ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 252 งานเครื่องประดับตี้จิง

บทที่ 252 งานเครื่องประดับตี้จิง

บทที่ 252 งานเครื่องประดับตี้จิง

คืนนั้น จางฉีโม่กับหลินอิ่งพักที่โรงแรมจงเทียน

พักในห้องที่หรูที่สุด จางฉีโม่ก็สัมผัสและสนุกกับความหรูหราสบายห้องโรงแรมสักครั้ง และรู้สึกดีมาก

เที่ยงของวันที่สอง

หลินอิ่งกับฮาเดสไปเอารถBentleyที่ชั้นใต้ดิน ไปเขตเหยียนหวงกับจางฉีโม่

งานเครื่องประดับตี้จิงครั้งนี้ จัดที่พาณิชย์พลาซ่าเหยียนหวงเขตเหยียนหวง เหมาห้องแสดงสินค้าหนึ่งชั้น จัดอย่างใหญ่โต

เป็นงานที่ใหญ่ที่สุดของงานแสดงเครื่องประดับในประเทศ ครั้งนี้เชิญบริษัทเครื่องประดับยักษ์ใหญ่ทั่วประเทศมาร่วมงาน มหาเศรษฐีพื้นที่ของตี้จิงก็เข้าร่วมงาน โครงสร้างงานใหญ่โต

นอกจากการรวมตัวของบริษัทเครื่องประดับแล้ว ในงานยังมีการแสดงงานออกแบบเครื่องประดับต่างๆ

แน่นอน ยังมีบริษัทเครื่องประดับจากต่างประเทศเข้าร่วมงานสัมมนาครั้งนี้ด้วย บริษัทแบรนด์ต่างประเทศระดับสิบอันดับแรกจากทั่วโลก มากันพร้อมหน้า

งานแสดงเครื่องประดับครั้งนี้ ฐานะในวงการเครื่องประดับประเทศหลุง คือระดับที่สูงที่สุด เทียบเท่าระดับงานออสการ์

รถขับไปตามถนนที่เจริญรุ่งเรือง ที่นั่งด้านหลัง จางฉีโม่เหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่าง มองไปที่หลินอิ่งที่กำลังหลับตาพักผ่อน พูดว่า “หลินอิ่ง คุณคุยกับเพื่อนคุณว่ายังไงบ้าง มีทรัพยากรเกี่ยวกับด้านเครื่องประดับไหม?”

“ผมหาคนในวงการเดียวกันไปถามแล้ว สวีเหอที่คุยเมื่อวาน เป็นหัวหน้าระดับสูงของบริษัทเครื่องประดับตระกูลสวีแห่งตี้จิง มีอำนาจมากในแวดวงเครื่องประดับของตี้จิง พวกเราทำให้เขาโกรธไม่ได้ เพราะไม่รู้เขาจะทำอะไรในที่ลับหรือเปล่า” จางฉีโม่พูดอย่างกังวล

เธอมาตี้จิงครั้งนี้เพราะมีแผนจะเข้าตลาดตี้จิง นอกจากอำนาจของสวีเหอในวงการเครื่องประดับตี้จิง สามารถขัดขวางเธอได้อย่างง่ายดาย โดยทำอะไรไม่ได้เลย

หลินอิ่งพูดช้าๆ “ไม่เป็นไร ฉีโม่ คุณไม่ต้องกังวลสวีเหอ ตั้งใจทำงานของคุณก็พอ คุณเอาสินค้าเครื่องประดับที่คุณออกแบบและภาพงานออกแบบของคุณมาใช่ไหม? เชื่อมั่นในความสามารถของคุณ ความสามารถจะพิสูจน์ทุกอย่างเอง และข่าวลือวุ่นวายในวงการนั้น ผมจะจัดการเอง”

“ผู้จัดงานเครื่องประดับตี้จิงในครั้งนี้คือสภาเครื่องประดับประเทศหลุง ผู้รับผิดชอบแซ่หลิว เพื่อนผมรู้จักเขา เคยแนะนำแล้ว เดี๋ยวไปทักทายเขาหน่อย”

เมื่อวานหลินอิ่งให้หยูจื๋อเฉิงไปทำเรื่องนี้โดยเฉพาะ ผู้รับผิดชอบงานเครื่องประดับชื่อหลิวเป่า เป็นผู้มีอำนาจในวงการเครื่องประดับแห่งตี้จิง และเป็นประธานของสภาเครื่องประดับ เขาและบริษัทเครื่องประดับตระกูลฉีในนามเขา มีธุรกิจไปมาหาสู่กันมากมาย”

เพราะฉะนั้น เขาได้ให้หยูจื๋อเฉิงทักทายแล้ว เพื่อสะดวกกับการทำงาน

“ออ เพื่อนคุณรู้จักหลิวเป่าเหรอ” จางฉีโม่พยักหน้า รู้สึกวางใจแล้ว

เป็นคนที่อยู่ในวงการเครื่องประดับ จางฉีโม่ที่อยู่ไกลถึงเมืองตุงไห่ก็เคยได้ยินชื่อเสียงของหลิวเป่าแห่งตี้จิง เป็นผู้ใหญ่ที่มีอำนาจในวงการอย่างมาก อยู่ในวงการมาหลายสิบปี เคยออกแบบเครื่องประดับที่มีชื่อเสียงมานับไม่ถ้วน และมีฝีมือการเกาะสลักหยกอย่างดีเยี่ยม ระดับอาจารย์

ขณะที่ทั้งกำลังคุยกัน รถก็มาถึงพาณิชย์พลาซ่าเหยียนหวง ฮาเดสลงไปเปิดประตูอย่างถนัด หลินอิ่งทั้งสองคนลงจากรถ

เวลาเดียวกัน พาณิชย์พลาซ่าเหยียนหวง ผู้คนมากมาย บรรยากาศครึกครื้น รอบด้านมีแต่คนแต่งกายไม่ธรรมดา และรถหรูจอดอยู่สองข้างทางจนเต็ม

และนี่ก็เป็นรูปความเป็นอยู่ของผู้ดีในตี้จิง และนักธุรกิจคนรวยที่นี่ก็ชอบขับรถที่มีสไตล์เรียบหรู แต่ไม่ใช่รถสปอร์ตที่ตกแต่งหรูหรา

เป็นสถานที่มีรูปแบบที่ไม่เหมือนที่ใด ชอบรูปแบบความเรียบหรู มีสไตล์

“ไม่เสียที่เป็นตี้จิง อาคารบ้านเรือนก็ให้ความรู้สึกที่ไม่เหมือนกัน” จางฉีโม่มองไปรอบข้าง พูดอย่างชื่นชม

หลินอิ่งมองไปรอบหนึ่งสีหน้าเรียบเฉย พูดว่า “ใช่ ตึกอาคารสำนักงานใจกลางเมืองตี้จิง ตอนก่อสร้างก็สร้างสำหรับทีมงานระดับสูง อีกอย่างยังเชิญอาจารย์มาดูสถานที่ก่อน เพราะฉะนั้นรูปแบบจึงไม่ธรรมดา”

ตึกและอาคารแถวนี้แรงกันเป็นแถวๆ เป็นตึกระดับสูงทั้งนั้น ทั้งพลาซ่าดูแล้วยิ่งใหญ่สวยหรูมาก เมืองชินหยูนเปรียบไม่ได้

ถ้าสังเกตอย่างละเอียดแล้ว จะพบว่า เขตใจกลางเมืองหลายแห่งที่เจริญของตี้จิง การสร้างอาคารทั้งหมด ล้วนมีความใส่ใจอย่างลึกซึ้ง โครงสร้างทั้งหมดล้วนมีการวางแผน

เพราะว่า งานสถาปนิกของประเทศหลุงนั้นเป็นศิลปะโบราณที่สืบทอดกันมา เป็นความรู้ที่มีความลึกซึ้งอย่างหนึ่ง

จางฉีโม่พยักหน้า ทั้งสองคนคุยกันไป แล้วเดินเข้าไปพาณิชย์พลาซ่าเหยียนหวง

หลายนาทีผ่านไป ทั้งสองก็เดินเข้าไปในห้องโถงพาณิชย์พลาซ่าเหยียนหวง

ในห้องแสดงสินค้าตอนนี้ ผู้คนมากหน้าหลายตา มีพรมแดงปูตามทางเดินทุกด้านอย่างหรูหรา ตู้กระจกแสดงสินค้าวางเต็มห้องแสดงสินค้า ทุกตู้ล้วนเป็นเครื่องประดับล้ำค่า รูปแบบจีน ตะวันตก เพชร เครื่องประดับที่ทำจากคริสทัล หยก

พูดได้ว่า ภายในห้องแสดงสินค้าอันกว้างขวาง เครื่องประดับที่นำมาแสดงนั้น รวมกันแล้วมีมูลค่ามากกว่าพันล้าน ดูอลังการ และทำให้ผู้คนดูอิ่มตา

จางฉีโม่สีหน้าดีใจ มองไปรอบด้าน เธอมองดูเครื่องประดับทุกชิ้นมีชื่อบริษัทและชื่อผู้ออกแบบบันทึกไว้ สายตาเต็มไปด้วยความหวัง

สามารถนำเครื่องประดับงานออกแบบของตัวเองมาแสดงในงานเครื่องประดับระดับสูงในประเทศหลุงได้ นั่นเป็นความฝันของนักออกแบบเครื่องประดับทุกคนในประเทศหลุง

หลินอิ่งหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรออก จากนั้นหันไปมองจางฉีโม่ สีหน้ายิ้มแย้มพูดว่า “ฉีโม่ ตามผมมา ไปทักทายคุณหลิวเป่ากัน ครั้งนี้ ผมจะให้เขาเอางานออกแบบของคุณมาแสดงสักครั้ง ถ้าคุณอยากร่วมมือกับบริษัทเครื่องประดับไหน ขอให้คุณบอก เราสามารถออกคำเชิญได้”

“ค่ะ” จางฉีโม่พยักหน้าอย่างเชื่อฟัง “ครั้งนี้ต้องขอบคุณคุณมาก หลินอิ่ง”

จางฉีโม่รับรู้ได้ ว่าสิ่งที่หลินอิ่งช่วยเหลือเธอ อย่างเต็มที่แบบไม่มีข้อแม้ สุดความสามารถ

หัวหน้าสมาคมจูที่รู้จักในเมืองตุงไห่ก็แตกแยกแล้ว และไม่ต้องไปมาหาสู่กับคนแบบนั้นอีก ก่อนหน้านี้ช่างโง่เหลือเกิน ยังเสียเงินไปขอความช่วยเหลือจากเขา เพราะทรัพยากรที่หลินอิ่งมีในตี้จิง มากกว่าหัวหน้าสมาคมจูอีก ได้เข้าหาประธานสมาคมเครื่องประดับหลิวเป่าโดยตรง

“จางฉีโม่ ทำไมเธอยังกล้ามาร่วมงานแสดงเครื่องประดับอีก?”

เวลาเดียวกัน มีเสียงของผู้หญิงที่น่ารังเกียจดังขึ้น

จูฟางเดินมาพร้อมกับชายหญิงกลุ่มหนึ่ง สวีเหอก็อยู่ข้างๆ มองหลินอิ่งกับจางฉีโม่ด้วยสีหน้าเย็นชา

“หัวหน้าสมาคมจู ฉันมาที่มีอะไรไม่ถูกเหรอ?” จางฉีมาตอบสีหน้าเรียบเฉย

“เหอะ เธอมาร่วมงานแสดงเครื่องประดับได้ พึ่งใคร ในใจไม่รู้เลยเหรอ? ถ้าไม่มีฉันช่วย ลำพังบริษัทเธอแล้ว มีสิทธิ์เข้ามาเหรอ?” จูฟางพูดด้วยสีหน้ายโส “น่าเสียดาย ฉันอยากช่วยเธอ แต่เธอกลับไม่ไว้หน้า อุตส่าห์แนะนำคุณชายสวี สวีเหอ แต่พวกเธอกลับไปสร้างปัญหากับเขา กบในกะลาจริงๆ ขึ้นที่สูงไม่ได้”

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท