ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 235 โจมตี

บทที่ 235 โจมตี

บทที่ 235 โจมตี

“ประธานหลิน ท่านอภัยให้พวกเราเถอะครับ” ซูนเฉียงพูดขอร้อง สีหน้าหม่นหมอง ร่างกายเหมือนถูกแอลกอฮอล์เผา รู้สึกไม่สบายตัว

“ประธานหลิน ผมผิดไปแล้ว ถ้าท่านยอมให้โอกาสผมสักครั้ง ผมจะจัดการจางหงจูนสองพี่น้องให้ตายแน่ เป็นความคิดของสองพี่น้องทั้งนั้น” หลุยส์พูดอย่างมึนเมา ขอร้องอย่างน่าสงสาร

พวกเขาสองคนก็ถือว่าเคยผ่านงานเลี้ยงสังสรรค์กินเหล้าเจรจาธุรกิจมามากมาย ดื่มเหล้าก็สู้คนทั่วไปได้ แต่นี่มันเหล้าขาวทั้งขวด ก็ไม่ไหวเหมือนกัน

ในใจทั้งสองก็รู้สึกหดหู่ ไม่รู้ว่านานแค่ไหนแล้วที่ไม่ได้ดื่มเหล้าเคารพคนอื่น จากฐานะพวกเขาแล้ว ในงานดื่มเหล้า มีแต่คนเข้าแถวมาดื่มเคารพพวกเขา ไม่เคยอยู่ในสภาพทรหดขนาดนี้มาก่อน ยังต้องขอร้องคนอื่นหลังดื่มเหล้าขาวไปทั้งขวด

หลินอิ่งยังคงไม่แสดงกิริยาอะไร สีหน้าเฉยชานั่งอยู่กับที่ ยื่นมือที่ด้านข้างที่ฮาเดสยืนอยู่

ฮาเดสหยิบเหล้าขาวห้าสิบดีกรีหนึ่งลังขึ้นมาจากพื้น หยิบออกมาหนึ่งขวด เปิดฝา ยื่นให้หลินอิ่ง

หลินอิ่งถือขวดไว้สีหน้าเฉยชา เทเหล้าขาวลงในถ้วยที่ถูกดื่มจนหมด และเทใหม่จนเต็ม

“ประธานหลิน นี่ นี่มัน……” ซูนเฉียงพูดติดอ่างขึ้นมา มองหลินอิ่งที่กำลังเทเหล้าอย่างตกใจ อย่าพูดปฏิเสธ แต่ก็ไม่กล้า

“นี่อะไร? ปัญญาอ่อนสองคน อะไรกัน? ประธานหลินเทเหล้าให้พวกแก พวกแกยังกล้าพูดอีก? ต้องดื่ม กล้าเหลือสักหยดพวกแกได้พิการแน่ ยังกล้าพูดมากอีก?” คริสด่าซูนเฉียงกับหลุยส์ยาวเป็นท่อน ด่าจนทั้งสองคนพยักหน้าอย่างเกรงกลัว

“ประธานหลิน ผมควรตาย เหล้านี้ผมควรดื่ม ดื่มเคารพท่านครับ” ซูนเฉียงฝืนพูด ลุกขึ้นยกถ้วยที่หลินอิ่งเทจนเต็มอย่างเคารพ แล้วดื่มจนหมดถ้วย

แต่ว่า รอบนี้ซูนเฉียงกับหลุยส์ดื่มช้ามาก เหมือนดื่มยาพิษ ดื่มไม่ลง เหมือนบังคับกรอกลงไป

ทั้งสองคนดื่มไม่ลง แต่ก็ไม่กล้าเอาถ้วยออกจากปาก เนื้อตัวสั่นไม่หยุด ได้แต่ฝืนดื่มลงไป ไม่อย่างนั้นผลลัพธ์ไม่อาจคาดคิด

พวกเขาถือว่าได้รับรู้แล้ว ความรู้สึกของพ่อตาประธานหลินที่ถูกบังคับให้ดื่มเหล้า ว่าเขารู้สึกยังไง

ผ่านไปประมาณสามสี่นาที ทั้งสองคนก็วางถ้วยลงอย่างสะเปะสะปะ นั่งลงที่ตัวเอง เหล้าไหลออกจากมุมปาก ทรมานอย่างบอกไม่ถูก แต่ก็ต้องฝืนยิ้ม

“ประธานหลิน ท่านว่า……” ซูนเฉียงยิ้มพูดขอร้อง คำพูดยังพูดไม่ถึงครึ่ง ใบหน้าก็แข็ง

ฮาเดสเปิดเหล้าขาวอีกสองขวดยื่นมา หลินอิ่งหัวเราะเย็นชา รับเหล้าขาวมา

“ประธานหลิน ดื่มไม่ได้แล้วจริงๆ ผม พวกเราดื่มไม่ได้แล้ว ขอพักก่อนนะครับ” ซูนเฉียงขอร้องอย่างน่าสงสาร ท่าทางเหมือนจะร้องไห้ออกมา

“ประธานหลิน ขอร้อง เหล้าที่ท่านเทให้พวกเราต้องดื่มให้หมดแน่ แต่ตอนนี้ดื่มไม่ลงแล้วจริงๆ ปล่อยพวกเราไปเถอะ ผมรู้ว่าผิดไปแล้ว” หลุยส์ขอร้องด้วยเสียงหอบ

เหล้าขาวหนึ่งลิตรลงท้อง ก็เกือบจะเอาชีวิตเขาทั้งสองคนแล้ว ความรู้สึกนี้ไม่ใช่คนที่จะทนรับได้ ถ้าดื่มต่อ ต้องส่งโรงพยาบาลแน่

“วันนี้ประธานหลินเทเท่าไหร่ พวกแกสองคนก็ต้องดื่ม พูดมากอีก ฉันจะหาจนทำให้แกสองคนล่มจมแน่” คริสพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา

เท่าที่คริสดูแล้ว ประธานหลินถือว่าเหลือหนทางให้ซูนเฉียงกับหลุยส์แล้ว ถ้าหากประธานหลินให้เขาจัดการสองคนนี้ แค่คำพูดที่เขาสองคนพูดต่อประธานหลินเมื่อครู่ ก็ต้องโยนพวกเขาลงทะเลแล้ว

“ไม่ ไม่ครับ คุณคริส ประธานหลิน ผม ผมยังดื่มได้ ดื่มต่อได้” ซูนเฉียงพูดอ้ำๆอึ้งๆ ตกใจจนหน้าซีด รีบยกถ้วยขึ้นดื่มอย่างสุนัข

กรอกเหล้าที่ขมมากลงไป ระหว่างกึ่งเมากึ่งตื่น ซูนเฉียงกับหลุยส์ด่าจางหงจูนจางหงซวนในใจไปหนึ่งรอบ คิดว่าถ้ากลับไปแล้วต้องจัดการไอ้โง่สองคนนั้นแน่ ทำให้พวกเขาต้องมาเดือดร้อน

เหล้าขาวถ้วยที่สามดื่มไปครึ่งถ้วย ซูนเฉียงก็ล้มลงไปกับพื้น เหล้าไหลออกมาจากมุมปาก น้ำตาก็ไหลลงมา ปากก็พูดจาพึมพำ เมาจนจำอะไรไม่ได้แล้ว

หลุยส์ก็ไม่ไหวเช่นกัน ใบหน้าแดงก่ำ ร่างอ้วนพุงป่องขึ้น ล้มกลิ้งลงไปกับพื้น ร้องเสียงดัง

หลินอิ่งค่อยๆลุกขึ้น มองไปที่คริส พูดเสียงเรียบ “คุณจัดการต่อเลย ผมไปก่อนแล้ว”

“ครับ ประธานหลิน” คริสพยักหน้า ส่งหลินอิ่งออกจากห้องรับรองอย่างเคารพ

หันกลับมา คริสมองสองคนที่นอนกลิ้งอยู่กับพื้นอย่างน่าเกลียด ยิ้มมุมปากอย่างเย็นชา ดูสภาพของซูนเฉียงกับหลุยส์แล้ว คงต้องส่งเข้าโรงพยาบาลไปรักษาสักครึ่งเดือน

เดินออกจากร้านอาหาร หลินอิ่งเดินนำฮาเดส ไปที่ลานจอดรถ

ตอนที่หลินอิ่งเดินไปถึงทางแยก หนุ่มชุดดำเดินผ่านไป ทันใดนั้น หมัดก็ชกมากะทันหัน เสียงดังปัง

จากการไม่ได้ป้องกันตัว หลินอิ่งยื่นมือปัง ถูกหมัดนั้นสะเทือนจนถอยไปหลายก้าว เพิ่งทรงตัวได้

คนชุดดำก็วิ่งเข้ามาตรงหน้า ในมือถือมีดสั้นทิ่มไปที่หน้าอก

ความเร็วนั้นคนธรรมดาก็ตั้งตัวไม่ทัน หลินอิ่งยื่นมือไปปัง ป้องกันหน้าอกตัวเอง เสียงดังตั๊ก มีดแทงเข้าไปที่ฝ่ามือเขา จากนั้นก็สู้กลับ

มีดแรกไม่โดน คนชุดดำก็หยิบมีดอีกใบหนึ่งออกมา หลินอิ่มเริ่มตอบสนองทัน เสียงดังตั๊ก มีดแทงเข้าไปที่กำแพง จนเป็นหลุม และมีรอยแตก แค่นี้ก็รู้ว่าแรงหนักขนาดไหน

การต่อสู้อย่างสายฟ้าแลบ ไม่ถึงสามวินาที คนชุดดำก็โจมตีเสร็จ แล้วถอยห่างออกไปเป็นสิบก้าว ฝีมือรวดเร็ว แสดงให้รู้ว่าคือมืออาชีพ

หลินอิ่งขมวดคิ้ว มองไปที่คนชายชุดดำ เปิดปากถาม “แกเป็นใคร?”

เขาดูออก ชายชุดดำคนนี้ฝีมือระดับนี้ ไม่ธรรมดาแน่ เขาไม่ได้เจอคนเลือดเย็นฝีมือระดับสูงแบบนี้นานแล้ว

“กงซุนฉางเฟิง” ชายชุดดำตอบอย่างเฉยชา

“ตระกูลกงซุนส่งแกมา?” หลินอิ่งมองกงซุนฉางเฟิงสายตาเย็นชา

ชัดเจนว่า คนฝีมือระดับนี้มีเพียงตระกูลกงซุนแห่งตี้จิงเรียกใช้ได้ ในเมืองเล็กๆอย่างเมืองชิงหยูน คนฝีมือระดับสูงแบบนี้อยู่ไม่ได้แน่

“ฝีมือนายเก่งกว่าที่ฉันคิดไว้ แต่ก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของฉัน” กงซุนฉางเฟิงพูดอย่างมั่นใจ “เป็นคนฝึกศิลปะโบราณเหมือนกัน ฉันเป็นคนรักคนมีฝีมือ ถ้านายยอมให้มือข้างหนึ่งพิการ ไม่ต่อสู้แล้วไปกับฉัน ฉันสามารถช่วยนายขอร้อง ให้ไว้ชีวิตนายได้”

“ไว้ชีวิตเหรอ?” หลินอิ่งหัวเราะเย็นชา “นายมั่นใจแค่ไหน?”

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท