ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 241 เตรียมกำหนดการเดินทาง

บทที่ 241 เตรียมกำหนดการเดินทาง

บทที่ 241 เตรียมกำหนดการเดินทาง

จางฉีโม่นึกถึงคราวก่อนที่หลินอิ่งตั้งชื่อให้จี้สร้อยคอว่า “King of the world” ดูเป็นศิลปะมาก

หลินอิ่งครุ่นคิดเสร็จก็พูดขึ้นมาว่า “อย่างนั้นก็ใช้ชื่อของคุณ เปลี่ยนชื่อเป็นบริษัทเครื่องประดับฉีซื่อ”

จางฉีโม่ไตร่ตรองอยู่สักพัก ก็พยักหน้า รู้สึกว่าใช้ได้ จำง่ายดี

“ฉีโม่ งานเครื่องประดับที่คุณพูดถึงเรื่องราวเป็นอย่างไร วางแผนจะจองตั๋วเครื่องบินเมื่อไหร่?” หลินอิ่งถาม

จางฉีโม่คิดแล้วก็ตอบว่า “เป็นเที่ยวบินเช้าวันพรุ่งนี้ ฉันจองตั๋วให้คุณไว้แล้ว”

“งานเครื่องประดับตี้จิงในครั้งนี้ ยิ่งใหญ่มาก เรียกว่าเป็นงานมโหฬารระดับสูงในวงการโลก พนักงานทั่วไปในวงการไม่มีคุณสมบัติที่จะเข้าร่วมได้” จางฉีโม่พูดด้วยสีหน้าจริงจัง “ครั้งนี้เพราะหัวหน้าสมาคมจูจากสมาคมเครื่องประดับเมืองตุงไห่ชักชวนให้ฉันไป ไม่อย่างนั้นคงไม่ได้บัตรเชิญเข้างาน”

“จริงสิ หลินอิ่ง เมื่อกี๊คุณบอกว่า คุณมีเพื่อนอยู่ตี้จิง? เป็นเพื่อนที่ทำเกี่ยวกับเครื่องประดับหรือเปล่า?” จางฉีโม่ถามด้วยความแปลกใจ

หลินอิ่งพยักหน้าพูดว่า “ใช่แล้ว ที่ตี้จิงผมมีเพื่อนอยู่คนหนึ่ง ถือว่าเป็นคนมีน้ำหนักในวงการเครื่องประดับ”

เพื่อนที่ตี้จิงที่เขาพูดถึง ก็คือจื๋อเฉิงนั่นเอง

หยูจื๋อเฉิงเป็นบุคคลที่มีน้ำหนักในเมืองตี้จิงคนหนึ่ง ยิ่งไม่ต้องพูดถึง เวลานี้เป็นผู้แถลงการณ์แทนตระกูลฉีแห่งเมืองตี้จิงอย่างนอกหน้า ในตี้จิงไม่ว่าจะอุตสาหกรรมไหนแค่เขาเอ่ยปากก็มีเสียงขานรับแน่นอน

กิจการตระกูลฉีที่เขาชิงกลับมา ก็เป็นกิจการเครื่องประดับ ในด้านทรัพยากรมีไม่น้อยแน่

“แบบนี้ดีเลย หัวหน้าสมาคมจูแห่งเมืองตุงไห่ดูเหมือนไม่ค่อยมีทรัพยากรอะไรในตี้จิง แล้วยังเป็นคนละโมบ เชิญชวนบริษัทที่อยากขึ้นตำแหน่งประธานสมาคมเครื่องประดับ โดยเปิดราคาที่สองล้านหยวน แล้วก็ ทำตัวเป็นสิงโตคอยอ้าปากสวาปามตามมาทีหลัง” จางฉีโม่ขมวดคิ้วพูด

ถ้าไม่เพราะพื้นฐานบริษัทอ่อนแอ ไม่มีแหล่งทรัพยากรจากต่างเมืองเข้ามา แต่เพื่อสร้างแรงประชาสัมพันธ์จึงต้องเข้าร่วมงานเครื่องประดับงานนี้ เธอไม่อยากเป็นตัวโง่ที่ตามคนไม่ทัน เป็นหมูให้หัวหน้าสมาคมจูฆ่า เอะอะอะไรก็อ้าปากจะเอาค่าชักนำเป็นล้านขึ้น

“ไม่ต้องไปหาคนอื่นให้ช่วยชักนำอีก วางใจเถอะ ฉีโม่ เพื่อนผมที่อยู่ตี้จิงพึ่งได้” หลินอิ่งพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “พอถึงตี้จิงแล้ว ผมจะจัดเตรียมเรื่องทุกอย่างให้คุณอย่างเรียบร้อย”

จางฉีโม่พยักหน้า คงความคาใจเอาใจ เธอสงสัยมาตลอดว่าตัวตนที่แท้จริงของหลินอิ่งเป็นอย่างไร ไปเอาอำนาจมากมายอย่างนี้มาจากไหน

คราวก่อนที่หลินอิ่งไปตี้จิงมา หลังจากกลับมาถึงก็กดตระกูลหวางจนโงหัวไม่ขึ้น หรือว่า หลินอิ่งเกิดที่เมืองตี้จิง?

พอดีเลย เที่ยวนี้ไปตี้จิงต้องไปสืบดูเสียแล้ว

มีเสียงแกร่กๆ ดังขึ้น

ในเวลานี้เอง ประตูวิลล่าอยู่ๆ ก็ถูกกุญแจเปิดออก

ลู่หย่าฮุ่ยสองผัวเมียกลับมาแล้ว พอทั้งสองคนเข้าประตูมา เห็นหลินอิ่ง ก็ชักสีหน้าทันที สายตาหดหู่

“พ่อแม่ กลับมาแล้วเหรอ หนูมีเรื่องจะคุยด้วยหน่อย พรุ่งนี้หนูจะไปตี้จิง สักสิบวันถึงครึ่งเดือน” จางฉีโม่ทักทาย พูดด้วยสีหน้าจริงจัง

“ฉีโม่ ใช่เรื่องที่หัวหน้าสมาคมจูพูดถึง งานเครื่องประดับตี้จิงใช่ไหม” ลู่หย่าฮุ่ยก็สอนขึ้นมาทันที “เรื่องนี้เป็นเรื่องดี ทางหัวหน้าสมาคมจูกับแม่สนิทกัน คุ้นเคยกันมานาน ลูกไปเมืองตี้จิงแล้วต้องฟังสิ่งที่หล่อนเตรียมการไว้ให้”

พูดจบ ลู่หย่าฮุ่ยก็มองหลินอิ่งอย่างรำคาญใจพูดว่า “แล้วก็นะ ฉีโม่ หลินอิ่งเขามาที่วิลล่าทำไมอีก แม่เคยบอกลูกไว้ไม่ใช่เหรอ? ว่าครอบครัวเราตัดขาดจากคนคนนี้แล้ว! ต่อไปอย่าไปมาหาสู่กับเศษสวะคนนี้อีก”

ฉีโม่หน้าเจื่อน นึกไม่ถึงว่าอยู่ๆ พ่อแม่จะกลับมาบ้าน พวกเขามีความเห็นต่อหลินอิ่งเยอะ พอเจอหน้าก็มีเรื่องให้ตำหนิไม่น้อย

“หลินอิ่ง นายเป็นอะไรของนาย? คราวก่อนที่ฉันพูดกับนายยังไม่เข้าใจอีกเหรอ?” ลู่หย่าฮุ่ยชี้ไปที่หลินอิ่งพูดอย่างไม่เกรงใจ “นายมันหน้าด้านหน้าทนจริงๆ ยังจะมาเกาะแกะฉีโม่ของเราอีก?”

“พ่อคะแม่คะ หนูเป็นคนให้หลินอิ่งเข้ามาเอง หนูจะให้หลินอิ่งไปตี้จิงกับหนูด้วย” จางฉีโม่พูดด้วยสีหน้าจริงจัง

“หา?” ลู่หย่าฮุ่ยตกใจอย่างมาก “ไม่ได้ ไม่ได้เด็ดขาด! ลูกจะพาเศษสวะนี่ไปตี้จิงได้อย่างไร? เที่ยวนี้ลูกไปร่วมงานเครื่องประดับที่ตี้จิง ต้องพบสังคมใหญ่ๆ! พาเขาไปจะไม่ทำให้ลูกขายหน้าเหรอ?”

“คนอย่างหลินอิ่งเรื่องประสบความสำเร็จไม่มีมีแต่เรื่องให้ล้มเหลว เพิ่งจะล่วงเกินคนตระกูลจางในจางซื่อกรุ๊ปใหม่ไปหมาดๆ ทำให้พวกฉันต้องวิ่งเต้นหาเส้นสาย อย่างไรเสียก็ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเขา” ลู่หย่าฮุ่ยพูดด้วยท่าทางไม่พอใจ “ฉีโม่ ลูกพาเขาไปตี้จิงครั้งนี้ ยังไม่รู้เลยว่าจะก่อหายนะอะไรให้ลูก!”

พูดเสร็จ ลู่หย่าฮุ่ยมองหลินอิ่งด้วยความเย็นชา พูดด้วยเสียงดูแคลนว่า: “หลินอิ่ง นายนี่ให้ตายเถอะ นายล่วงเกินเถ้าแก่ใหญ่ในอาคารจางซื่อ นี่คงกลัวขึ้นมาแล้วล่ะสิ? ตอนนี้เลยรีบมาหาฉีโม่ อยากให้ฉีโม่พานายไปตี้จิงเพื่อหนีสินะ? นายนี่วางแผนเก่งจริงๆ”

ในความคิดของหล่อน เห็นว่าหลินอิ่งไม่กล้าเผชิญหน้าการแก้แค้นของจางหงจุน คิดจะไปหลบต่างเมืองกับหลินอิ่ง อยากให้ฉีโม่อปกป้องเขา

“แม่ ไม่ได้ซับซ้อนอย่างที่แม่คิดเสียหน่อย หนูไปเมืองตี้จิงครั้งนี้เพื่อทำธุระ หลินอิ่งไปเขาช่วยหนูได้” จางฉีโม่พูดด้วยสีหน้าจริงจัง

“เขาช่วยได้? น่าขำจริงๆ!” ลู่หย่าฮุ่ยอดถากถางไม่ได้ “หลินอิ่งเป็นคนอย่างไร แม่เห็นนานแล้ว ปกติไม่มีอะไรก็เที่ยวหว่านเสน่ห์ ไม่มาเดินอยู่ที่บ้านหลังนี้หรอก เหมือนอย่างครั้งนี้ ล่วงเกินคนอื่นเข้า ก็รีบมาหลบที่บ้านทันที มาหาลูกเพื่อให้ปกป้องเขา คนอะไรกัน?”

จางฉีโม่อยากจะพูดแต่ก็ต้องหยุด อยากพูดแทนหลินอิ่ง แต่กลับพูดอะไรไม่ออก

เธอก็รู้ดี ว่าพูดไปก็ไม่รู้เรื่องกัน ในสายตาของแม่ ยึดมั่นแล้วว่าหลินอิ่งเป็นเศษสวะ

ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ลู่หย่าฮุ่ยยึดมั่นในสิ่งที่ตัวเองรับรู้มาเท่านั้น เธอรู้สึกอย่างไร นั่นก็ต้องเป็นอย่างนั้น ไม่มีเหตุผลเลย

“ฉีโม่ ผมมีธุระต้องขอตัวก่อน พรุ่งนี้เจอกันนะ” หลินอิ่งทักขึ้นมา แล้วก็เดินจากวิลล่าไปด้วยสีหน้าราบเรียบ

“หลินอิ่ง นายอย่าได้คิดอะไรเลวๆ อีก เพราะเรื่องเละเทะที่นายก่อไว้ ทำให้พวกเราต้องวิ่งเต้นหาเส้นสาย ต้องมาสิ้นเปลืองสินน้ำใจ” ลู่หย่าฮุ่ยพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “นายอย่าคิดตีตัวจากไป เมื่อไหร่ที่ซูนเฉียงกับจางหงจูนมาคิดบัญชีกับนาย พวกเราครอบครัวไม่นิ่งดูดายแน่”

หลิ่นอิ่งส่ายหน้า ไม่มีอะไรจะพูด ตรงดิ่งไปที่ประตูแล้วก็จากไป

ด้านนอกของวิลล่าหิมะมังกร ฮาเดสยังรอด้วยความนอบน้อม

พอหลินอิ่งขึ้นรถ ฮาเดสเคลื่อนรถไปยังเกาะเทียมในแม่น้ำชิงหยูน

หลินอิ่งนั่งอยู่เบาะหลังหลับตาลงพักผ่อนชั่วครู่ จากนั้นก็เอามือถือออกมาโทร

โทรไปหาหยูจื๋อเฉิง

เสียงตึ๊ดๆ ดังขึ้น สายต่อติดแล้ว

“ท่านอิ่ง มีอะไรจะสั่งขอรับ?” ฝั่งคู่สาย เป็นเสียงของหยูจื๋อเฉิงดังเข้ามา

“พรุ่งนี้ฉันจะไปตี้จิง นายลองดูในมือนายที ว่ามียักษ์ใหญ่ในวงการเครื่องประดับของประเทศหลุงพวกไหนบ้าง ที่จะจัดระเบียบช่องทางกิจการเครื่องประดับให้ฉันได้ ฉันต้องการใช้” หลินอิ่งพูดด้วยสีหน้าจริงจัง

“พรุ่งนี้ท่านจะมาตี้จิงหรือขอรับ?” หยูจื๋อเฉิงพูดด้วยความแปลกใจ

เขาไม่ได้รับสายของท่านอิ่งมานานมาก นึกไม่ถึงว่าท่านอิ่งจะกลับตี้จิง

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท