ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 232 ไปพบผู้มีอำนาจคนหนึ่งกับฉัน

บทที่ 232 ไปพบผู้มีอำนาจคนหนึ่งกับฉัน

บทที่ 232 ไปพบผู้มีอำนาจคนหนึ่งกับฉัน

คุยโทรศัพท์กับคริสเสร็จแล้ว หลินอิ่งวางโทรศัพท์ลง มองไปที่พวกจางหงจูน พูดเย็นชา “อะไรที่ควรพูดผมก็พูดแล้ว อยากได้ป้ายชื่อจางซื่อก็เอาไปเลย”

ชื่อบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ เติบโตมือชื่อเสียงได้เพราะฉีโม่ คนตระกูลจางอยากเอาไป ก็เอาไปเลย อนาคตจะเสียใจก็ไม่ทันแล้ว

“แกเป็นใคร? คำพูดฉันไม่ได้ยินหรือไง? หรือว่ากล้าไม่เห็นฉันในสายตา?” ซูนเฉียงชี้หน้าด่าหลินอิ่ง สีหน้าโมโห

“แกมันไอ้ลูกเขยไร้น้ำยา ใครให้สิทธิ์แกมาตัดสินอะไรที่นี่?” จางหงจูนหัวเราะดูถูก สีหน้าดูถูก มองไปที่ครอบครัวจางฉีโม่ “นี่เป็นความหมายของครอบครัวเธอใช่ไหม? ถ้าอย่างนั้น ก็อย่ามาว่าพวกเราไม่ไว้หน้าละกัน ถึงเวลาพวกเธอจะไม่มีหนทาง”

“ไม่อยากรับโอกาสไว้เอง ยังกล้ามาพูดแบบนี้ ถ้าอย่างนั้นพวกเราจะไม่ให้โอกาสครอบครัวเธออีก มาขอร้องพวกเราก็ไม่มีประโยชน์” จางหงซวนหัวเราะพูดอย่างเย็นชา

เท่าที่พวกเขาสองคนดูแล้ว หลินอิ่งความพินาศมาเยือนแล้วยังไม่รู้ตัว ประธานกงซุนมาจัดการเขาเองถึงเมืองชิงหยูนแล้ว เขายังคิดว่าตัวเองมีความสามารถแค่ไหน ในสถานการณ์แบบนี้ยังกล้าอวดดี

“นี่ หลินอิ่ง แกมาวุ่นวายอะไร? เรื่องในบริษัทแกมีสิทธิ์อะไรมาตัดสิน?” ลู่หย่าฮุ่ยต่อว่าขึ้นมา ไม่พอใจหลินอิ่งมาก

“พี่ใหญ่ พี่สาม อย่าไปฟังหลินอิ่งพูดไปเลื่อย เรื่องนี้ยังคุยกันได้” ลู่หย่าฮุ่ยรีบพูดขอร้องกับจางหงจูน

สำหรับเธอแล้ว ถ้าเสียชื่อของบริษัทจางซื่อไป มันก็เหมือนฟ้าถล่มลงมา พวกเขาแบกรับไม่ไหว

“คุยได้? ถ้าอยากคุยก็ได้ พวกเธอรับให้ไอ้ลูกเขยไร้น้ำยาคนนี้กราบขอโทษพวกเราเดี๋ยวนี้ แล้วก็ขอโทษประธานสองท่านด้วย” จางหงจูนพูดเสียงเย็นชา “สถานการณ์อะไรก็แยกแยะไม่ออก ยังกล้าพูดไปเรื่อยอีก คิดว่าพวกเราทำอะไรเขาไม่ได้หรือไง? ทำอะไรครอบครัวพวกเธอไม่ได้หรือไง?”

หลินอิ่งส่ายหัว ไม่อยากสนใจอีกาเหล่านี้แล้ว มองไปที่ฉีโม่ พูดว่า “พวกเราไปเถอะ ไม่มีอะไรต้องคุยกับพวกเขาแล้ว”

“อืม” จางฉีโม่พยักหน้า เห็นด้วยอย่างยิ่ง

พูดจบ หลินอิ่งหันหลังเดินจากไป จางฉีโม่เดินตาม

“ครอบครัวพวกเธอทำอะไรกัน? ไม่เห็นประธานสองท่านอยู่ในสายตาเหรอ?” จางหงจูนพูดด้วยสีหน้าไม่พอใจ จ้องหน้าลู่หย่าฮุ่ยสองผัวเมีย

“ไม่ พี่ใหญ่ อย่าเข้าใจผิด ครอบครัวเราไม่ได้คิดแบบนั้น นี่มันไอ้โง่หลินอิ่งคิดเอง มันไม่ใช่ตัวแทนครอบครัวเรา มีปัญหาอะไรก็ไปหามัน” ลู่หย่าฮุ่ยรีบพูด “เขาไม่มีความสัมพันธ์อะไรกับครอบครัวเราแล้ว ฉีโม่ถูกมันหลอกลวง เดี๋ยวฉันจะไปคุยกับลูกเอง เรื่องนี้ เราค่อยมาคุยกันดีๆ”

“ใช่ พี่ใหญ่ สำหรับเรื่องชื่อบริษัทจางซื่อ ครอบครัวเราจริงใจอย่างยิ่ง” จางซิ่วเฟิงพูดสีหน้าจริงจัง “พี่ใหญ่ รอผมเจรจากับฉีโม่ดีแล้ว ค่อยโทรหาพี่ ค่อยเชิญพวกพี่ออกมากินข้าวคุยกันอีกที”

“ไม่จำเป็นแล้ว โอกาสเคยให้ครอบครัวพวกเธอแล้ว แต่พวกเธอมันไม่รักษาโอกาสเอง” จางหงจูนพูดด้วยน้ำเสียงมีเชิงกว่า โบกมือไปมา “ครอบครัวพวกเธอรอขายหน้าในเมืองชิงหยูนก็พอ อย่างอื่นฉันไม่พูดมากแล้ว มาขอร้องฉันก็ไม่มีประโยชน์แล้ว ส่งแขก”

ได้ยินคำพูดพวกนี้แล้ว ลู่หย่าฮุ่ยผัวเมียสีหน้าไม่ดี ยังอยากพูดขอร้องอะไรอีก แต่กลับโดนพนักงานรักษาความปลอดภัยไล่ออกจากร้าน

“เชอะ น้องหงจูน เดี๋ยวเอาข้อมูลของไอ้ไร้น้ำยาหลินอิ่งมาให้ฉัน ฉันจะหาคนไปจัดการมัน กล้ามาอวดดีต่อหน้าฉัน” ซูนเฉียงพูดเสียงเย็นชา ตั้งใจจะหาคนไปจัดการหลินอิ่งที่ไม่รู้ที่ต่ำที่สูง

“ผมมาประเทศหลุงตั้งนาน ยังไม่เคยเจอใครกล้าอวดดีต่อหน้าผมแบบนี้ ต้องจัดการมันให้หนักเลย” นายหลุยส์พูดด้วยความไม่พอใจ “ได้ยินว่าเป็นไอ้ไร้น้ำยา ช่างกล้าอวดดี”

ติ๊ด ติ๊ด ติ๊ด

เวลาเดียวกัน มือถือซูนเฉียงดังขึ้น เขาสีหน้าดีใจ รับโทรศัพท์อย่างยิ้มแย้ม

“ครับ ครับ ได้ครับ ได้ครับ” ซูนเฉียงรับโทรศัพท์ พยักหน้าไม่หยุด ท่าทางยิ้มแย้มดีใจ

“น้องหงจูน งานเปิดบริษัทฉันไม่อยู่แล้วนะ ตอนนี้มีธุระต้องไปทำ” ซูนเฉียงพูดด้วยรอยยิ้ม

“ประธานซูน เรื่องอะไร? รีบร้อนขนาดนี้?” จางหงจูนถาม

“ฮาฮา ฉันกับคุณหลุยส์จะไปพบคนมีอำนาจคนหนึ่ง ไว้ค่อยคุยกัน” ซูนเฉียงพูดด้วยรอยยิ้ม เหมือนถูกรางวัล อารมณ์ดีมาก

“ได้ ประธานซูน คุณหลุยส์ ไว้เจอกันใหม่ ผมไปส่ง” จางหงจูนยิ้มแย้ม ลุกขึ้นส่งซูนเฉียงและนายหลุยส์ออกจากงาน

เมื่อทั้งสองจากไปแล้ว จางหงจูนกับจางหงซวนสบตากันยิ้ม ใบหน้ามีรอยยิ้มอย่างได้ใจ

“ไอ้ลูกเขยไร้น้ำยาหลินอิ่ง กล้าทำให้ประธานซูนกับคุณหลุยส์โกรธ คอยดูสักวันมันตายแน่” จางหงจูนพูดอย่างเย็นชา

“ก็ใช่ไง ดูท่าทางมัน ไปถึงไหนก็สร้างแต่ศัตรู ฉันว่า พวกเราไม่ต้องลงมือเลย มีคนมากมายที่อยากเหยียบมันตาย” จางหงซวนพูดเย็นชา “พวกเราแค่เอาชื่อบริษัทเครื่องประดับจางซื่อมา คอยดูว่าครอบครัวจางฉีโม่จะยืนอยู่ในเมืองชิงหยูนยังไง ครั้งนี้ต้องตีให้ครอบครัวมันกลับไปสภาพเดิม ก็เป็นแค่ครอบครัวที่รวยกะทันหันเท่านั้น”

พูดไป ทั้งสองก็หัวเราะเสียงดังขึ้นมา

พวกเขาหมั่นไส้ครอบครัวจางฉีโม่อยู่แล้ว มีสิทธิ์อะไรได้ขึ้นไปอยู่ที่สูง อยู่ดีกว่าครอบครัวพวกเขา?

อีกอย่างยังนั่งตำแหน่งประธานบริษัทอีก มีสิทธิ์อะไร?

ครั้งนี้ ไม่มีชื่อบริษัทจางซื่อแล้ว และไม่มีเงินทุนคอยสนับสนุน ดูว่าครอบครัวเธอจะเล่นอะไรได้อีก

อีกด้านหนึ่ง ซูนเฉียงกับหลุยส์นั่งอยู่บนรถสีดำ คนขับรถขับรถออกจากลานจอด พวกเขานั่งอยู่ข้างหลังสีหน้าสบายใจ

“คุณหลุยส์ ข่าวดีนะเนี่ย เมื่อครู่คุณคริสโทรหาผม” ซูนเฉียงพูดอย่างได้ใจ “ท่านบอกว่าจะพาผมไปพบผู้มีอำนาจท่านหนึ่ง ดูแล้ว คงจะให้โอกาสใหญ่กับพวกเราแน่”

ได้พึ่งพาต้นไม้ใหญ่อย่างคริสแล้ว ซูนเฉียงก็รู้สึกพอใจมาก ฐานะในตระกูลซูนต้องเติบโตขึ้นอีกแน่นอน แม้กระทั่งความอับอายที่ลูกชายซูนเหิงสร้างไว้ก็หายไปทันที ถ้าได้ความช่วยเหลือจากคุณคริสแล้ว ถึงตอนนั้นแม้แต่คุณปูที่บ้าน ก็ต้องไว้หน้าเขาพอสมควร

“ฮาฮา แสดงความยินดีด้วย ประธานซูน ถ้าได้รับการสนับสนุนจากผู้ใหญ่อย่างคุณคริส อนาคตของคุณก้าวไกลแน่” หลุยส์พูดด้วยสายตาอิจฉา สีหน้าก็มีความดีใจด้วย

เป็นรองประธานลาตินกรุ๊ปอย่างหลุยส์ ก็แค่เคยเจอหน้าคุณคริส ฐานะหน้าที่เขายังไม่มีสิทธิ์พอที่จะได้คุยกับเขา

นั่นมันผู้ใหญ่ที่มีอำนาจจริงๆ ได้รับโอกาสจากคนใหญ่โตอย่างคริสถือว่าเป็นบุญมากแล้ว แค่คิดไม่ถึง ยังได้มีโอกาสแนะนำให้เจอคนใหญ่โตอีก

ขนาดคนใหญ่โตอย่างคุณคริสเรียกว่าคนใหญ่โตอีก แค่คิดก็รู้ได้ว่า ต้องเป็นคนที่มีอำนาจเงินทองมหาศาลแน่นอน

พวกเขาสองคนรู้สึกว่า ได้มีโอกาสพบเจอกับคนใหญ่โตระดับนี้ ก็เหมือนได้รับของขวัญตกจากท้องฟ้า อนาคตต้องเจริญแน่

คิดแค่นี้ ทั้งสองก็ดีใจจนอธิบายไม่ถูกแล้ว รอไม่ไหวที่จะได้เจอกับคนใหญ่โตที่คริสจะแนะนำแล้ว

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท