ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 246 นี่คงเห็นแก่หน้าคุณชายสวีแน่

บทที่ 246 นี่คงเห็นแก่หน้าคุณชายสวีแน่

บทที่ 246 นี่คงเห็นแก่หน้าคุณชายสวีแน่

“ท่านอิ่ง ท่านมาถึงเมืองตี้จิงแล้วหรือยัง? ผมได้จัดโต๊ะรับรองที่อาคารเจ๋อเฉิงเอาไว้ เตรียมการต้อนรับท่าน” สายอีกฝั่ง เป็นเสียงที่นอบน้อมของหยูจื๋อเฉิง

“ฉันมาถึงตี้จิงแล้ว” หลินอิ่งกล่าว “ตอนนี้อยู่ที่งานเลี้ยงงานหนึ่ง อีกเดี๋ยวค่อยเข้าไปหานาย”

“ท่านมาถึงแล้วหรือ?” หยูจื๋อเฉิงถามด้วยความประหลาดใจ “ท่านอยู่ไหน มีอะไรจะสั่งให้ผมไปทำไหมขอรับ?”

พอได้ยินหลินอิ่งบอกว่าอยู่ที่งานเลี้ยง ในใจของหยูจื๋อเฉิงก็รู้สึกประหลาดใจพลางร้อนใจ

ว่าตามหลักการ ในฐานะที่เขาเป็นตัวแทนของท่านอิ่งในเมืองตี้จิง ท่านอิ่งกลับถึงเมืองตี้จิงแต่กลับไม่ให้เขาไปรับ แต่กลับไปปรากฏตัวที่งานกินเลี้ยงงานอื่น

จึงทำให้หยูจื๋อเฉิงรู้สึกหวาดกลัวเล็กน้อย หรือว่ามีงานบางอย่างทำไม่เรียบร้อย จึงไม่ไว้วางใจแล้ว?

“ฉันอยู่ที่โรงแรมจงเทียน” หลินอิ่งตอบ

“โรงแรมจงเทียน?” หยูจื๋อเฉิงรู้สึกประหลาดใจ “ท่านอิ่ง ท่านไปที่นั่นทำไม นั่นเป็นกิจการภายใต้เจ๋อเฉิงกรุ๊ป ถ้าอย่างไร ผมไปหาท่านเพื่อรายงานสถานการณ์ก็แล้วกัน”

โรงแรมจงเทียน เรียกได้ว่าเป็นกิจการที่หยูจื๋อเฉิงสร้างขึ้นมากับมือ ก่อนที่จะช่วยหลินอิ่งจัดการทรัพย์สินของตระกูลฉี ที่นี่เป็นกิจการบันเทิงที่สำคัญของเขา เป็นถุงเงิน

หลินอิ่งคิดสักพักพูดว่า “ก็ดี พอนายมาถึงโรงแรมจงเทียน จัดห้องทำงานไว้รอฉันที”

เพิ่งจะวางสายไป สวีเหอก็หัวเราะอย่างเย็นชา อดที่จะประชดขึ้นมาไม่ได้

“โอ้โฮ เสแสร้งเหรอ? จัดห้องทำงานในโรงแรมจงเทียนให้นาย? นายเห็นตัวเองเป็นบุคคลหมายเลขหนึ่งเหรอ?” สวีเหอแสยะยิ้ม ส่ายหน้าพูด

“นั่นสิ อวดเบ่งจริงๆ โม้เก่งมาก เอะอะให้จัดห้องทำงานในโรงแรมจงเทียน นายรู้ไหมว่าที่นี่เป็นโรงแรมระดับกี่ดาว รู้ไหมว่าคนที่อยู่เบื้องหลังโรงแรมจงเทียนน่ะใหญ่แค่ไหน?”

“ช่างน่าขำสิ้นดี ไอ้บ้านนอกที่มาจากต่างเมือง ทำเป็นโม้ใหญ่โตต่อหน้าเรา แล้วก็ไม่รู้สึกละอายใจ”

ชายหนุ่มหญิงสาวที่นั่งอยู่ไม่กี่คนต่างประชดกันขึ้นมาก ที่หลินอิ่งพูดออกมามันช่างน่าขำสิ้นดี

ถูกคุณชายสวีแฉให้แล้ว แค่ผู้ชายที่เกาะผู้หญิงกินเป็นเลขาฯ ผู้ช่วยให้เมียตัวเอง แล้วยังมาจากบ้านนอกอีกด้วย

นึกไม่ถึงว่าจะกล้าทำเป็นโทรศัพท์ให้คนอื่นจัดห้องทำงานให้ แล้วก็เป็นในโรงแรมจงเทียนด้วย อย่างนี้ขี้โม้จริงๆ เลย

“ปัทโธ่ ฉีโม่ ฉันบอกแล้วไง ว่าอย่าพาเศษสวะนี่มาด้วย ดูสิ มีแต่ทำเธอขายหน้าผู้คน” จูฟางมองไปยังหลินอิ่ง พูดด้วยท่าทางเหยียดหยาม “ขอร้องล่ะ ถ้าอยากจะโม้ ก็ช่วยเข้าใจระดับของโรงแรมจงเทียนด้วย ไม่ดูซะบ้างว่าคนที่นั่งอยู่เป็นคนแบบไหน นึกไม่ถึงว่าจะกล้าพูดเรื่องน่าขำอย่างนี้”

พูดเล่นอะไรกัน โรงแรมจงเทียน นั่นเป็นโรงแรมระดับสูงในเขตจงเทียนเมืองตี้จิงเลยยนะ เป็นที่นิยมของผู้บริโภค เป็นหลุมเงินหลุมทอง ข้าวมื้อหนึ่ง อย่างน้อยต้องหลักแสน พวกพนักงานออฟฟิศธรรมดาจะมาใช้จ่ายที่นี่ไม่มีหรอก

ในเขตจงเทียนมีใครบ้างไม่รู้ว่า โรงแรมจงเทียนเป็นแลนด์มาร์ค เป็นสโมสรของแวดวงคนมีชื่อเสียง คนที่มาที่นี่ไม่ใช่ข้าราชการชั้นสูงก็เป็นลูกหลานมหาเศรษฐี ล้วนเป็นบุคคลที่มีหน้ามีตาทั้งสิ้น

ที่สำคัญที่สุดคือ โรงแรมจงเทียน เป็นเขตอิทธิพลสีเทาหลักของเขตจงเทียน เป็นกิจการภายใต้ลูกพี่ใหญ่หยูจื๋อเฉิง และเป็นฐานสำคัญใหญ่ของเขา

ไม่ว่าจะอาชีพไหน บุคคลแบบไหน ก็ไม่กล้ามาโอหังที่โรงแรมจงเทียน

โดยเฉพาะ หยูจื๋อเฉิงในตอนนี้ เป็นตัวแทนออกนอกหน้าของตระกูลฉีหนึ่งในตระกูลมหาเศรษฐีของตี้จิง

พูดอีกนัยคือ โรงแรมจงเทียนเป็นกิจการของตระกูลฉีแห่งตี้จิง ใครกล้าไม่รู้จักที่ตายไปล่วงเกินตระกูลฉีที่เฉิดฉายดั่งพระอาทิตย์ในตี้จิงได้?

“หลินอิ่ง ทำไมไม่พูดอะไรเลยล่ะ? ถูกเปิดโปงจนละอายใจล่ะสิ?” สวีเหอแสยะยิ้มพูด ทำท่าทางดูถูก

หลินอิ่งไม่ได้สนใจคำถากถางของคนพวกนี้ มองดูสวีเหออย่างเมินเฉย

ระดับของโรงแรมจงเทียนนั้นสูงมาก แต่จากศักยภาพของหยูจื๋อเฉิงแล้ว การมีโรงแรมขนาดใหญ่เช่นนี้ก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติ แล้วก็เป็นแกนนำอิทธิพลสีเทาของศูนย์กลางเมืองตี้จิง ไม่ได้เป็นกุ๊ยข้างถนนที่ไหน

“หลินอิ่ง เอ่อ……” จางฉีโม่เป็นกังวลขึ้นมา เธอได้ยินที่จูฟางแนะนำ คนเหล่านี้ล้วนเป็นบุคคลที่มีหน้ามีตาในเมืองตี้จิง โดยเฉพาะสวีเหอคนนี้ เป็นถึงคนตระกูลสวีหนึ่งในห้าตระกูลมหาเศรษฐีของตี้จิงเลย

แค่คิดก็รู้แล้วว่า ทุกคนที่นั่งอยู่ในที่นี้ล้วนเป็นบุคคลที่มีอิทธิพลทั้งนั้น

จางฉีโม่ได้กลัวว่าจะเสียธุรกิจเครื่องประดับของเธอ แต่ห่วงเรื่องความปลอดภัยของหลินอิ่ง อย่างไรเสียที่นี่ก็คือเมืองตี้จิง เป็นถิ่นของคนอื่น

ก่อนหน้าเธอได้รู้แล้วว่าหลินอิ่งเป็นคนมีศักยภาพ แต่ว่า นั่นเกิดขึ้นที่เมืองตุงไห่ แต่ตอนนี้อยู่ที่เมืองตี้จิง เมืองหลวงของประเทศหลุง อยู่ต่างเมืองไม่ว่าจะมีเงินหรือมีอิทธิพลมากแค่ไหน พอมาเมืองตี้จิง สิ่งเหล่านั้นก็ไม่เพียงพอหรอก

“ฉี่โม่ คุณเป็นแขกที่ผมเชิญมา วางใจเถอะ เห็นแก่หน้าคุณ ผมจะไม่ให้ผู้ชายที่เกาะผู้หญิงกินคนนี้ต้องกลืนไม่เข้าคายไม่ออก” สวีเหอพูดด้วยท่าทางได้ใจ “เอาอย่างนี้ คุณให้เขาไปเสิร์ฟน้ำชงชา ยกเหล้าคารวะเพื่อนๆ ในโต๊ะนี้ ก็ถือว่าจบกัน”

“นั่นสิ ฉีโม่ ดูคุณชายสวีสิว่าใจกว้างแค่ไหน อย่างนี้สิถึงเป็นคนหนุ่มที่ยอดเยี่ยมจากการเลี้ยงดูของตระกูลเศรษฐี” จูฟางพูดจาประจบประแจง “อย่างหลินอิ่ง ไม่มีอะไรดีเลย คุณชายสวีใจกว้างอภัยให้เขา ยังไม่รีบลุกขึ้นอีก?”

สวีเหอมองไปยังหลินอิ่ง สายตาเย่อหยิ่ง พูดอย่างเอื่อยเฉื่อยว่า “นายหูหนวกหรือว่าเป็นอะไรไป? สั่งให้นายลุกขึ้น ไม่ยอมอย่างนั้นเหรอ?”

เขาไม่เข้าใจ บ้านนอกเข้ากรุง ทำไมถึงยังทำตัวเป็นผู้มีอิทธิพลได้? ผู้ชายที่อาศัยภรรยาเป็นเลขาฯ ทำมาหากิน แล้วยังจะมากระโดดโลดเต้นต่อหน้าเขา?

บอกตามตรง ถ้าไม่เห็นแก่ความงามของจางฉีโม่ ที่อยากจะยึดครอง เขาคงให้คนไล่ผัวเมียคู่นี้ออกจากโรงแรมจงเทียนไปนานแล้ว

ก๊อก! ก๊อก!

ในเวลานี้เอง มีคนมาเคาะประตูนอกห้องVIP ชายหนุ่มคนหนึ่งสวมชุดทักซิโด้เดินเข้ามา

“สวัสดีทุกท่าน ผมเป็นผู้จัดการโซนภัตตาคารของโรงแรมจงเทียน ผู้จัดการใหญ่ถังของเรา ให้ผมนำไวน์สองขวดนี้มาให้คุณชายอิ่ง ขอให้คุณชายอิ่งมีความสุขในการรับประทานอาหาร” ชายหนุ่มพูดด้วยรอยยิ่ม ข้างกายมีบริกรสาวคนหนึ่งเข็นรถอาหารที่เป็นคริสทัลตามมาด้วย

พูดจบ ชายวัยกลางคนก็โค้งคารวะ ให้บริกรสาวมอบไวน์สองขวดให้ จากนั้นก็คารวะแล้วไปจากห้องVIP

“นี่มัน….? โรมาเน กงติสองขวด? ปี 1971เสียด้วย เป็นปีที่ดีที่สุด แล้วยังเป็นไวน์ระดับพรีเมียมที่ผลิตจำนวนจำกัด ทั่วโลกมีเหลือไม่กี่ขวด ถึงกับมอบให้เปล่าๆ ให้เกียรติกันมากเกินไปแล้ว!” ผู้อำนวยการหลี่แห่งสำนักงานอุตสาหกรรมและการพาณิชย์ มองดูไวน์สุดหรูที่ส่งมา อุทานเสียงจึ๊ๆ ออกมา ให้รู้ว่าเป็นคนรู้จักของ

ในฐานะคนที่อยู่ในวงการคนมีชื่อเสียง คนที่อยู่ในงานพอจะรู้จักบ้าง พอได้ยินก็รู้ประวัติของเหล้านี้ เป็นเหล้าประมูลอย่างหนึ่ง ราคาหลักแสนขึ้น

กล่าวว่าหลักแสนอาจจะไม่เพียงพอ แต่นี่โรงแรมจงเทียนให้เกียรติ มอบให้เปล่าๆ เรียกว่าเป็นความเพลิดเพลินที่ทรงเกียรติมาก!

“เมื่อสักครู่ผู้จัดการบอกว่ามอบให้คุณชายอะไรนะ? ทำไมฉันถึงฟังไม่ชัดเจน?”

“ยังต้องให้บอกอีกเหรอ? ในงานยังมีใครที่สมเกียรติกว่าคุณสวีอีก? ต้องเห็นแก่หน้าคุณชายสวีแน่ ที่เอาเหล้ามาให้”

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท