ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 234 เทเหล้าให้เต็ม

บทที่ 234 เทเหล้าให้เต็ม

บทที่ 234 เทเหล้าให้เต็ม

สีหน้าหลินอิ่งไม่เปลี่ยน ดื่มชาไปคำหนึ่ง พูดอย่างเรียบเฉย “คริส คุณไม่ได้พูดกับพวกเขาให้ชัดเจนเหรอ?”

“แกรู้จัดท่านคริส?” ซูนเฉียงสีหน้าตกใจ มองหลินอิ่งอย่างไม่น่าเชื่อ เขาคิดไม่ถึง ลูกเขยไร้น้ำยาอย่างหลินอิ่งจะรู้จักคริสได้?

“หลินอิ่ง แกไอ้ไร้น้ำยาไม่รู้ที่ต่ำที่สูง ถึงแกจะรู้จักคุณคริส ท่านเรียกแกมาร่วมงานด้วย ก็ถือว่าเป็นบุญอันใหญ่หลวงแล้ว แกนึกว่าแกเป็นใคร?” ซูนเฉียงพูดจาสั่งสอนขึ้นมา “เห็นคุณคริสมาแล้ว ยังไม่ลุกขึ้นมาทักทายอีก? ท่านอยู่นี่แล้ว แกยังกล้านั่งที่ของท่านอีก?”

เท่าที่ซูนเฉียงคิด ไอ้ไร้น้ำยาอย่างหลินอิ่งก็ไม่รู้โชคดีอะไร ฐานะอย่างขยะแบบนี้ ตอนนี้ยังเกาะคุณคริสได้ แต่เสียดายก็ยังไร้น้ำยาอยู่ดี ไม่มีความคิดเอาเสียเลย เห็นคุณคริสแล้ว ยังกล้านั่งอยู่ตรงนั้นอีก?

“ท่าน หลินอิ่งคนนี้ผมรู้จัก ในเมืองชิงหยูนชื่อเสียงเลื่องลือว่าเป็นลูกเขยไร้น้ำยา ไม่รู้ว่ามันไปรู้จักท่านได้ยังไง ความเป็นจริงแล้วก็เป็นแค่คนไร้ประโยชน์” ซูนเฉียงสีหน้าเย้ยหยัน พูดกับคริสขึ้นมา “ท่านอาจจะไม่ค่อยรู้จักนายคนนี้ พาคนแบบนี้ ทำลายชื่อเสียงฐานะท่านเปล่าๆ”

คริสเริ่มหน้าแข็ง คิ้วกระตุก เขาคิดไม่ถึงว่าซูนเฉียงจะกล้าพูดจาเหยียดหยามประธานหลิน รนหาที่ตายจริงๆ

เขากำลังโมโหเตรียมจะด่าซูนเฉียง แต่เห็นว่าประธานหลินกำลังดื่มชาอย่างสบายใจ จึงไม่กล้ารบกวนประธานหลิน

ประธานหลินไม่แสดงอาการ เพิ่มความกล้าให้เขาร้อยเท่า ก็ไม่กล้าอารมณ์เสียต่อหน้าเขา

“ท่าน สั่งสอนคนชั้นต่ำแบบนี้ไม่สะดวก ผมทำแทนท่านเอง” ซูนเฉียงไม่ได้สังเกตเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปของคริสเลย มองไปที่หลินอิ่งอย่างเหยียดหยาม “ไอ้ไร้น้ำยาแกปัญญาอ่อนเหรอ? ยังไม่ลุกขึ้นให้คุณคริสนั่งอีก? ยืนไปด้านข้างยกน้ำชาให้พวกเรา ที่นี่ แกไม่มีสิทธิ์นั่ง”

ซูนเฉียงโมโหใส่หลินอิ่ง นี่เป็นสถานที่ที่คริสจะแนะนำคนใหญ่โตให้เขารู้จัก คนไร้น้ำยาแบบนี้เข้ามาได้ยังไง ยังไปนั่งตำแหน่งประธาน รนหาที่ตายจริงๆ

หลินอิ่งหัวเราะเย็นชา มองไปที่คริส

คริสรู้สึกใจหวิว เขาจ้องซูนเฉียงอย่างโมโห

“ใช่แล้ว ท่านบอกว่าจะพาผมมาเจอคนใหญ่โตท่านหนึ่ง ตอนนี้เราควรจัดการสถานที่ให้เรียบร้อย รอท่านนั้นเข้ามา?” ซูนเฉียงพูดอย่างระมัดระวัง

“ใช่แล้ว ท่าน ท่านมาคุยเรื่องสำคัญ พวกเราจะให้ไอ้ไร้น้ำยานี่มาบ่อนทำลายไม่ได้” หลุยส์ก็พูดตาม

คริสสีหน้าไม่ดี ซูนเฉียงสองคนนี้ช่างโง่จนมองคนไม่ออก พระอยู่ตรงหน้าแล้วยังไม่รู้จักไหว้อีก

คริสพูดเสียงต่ำ “คนใหญ่คนโตที่ฉันจะแนะนำให้พวกเธอรู้จัก นั่งประจำที่แล้ว พวกเธอสองคนนั่งลง”

“หา?” ซูนเฉียงสีหน้าตกใจ หัวใจเต้นเร็ว ถามอย่างสงสัย “ท่าน คนที่ท่านบอกก่อนหน้านี้ คือเขาเหรอ?”

หลุยส์ก็สีหน้าตกใจ มองหลินอิ่งอีกครั้ง แล้วรีบหันกลับมามองคริส “ท่าน ท่านไม่ได้ล้อพวกเราเล่นใช่ไหม?”

นี่มันสถานการณ์อะไร? คนใหญ่โตที่ท่านคริสจะแนะนำให้พวกเขารู้จัก คือไอ้ไร้น้ำยาหลินอิ่ง? เป็นไปได้ยังไง?

คราวนี้ ซูนเฉียงกับหลุยส์รู้สึกตกใจ หัวใจเต้นแรงเหมือนจะกระเด็นออกมา?

ถ้าไม่ใช่เพราะคริสพูดออกจากปากตัวเอง ตีเขาสองคนให้ตายก็ไม่เชื่อ ไอ้ไร้น้ำยาหลินอิ่งที่ใครก็รู้จัก ทำไมถึงกลายเป็นที่พึ่งของประธานบริษัทข้ามชาติใหญ่โตอย่างคริสได้?

ทันใดนั้น สมองของทั้งสองคนรู้สึกมึนงงไปหมด ไม่อยากเชื่อ

ส่วนคริสก็เข้านั่งที่ตำแหน่งรองประธาน เอ่ยปากพูด “พวกโง่ทั้งสองคน ยังไม่รีบนั่งลงขอโทษอีก อยากตายหรือไง?”

“หา ได้ครับ ได้ครับ นั่งลงนั่งลง” ซูนเฉียงตกใจขวัญเสีย นั่งลงตัวสั่น สภาพใจไม่อยู่กับตัว

ส่วนหลุยส์ก็สีหน้าไม่ดี ยื่นมือไปหยิบตะเกียบเพื่อปิดปังความตกใจของตัวเอง แต่พบว่ามือที่จับตะเกียบสั่นจนควบคุมไม่ได้

ทั้งสองคนตกใจสุดขีด

น่ากลัวจริงๆ หลินอิ่งปิดปังฐานะตัวเองเป็นคนใหญ่โตที่ไม่ธรรมดา

แค่คิดถึงคำพูดที่ดูถูกหลินอิ่งเมื่อครู่ อนาคตข้างหน้าคงได้อยู่ยากแน่?

“หลิน ประธานหลิน ขอโทษครับ เรื่องก่อนหน้านี้เป็นเพียงเรื่องเข้าใจผิด” ซูนเฉียงพูดประจบ “ประธานหลินผู้ใหญ่อย่าถือสาผู้น้อย อย่ากล่าวโทษพวกเราเลย พวกเราสมควรตาย”

เพี๊ยะดังสองครั้ง ซูนเฉียงตบหน้าตัวเองสองครั้ง รีบยิ้มอย่างประจบประแจง

หลุยส์ก็รีบทำตาม ตบหน้าตัวเองสองครั้งตามซูนเฉียง รีบประจบอย่างดีกับหลินอิ่งไม่หยุด

ไม่ต้องพูดว่าหลินอิ่งมีอำนาจมากมายแค่ไหน ลำพังแค่คริส เพียงคำเดียวก็ทำให้พวกเขาล้มละลายได้ ชะตาชีวิตพลิกผัน

ตอนนี้พวกเขาสองคนเสียใจจนไส้พันกันหมดแล้ว รู้สึกอยากตายมาก ไม่รู้ว่าถ้าหลินอิ่งโกรธขึ้นมา จะทำอะไรน่ากลัวกับพวกเขาสองคน

คริสที่อยู่ข้างๆก็รู้สึกไม่สบายใจ ไม่กล้าพูดอะไรเลย เพราะเขาเองก็ทำตัวไม่ถูก คิดไม่ถึงว่าไอ้โง่สองคนนี้จะกล้าทำให้ประธานหลินขุ่นเคืองได้ ฉะนั้นถึงได้เชิญมาที่นี่

หลินอิ่งสีหน้าไม่เปลี่ยน ไม่ได้สนใจคำขอโทษของซูนเฉียงสองคน ว่างแก้วน้ำชาลง ชี้ไปที่ถ้วยใหญ่สองใบบนโต๊ะ พูดเย็นชา “เทเหล้าให้เต็ม”

“เทเต็ม?” ซูนเฉียงมองไปที่ถ้วยใหญ่บนโต๊ะ บีบรอยยิ้มออกมาด้วยความฝืน

นั่นมันถ้วยใส่อาหาร ถ้วยใบหนึ่งสามารถจุเหล้าได้ครึ่งลิตร แค่มองก็น่ากลัวแล้ว

นี่ทำให้ซูนเฉียงกับหลุยส์คิดได้ วันนี้ที่อาคารจางซื่อ คำพูดของหลินอิ่ง บอกว่าจะให้พวกเขาดื่มเหล้าจนพอ……

แค่คิดถึงตรงนี้ ซูนเฉียงกับหลุยส์ก็รู้สึกเกลียดจางหงจูนสองพี่น้องในใจอย่างที่สุด ไอ้โง่สองคนนี้ รนหาที่ตายไปหาเรื่องครอบครัวประธานหลิน มอมเหล้าพ่อตาประธานหลินจนเมาเละเทะ แต่ทำให้เขาสองคนต้องซวยด้วย

“ได้ครับ ประธานหลิน ท่านให้เราสองคนดื่มเหล้า ให้หน้าพวกเราแบบนี้ พวกเราต้องเทจนเต็มแน่” ซูนเฉียงบีบรอยยิ้มพูด หยิบเหล้าขาวห้าสิบดีกรีที่วางบนโต๊ะขึ้น เทลงถ้วยจนเต็ม

“ครับ ขอบคุณประหลินให้เหล้า”หลุยส์ก็พูดด้วยรอยยิ้ม เทเหล้าขาวจนเต็มถ้วย

เหล้าครึ่งลิตร เทจนหมดขวดก็ยังไม่เต็มถ้วย ทั้งสองคนต่างมองเหล้าในถ้วยตัวเอง สีหน้าขมขื่นที่สุด แต่ก็ไม่กล้าที่จะไม่ดื่ม ถ้าไม่ดื่มไม่ได้

หลินอิ่งสีหน้าไม่เปลี่ยน นั่งไม่พูดอะไร ซูนเฉียงยกถ้วยลุกขึ้นอย่างเกรงใจเคารพ

“ประธานหลิน วันนี้ผมผิดไปแล้ว หวังว่าท่านจะไม่ถือสา เหล้าถ้วยนี้ ผมดื่มหมดถ้วย”

พูดจบ ซูนเฉียงกับหลุยส์ต่างหลับตาแน่น เงยหน้าดื่มไม่หยุด จนเหล้าขาวในถ้วยจนหมดอย่างลำบาก ไม่เหลือแม้แต่หยดเดียว จากนั้น ทั้งสองก็นั่งลงในที่ตัวเอง สายตาก็เริ่มมึนมองไม่ค่อยชัด ในกระเพาะก็เหมือนมีคลื่นซัดไปมา จากนั้นก็อยากอาเจียนออกมา แต่ก็ไม่กล้า

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท