ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 236 ผมไม่ต้องลงมือเอง

บทที่ 236 ผมไม่ต้องลงมือเอง

บทที่ 236 ผมไม่ต้องลงมือเอง

กงซุนฉางเฟิงหัวเราะ ท่าทางมั่นใจ

เท่าที่เขาดูแล้ว สำหรับหลินอิ่งที่มือฝีมือบ้างในเมืองชิงหยูนไม่ได้อยู่ในสายตา

จากที่กงซุนฉางเฟิงดูแล้ว หลินอิ่งสามารถหลบการโจมตีกะทันหันจากเขาได้ ก็ถือว่าเป็นคนมีฝีมือคนหนึ่ง แต่ก็เทียบกับคนอย่างเขาไม่ได้

“ถ้าพูดแบบนี้แล้ว ก็คงต้องเอาคุณไว้แล้ว” กงซุนฉางเฟิงพูดด้วยสายตาโหด “ไม่ว่าคุณจะเป็นใคร ครั้งที่แล้วที่มณฑลเกาหยางคุณกล้าไปหาเรื่องเจ้าบ้านรอง รนหาที่ตายเอง คุณไม่รู้หรอกว่าบ่อน้ำตระกูลกงซุนมันลึกแค่ไหน ไม่ว่าเบื้องหลังคุณจะเป็นใครก็ช่วยคุณไม่ได้แล้ว”

“ออ?” หลินอิ่งเริ่มรู้สึกสนใจ “ผมก็รู้สึกสนใจที่ไปที่มาของคุณ”

หลินอิ่งสามารถเดาออกว่า กงซุนฉางเฟิงคนนี้ก็มาเพราะเหตุการณ์ครั้งก่อนที่บ้านกงซุน น่าจะเป็นคนของอาสองของกงซุนชิวอวี่ ยังตามฆ่าตัวเองมาถึงเมืองตงไห่? เขาเองไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับเรื่องครอบครัวกงซุน ก็ไม่รู้ว่าเบื้องหลังใครต้องการทำอะไร แต่ถ้ามาเล่นงานเขา อย่างนี้ก็ต้องยุ่งเกี่ยวแล้ว

“ที่มาของผม? เหอะ” กงซุนฉางเฟิงหัวเราะเย็นชา “ถ้าคุณรู้อำนาจที่อยู่เบื้องหลังผม เกรงว่าคืนนี้คุณคงนอนไม่หลับแน่”

ไม่ได้พูดโอ้อวด กงซุนฉางเฟิงมีความยโสอยู่ นั่นเป็นเพราะอำนาจที่อยู่เบื้องหลังนั้นใหญ่โตน่าเกรงขาม อำนาจซ่อนเร้นนี้สามารถจัดเข้าสิบอันดับต้นในประเทศหลงได้

ต้องรู้ว่า อำนาจเบื้องหลังเขากล้าลงมือกับตระกูลกงซุนแห่งตี้จิง อยากร่วมมือกับกงซุนเฟยเทียนกลืนตำแหน่งระดับมหาเศรษฐีใหญ่แห่งประเทศหลุง

“พวกคุณส่งคนมาหาผมที่เมืองชิงหยูนทั้งหมดกี่คน?” หลินอิ่งถามด้วยสีหน้าเรียบเฉย

กงซุนฉางเฟิงพูดอย่างยโส “ผมมาคนเดียวก็พอแล้ว ลงมือเลย ผมจะดูว่าคุณมีฝีมือขนาดไหนกัน”

หลินอิ่งยิ้มแต่ไม่ตอบ จากนั้นก็ค่อยๆพูด “กับคุณ ผมไม่ต้องลงมือเอง”

พูดจบ หลินอิ่งก็ส่งสายตาให้ฮาเดส

รับนักสู้มีฝีมืออย่างฮาเดสมาแล้ว เขาก็ไม่ต้องลงมือเองแล้ว

สำหรับกงซุนฉางเฟิง หลินอิ่งคาดการณ์ว่าฝีมือดีกว่าฮาเดสก่อนหน้านี้

แต่ว่า ฮาเดสติดตามกับตัวเองมาสักพัก สืบทอดฝีมือการต่อสู้ของแก๊งมังกรให้เขา ฝีมือก็ดีขึ้น จัดการกงซุนฉางเฟิง ไม่ใช่ปัญหา

“ครับ ประธานหลิน”

ฮาเดสตอบอย่างเคารพ เดินจากด้านหลัง มองกงซุนฉางเฟิงด้วยสายตาเยือกเย็น

หลังแพ้การต่อสู้กับหลินอิ่งแล้ว ก็เข้าทำงานให้กับหลินอิ่งและได้รับวิชาการต่อสู้จากแก๊งมังกร ฮาเดสรู้สึกนับถือและเคารพในตัวหลินอิ่งมาก

ใครที่ไหนก็ไม่รู้มารนหาที่ตาย กล้ามาท้าทายประธานหลิน?

มีเขาฮาเดสอยู่ทั้งคน คนคนนี้ไม่มีโอกาสให้ประธานหลินได้ลงมือเองหรอก

“เหอะๆ ให้บอดี้การ์ดต่างชาติลงมือแบบนี้? คุณนี่มันอวดดีจริงๆ” สีหน้ากงซุนฉางเฟิงมองฮาเดสอย่างดูถูก แล้วส่ายหน้า

บอดี้การ์ดต่างชาติคนนี้ดูแล้วก็พอมีฝีมือ แต่ว่าอย่างมากก็แค่ระดับนักฆ่าต่างชาติ จะสู้กับคนที่เรียนวิชาการต่อสู้โบราณอย่างเขาได้ยังไง?

ฮวา!

เสี้ยววินาทีเดียว ร่างสูงใหญ่ของฮาเดสก็พุ่งเข้าไปอย่างสายฟ้าแลบ เร็วจนน่าตกใจ

กงซุนฉางเฟิงสีหน้าเปลี่ยนทันที รู้สึกกดดันทันที ยกมือขึ้นก็ใช้ฝ่ามือฟันไปสองครั้ง จนเกิดเสียงดัง ฮาเดสก็ยกมือขึ้นต่อยไปสองหมัด เสียงดังปัง เหมืองรถบรรทุกสองคันชนกัน เสียงดังก้องไปทั่ว

ทั้งสองคนชกกันไปมา การขยับตัวเร็วจนเป็นเงามองไม่ชัด แม้กระทั่งท่าทางการต่อสู้ก็ดูไม่ชัด เพี๊ยะพ๊าดดังกึกก้อง จนฝุ่นตลบ

ทุกครั้งที่ทั้งสองคนมือไม้กระทบกัน พื้นซีเมนต์ก็ยุบลงไปนิดหนึ่ง แรงของทั้งสองคนแรงจนน่ากลัว ดูเหมือนหุ่นยนต์สองตัวกำลังฆ่าฟันกัน

สามสี่นาทีผ่านไป ไม่รู้ว่าสู้กันไปกี่รอบ แรงการต่อสู้ของทั้งสองคนเท่าเทียมกัน สู้กันไม่รู้แพ้รู้ชนะ ดึงตัวออกห่างกะทันหัน

เห็นกงซุนฉางเฟิงสะบัดมือก็หยิบมีดออกมาจากแขนเสื้อ อย่างมืออาชีพ แทงเข้าไปที่อกของฮาเดส เหมือนงูพิษที่พุ่งเข้าไปกัดคน เร็วเหมือนสายฟ้าแลบ

ฮาเดสยื่นมือไปด้วยสีหน้าปกติ ดูเหมือนช้าแต่ก็เร็วอย่างสายฟ้า จับใบมีดไว้ เสียงอิ๊ด มีดสั้นหักเป็นสองท่อน จากนั้นก็กางนิ้วออกจับคอของฝั่งตรงข้ามไว้ กงซุนฉางเฟิงก็เร็วเหมือนกัน มีดหักแล้วก็ย่อตัวลงแล้วยกเท้าขึ้น ถีบไปที่เข่าของฮาเดส จนเหมือนมีเสียงระเบิดกลางอากาศ

กงซุนฉางเฟิงเปลี่ยนท่าอย่างประหลาด ใช้แรงสุดเหวี่ยง แรงถีบแบบนี้ถีบรถคันหนึ่งแบนได้อย่างง่ายดาย ถ้าเป็นคนธรรมดาทั่วไปถีบจนตายได้อย่างง่ายดาย

ฮาเดสก็ยิ้มมุมปาก เหมือนเดาท่าทางกงซุนฉางเฟิงถูก จึงใช้แรงที่เอว ยกเข่าขึ้น ชนเข้าไปที่ขาของกงซุนฉางเฟิง

เสียงดังตั๊ก กระดูกขาของกงซุนฉางเฟิงแตกทันที สีหน้าตกใจ ได้รับแรงกระแทกอย่างหนัก ต้องกระเด็นไปไกลหลายสิบเมตร ล้มลงไปกับพื้นอย่างทรหด

“อ๊าก”

กงซุนฉางเฟิงกระอักเลือดออกมา เงยหน้ามองฮาเดส สีหน้าไม่อยากเชื่อ เหมือนกำลังมองสัตว์ประหลาดอะไรสักอย่าง

“เป็นไปได้ไง…..คนฝีมือระดับนี้ยอมเป็นแค่บอดี้การ์ด? นาย นายเป็นใครมาจากไหน?” กงซุนฉางเฟิงจ้องหลินอิ่งตาไม่กะพริบ ในสายตานั้นมีความระวัง

ในสายตาเขาเวลานี้ หลินอิ่งเป็นคนลึกลับยากแก่การคาดเดา

ผู้ชายคนนี้มีฝีมืออะไร ถึงทำให้คนระดับฮาเดส ยอมเป็นบอดี้การ์ดให้เขาได้?

จากการประลองฝีมือแล้ว ทำให้กงซุนฉางเฟิงตะลึงจนยากที่จะอธิบาย คนต่างชาติคนนี้ฝีมือดีจนคาดไม่ถึง ไม่ว่าจะเป็นพลังหรือความเร็ว ล้วนเกินขีดจำกัดของคนธรรมดา ไม่ใช่บอดี้การ์ดที่ฝึกมาจากบริษัททั่วไปแน่นอน เก่งกว่าทหารหรือหน่วยรบพิเศษพวกนั้นเยอะมาก

ที่น่ากลัวที่สุด คนต่างชาติคนนี้กลับรับมือเขาได้ เพราะว่า ในต่างประเทศมีสถานที่ฝึกวิชาต่อสู้โบราณไม่มาก นี่หมายความว่า เป็นไปได้ว่าหลินอิ่งถ่ายทอดวิชาต่อสู้ให้บอดี้การ์ดเขา

ทำให้รู้ว่า ความสามารถของเขากับหลินอิ่งต่างกันแค่ไหน

“หลินอิ่ง คุณมาจากสำนักไหนกันแน่? ทำไมผมไม่เคยได้ยินมาก่อน?” กงซุนฉางเฟิงถามด้วยสีหน้าสงสัย

ก่อนหน้านี้ยังคิดว่าสามารถจัดการหลินอิ่งได้ แต่วันนี้ดูแล้ว เรื่องราวดูเหมือนไม่ได้ง่ายขนาดนั้น เขาจัดการไม่ได้แม้แต่บอดี้การ์ดของหลินอิ่ง

คนแข็งแกร่งอย่างหลินอิ่ง ทำไมในแวดวงกลุ่มกองกำลังลึกลับทำไมถึงไม่มีชื่อเสียงเลย? เขาไม่เคยได้ยินชื่อของเขาเลย?

กงซุนฉางเฟิงมุมปากหดหู่ เขาฝึกการต่อสู้มาทั้งชีวิต แทบไม่เคยเจอคู่ต่อสู้เลย ในวงการการต่อสู้เขาถือว่าเป็นคนฝีมือระดับดีมาก ไม่อย่างนั้นคงไม่ถูกเจ้าบ้านรองแห่งตระกูลกงซุนรับมาเป็นนักฆ่ามือทอง แต่วันนี้มาเจอสองคนตรงหน้านี้ ล้วนเป็นอสูรร้ายทั้งสอง

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท