ยิ่งดี คำพูดของหลินอิ่ง หมายถึงความคิดของครอบครัวพวกเธอใช่ไหม?” จางหงจูนพูดเย็นชา “ถึงแม้ว่าเราจะแย่งชิงชื่อบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ แต่ว่า เรื่องนี้ยังไม่ใช่สิทธิ์ของนายที่จะมาตัดสิน?”

“ไม่ใช่ หลินอิ่ง แกมาพูดอะไรที่นี่?” ลู่หย่าฮุ่ยกังวล รีบพูดต่อว่า “ใครให้แกมาที่นี่? ที่นี่กำลังคุยเรื่องงานกัน แกพูดอะไรไปเรื่อย?”

“ฉีโม่ พวกเราไปกันเถอะ” หลินอิ่งมองไปที่จางฉีโม่ ไม่ได้สนใจคำพูดของคนอื่นแม้แต่น้อย

“อืม” จางฉีโม่พยักหน้าเห็นด้วย อยากจากไปอยู่แล้ว

“เดี๋ยวก่อน ไป?” ซูนเฉียงมองหน้าหลินอิ่งอย่างไม่พอใจมาก “แกก็คือหลินอิ่งของตระกูลจางเหรอ? แกคิดว่าแกเป็นใคร? ทำตัวใหญ่ในสถานที่แบบนี้? ไม่ดูหน่อยว่าคนที่นั่งอยู่ที่นี่เป็นใครบ้าง ไม่ใช่สิทธิ์ของแกที่จะมาสั่งที่นี่?”

ซูนเฉียงเคยได้ยินเรื่องของหลินอิ่งจากปากของจางหงจูนแล้ว แค่ลูกเขยไร้น้ำยาคนหนึ่ง ยังกล้าอวดดีต่อหน้าพวกเขาบนโต๊ะอาหารอีก? ไม่รู้ที่ต่ำที่สูง

“อยากไปก็ได้ ดื่มเหล้าบนโต๊ะให้หมด แล้วก็กราบขอโทษดีๆ คลานออกไป”

ซูนเฉียงพูดอย่างอวดดี “กล้าไม่ไว้หน้าฉันแบบนี้ อยากออกไปแบบนี้ ฉันกล้ารับรองว่า พวกเขาก้าวออกไปจากที่นี่ ก็เตรียมตัวล้มละลายได้เลย”

หลินอิ่งสีหน้าไม่แสดงอารมณ์ มองเหล้าขาวสองแก้วใหญ่บนโต๊ะ แล้วมองไปที่จางซิ่วเฟิงที่ดื่มจนเมา

“หลินอิ่ง เรื่องก่อนหน้านี้…..” จางฉีโม่ที่อยู่ข้างหลินอิ่ง พูดเสียงเบา เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้รอบหนึ่ง

“ผมรู้แล้ว” หลินอิ่งพยักหน้า เข้าใจเรื่องราวความเป็นมาแล้ว

หลินอิ่งสายตาเย็นชามองไปที่พวกจางหงจูน

พวกจางหงจูน อวดดีเกินไป ไม่เห็นจางฉีโม่อยู่ในสายตา บังคับจางซิ่วเฟิงดื่มจนเมาขนาดนี้

ถึงแม้เขาจะคุยกับจางซิ่วเฟิงไม่ถูกคอ แต่ไม่ว่ายังไงก็เป็นพ่อตา ไม่ไว้หน้าจางซิ่วเฟิงขนาดนี้ ต่อหน้าฉีโม่แบบนี้ จะทำให้ฉีโม่สบายใจได้ยังไง?

“พวกคุณชอบดื่มเหล้าใช่ไหม?” หลินอิ่งถามอย่างใจเย็น “ไว้หาโอกาส ผมจะให้พวกคุณดื่มจนพอใจ”

“แกหมายความว่ายังไง?” ซูนเฉียงพูดอย่างไม่พอใจ โมโหสำหรับพฤติกรรมของหลินอิ่งมาก

“นี่มันสถานการณ์อะไรกัน ทำไมขยะอะไรก็มาพูดบนโต๊ะอาหารของฉันได้? ยังจะหาโอกาส แกมีสิทธิ์ดื่มเหล้ากับพวกฉันเหรอ?” นายหลุยส์มองหน้าหลินอิ่งอย่างไม่พอใจ ฟังจางหงจูนแนะนำหลินอิ่งแล้ว ก็รู้สึกโมโห

เท่าที่นายหลุยส์ดูแล้ว คนไร้ฐานะไร้น้ำยาอย่างหลินอิ่ง ต่อหน้าพวกเขาควรจะเคารพอย่างหมาที่เลี้ยงไว้ถึงจะถูก ทำไมถึงได้อวดดีขนาดนี้?

หลินอิ่งหัวเราะเย็นชา นายสองคนนี้คงฟังความหมายในคำพูดเขาไม่ออก

เขาหยิบมือถือขึ้นมา โทรหานายคริส

ซูนเฉียงจะเป็นผู้มีอำนาจของตระกูลซูนก็ดี นายหลุยส์ที่เป็นรองประธานลาตินกรุ๊ปก็ช่าง สองคนนี้ ตอนนี้ต่อหน้าคริสแล้วก็เหมือนหมา

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท
Close Ads ufanance
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตออนไลน์
Click to Hide Advanced Floating Content สมัคร ufabet
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตฟรีสปิน