ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 248 นี่ให้นายดื่มเหรอ?

บทที่ 248 นี่ให้นายดื่มเหรอ?

บทที่ 248 นี่ให้นายดื่มเหรอ?

“นึกไม่ถึงว่าคุณชายสวีจะสูงส่งขนาดนี้ แม้แต่ผู้จัดการใหญ่ถังแห่งโรงแรมจงเทียนก็ยังมาด้วยตัวเอง……”

“นี่ท่านสุงนี่ เป็นบุคคลใหญ่โตที่สั่งการทุกอย่างในพื้นที่สีเทา!”

หลายคนต่างกระซิบกระซาบกัน รู้สึกถึงความหวาดกลัวบางอย่าง

คนที่เดินเข้ามา คือถังฮุยผู้มีชื่อเสียงในเขตจงเทียน ในโลกแห่งความมืดที่ผู้คนเรียกเขาฮุยสุงว่าท่านสุง!

พวกเขาต่างจำกันได้ นี่คือผู้รับผิดชอบของโรงแรมจงเทียน ถังฮุย

ถังฮุยเป็นลูกมือที่เก่งของหยูจื๋อเฉิง ชื่อเสียงโด่งดัง ออร่าเขาทำให้ผู้คนต้องสะพรึง เพราะเป็นบุคคลที่ผ่านกลิ่นคาวเลือด

“ประธานถัง มาด้วยตัวเองเลยเหรอ ฮ่าๆ ผมขอชนกับคุณหนึ่งแก้ว” สวีเหอลุกขึ้นยืน ทักทายด้วยความเกรงใจ ชูแก้วขึ้นโดยอัตโนมัติ

การเผชิญหน้าบุคคลอย่างถังฮุย สวีเหอก็ไม่กล้าวางท่าใหญ่โต ว่าด้วยเรื่องศักยภาพก็แข็งแกร่งกว่าหลายเท่า

สีหน้าของถังฮุยก็ตื่นเต้นเล็กน้อย มีความกดดันในใจ พอเข้ามาก็เห็นหลินอิ่ง มีใบหน้ายิ้มแย้ม

เขาได้รับคำสั่งจากหยูจื๋อเฉิง ให้มาต้อนรับขับสู้หลินอิ่ง

ถ้ารู้ว่า หลินอิ่งไปถล่มตระกูลเหวินที่ตี้จิงในคืนนั้นด้วยตัวคนเดียว ถังฮุยก็อยู่ในเหตุการณ์ด้วย! เห็นความไร้เทียมทานของหลินอิ่งด้วยตาตัวเอง และได้เห็นลูกพี่หยูจื๋อเฉิงให้ความเคารพต่อหลินอิ่ง

อีกอย่าง หลังจากเหตุการณ์นั้นลูกพี่หยูจื๋อเฉิงก็เจริญก้าวหน้าดุจดวงอาทิตย์กลางท้องฟ้า ถังฮุยก็ได้เห็นกับตา หลินอิ่งเหมือนองค์พระใหญ่องค์หนึ่งจริงๆ

กระทั่ง นั่นเพราะคราวก่อนหลินอิ่งมาช่วยหยูจื๋อเฉิงสร้างแสนยานุภาพที่ตี้จิง ถังฮุยก็เก็บเกี่ยวผลประโยชน์มากมาย ฐานะก็สูงขึ้นเหมือนน้ำหนุนเรือก็สูง! ลอยขึ้นสวรรค์ไปตามๆ กัน!

“ประธานถัง นึกไม่ถึงว่าจะให้เกียรติกันขนาดนี้ ไหนจะส่งไวน์มาให้สองขวด รู้สึกเกรงใจจริงเลย แก้วนี้ ผมขอดื่มคารวะให้ก่อน!” คุณชายสวีพูดด้วยความสอพลอ แล้วก็ดื่มไวน์กรวกเดียวหมดแล้ว เพื่อจะประจบถังฮุย

ถังฮุยหน้านิ่วคิ้วขมวด มองไปยังสวีเหอ พอเห็นสวีเหอถือไวน์อยู่ในมือ ก็เกิดอาการโมโหขึ้นทันที

ให้ตายเถอะ นี่เป็นไวน์ให้ท่านอิ่งดื่มแก้มอาหาร ไอ้นี่ไม่รู้จักที่ตายกล้ามาเอาไปดื่ม?

ท่านอิ่งยังไม่ได้แตะ แล้วไอ้แซ่สวีมาแตะได้อย่างไร?

“นี่สำหรับให้นายดื่มเหรอไง?” ถังฮุยถามด้วยความเย็นชา มองสวีเหอด้วยสายตาที่เยือกเย็น

“คือ……” รอยยิ้มบนใบหน้าสวีเหอแห้งเหือดขึ้นมาทันที มองดูท่าทางเข้มงวดของถังฮุย รู้สึกตื่นเต้นในใจเป็นพิเศษ

ไม่รู้ทำไม อยู่ๆ สีหน้าถังฮุยก็เปลี่ยน

ไม่ได้ให้เขาดื่ม? หรือว่าเข้าใจผิด เป็นไปไม่ได้หรอก ไวน์นี่ส่งมาที่ห้องVIP ถังฮุยก็มานี่แล้ว หรือว่าที่นั่งอยู่ในนี้ ยังมีใครที่มีเกียรติยิ่งกว่าสวีเหอ?

“ประธานถัง นี่ผู้จัดการที่เป็นลูกน้องของคุณเป็นคนส่งมา” สวีเหอทำหน้ายิ้ม พูดอย่างระมัดระวัง

“สวีเหอ นายนึกว่าเล่นตลกเหรอไง?” ถังฮุยว่าอย่างไม่เกรงใจ “นายมีคุณสมบัติพอให้ฉันส่งไวน์ให้เหรอ? กับแค่ฐานะเป็นคนตระกูลสวี ก็วางท่าต่อหน้าผู้คนอย่างนี้ ตัวเองมีค่าแค่ไหน ไม่รู้ตัวเหรอยังไง?”

ถังฮุยเดือดเป็นไฟขึ้นมาจริงๆ ไวน์ที่มอบให้ท่านอิ่ง ถูกคนอื่นดื่มไปแล้ว?

แม่งเอ้ย แล้วยังเป็นภายในโรงแรมจงเทียนที่ตัวเองรับผิดชอบ นี่ถ้าลูกพี่รู้เข้า เขาต้องตายแน่ ขนาดท่านอิ่งอยู่ในถิ่นเขาเองยังต้อนรับไม่ดี

ไอ้สวีเหอนี่ก็ไม่รู้จักที่ตาย มีแค่ฐานะเล็กๆ ในตระกูลสวี แม่งยังกล้าวางท่าต่อหน้าท่านอิ่ง

“ผม……” สวีเหอหน้าแดงก่ำ อยากหามุดรูหนีจริงๆ รู้สึกขายหน้าอย่างมาก

เมื่อสักครู่เพิ่งจะคุยโวว่าตัวเองกับถังฮุยสนิทกันมาก พริบตาเดียวก็ถูกด่าต่อหน้าฝูงคน……

โดยเฉพาะ เขาไม่กล้าตอบโต้ถังฮุย ฐานะและศักยภาพของคนทั้งสองต่างกันลิบลับ ไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกันเลย

จากศักยภาพของฮุยสง ต่อให้จัดการเขาทิ้งในโรงแรมจงเทียน ตระกูลสวีก็ไม่มีใครลุกขึ้นพูดแทนเขา

“ขอโทษครับ ประธานถัง ผมคงเข้าใจผิด” สวีเหอถูกด่าเหมือนเอาเลือดหมามารดหัว แต่ก็ขอโทษด้วยรอยยิ้ม

“ขอโทษผมงั้นเหรอ? ไปขอโทษท่านอิ่งไป!” ถังฮุยพูดด้วยเสียงเย็นเฉียบ

“ท่าอิ่ง? ประธานถัง ท่านเข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า ท่านว่าท่านอิ่งอะไรเหรอ ผม… ผมไม่เห็นจะรู้จักเลย” สวีเหอพูดอย่างถูกทารุณ

เขาไม่รู้เลยว่า ทำไมถังฮุยต้องมาลงสายฟ้าฟาด เพียงเพราะคนที่ชื่อท่านอิ่ง?

เกิดอะไรขึ้น เกิดอะไรขึ้น ไปล่วงเกินคนที่แม้แต่ถังฮุยเรียกว่า “ท่านอิ่ง” ได้?

“นายไม่รู้จักท่านอิ่ง?” สายตาถังฮุยเย็นยะเยือก ใจลุกเป็นไฟ แทบอยากจะกำจัดสวีเหอทิ้ง!

ไอ้เจ้าโง่ นายไม่รู้จักท่านอิ่ง แล้วยังกล้าดื่มไวน์ที่ฉันให้ท่านอิ่ง? วางท่าใหญ่โตเป็นนายท่านใหญ่?

พอนึกถึงตรงนี้ ถังฮุยก็รีบมองไปยังหลินอิ่ง ไม่กล้าสบตากับหลินอิ่งเลย จิตใจร้อนรน ก้มหน้าต่ำพูดว่า “ท่านอิ่ง ผมขอโทษ ผมต้อนรับขับสู้ไม่ได้ ไม่ได้เตรียมการให้ดี โปรดลงโทษผมด้วย”

“อะไร! เขา… เขาคือ… เขา……” สวีเหอถูกฉากนี้ทำตกใจจนติดอ่าง สีหน้าเต็มไปด้วยความตกใจ

ทำไมไอ้บ้านนอกที่มาจากเมืองตุงไห่ จูฟางบอกว่าเป็นลูกเขยเศษสวะ จึงกลายเป็นท่านอิ่งที่ถังฮุยเรียก?

เป็นไปได้อย่างไรกัน! ถังฮุยเป็นคนใหญ่โตระดับไหน ถึงกับเรียกไอ้เกาะผู้หญิงกินว่าท่าอิ่ง?

“ประธานถัง ท่านเข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า คนผู้นี้ เขามาจากเมืองตุงไห่มาที่เมืองตี้จิง ผมรู้พื้นเพของเขาดี เป็นเศษสวะภาระที่เป็นเลขาฯ ผู้ช่วยให้กับภรรยาเขา” สวีเหอกล่าวด้วยความฉงน

“นั่นสิ มัน… มันต้องมีอะไรเข้าใจผิดแน่ ไอ้เศษสวะที่มาจากบ้านนอก จะเป็นท่านอิ่งที่ประธานถังเอ่ยถึงได้อย่างไร?”

จากท่าทีที่ถังฮุยแสดงความเคารพต่อหลินอิ่ง จูฟางและคนที่อยู่ในงานทั้งหมดต่างเผยสีหน้าแทบไม่น่าเชื่อออกมา

เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด คนที่เป็นเลขาฯ ผู้ช่วยภรรยา จะมีความสามารถมากมายเพียงนี้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึง ว่ามาจากต่างเมือง ทำไมถึงมีความสัมพันธ์กับถังฮุยบุคคลแนวหน้าของเมืองตี้จิงได้?

“นายว่าอะไรนะ? เศษสวะ?” สายตาท่าทางของถังฮุยตกใจ จนคิ้วกระตุก

“นายแซ่สวี ฉันว่านายอยากตายแล้วสินะ!” ถังฮุยถลึงตามองสวีเหอ ยื่นมือชี้นิ้วออกไป ตวาดด้วยความโมโห

สวีเหอกล้าพูดต่อหน้าท่านอิ่งเช่นนี้? อย่าว่าแต่สวีเหอเป็นเพียงลูกหลานที่ไม่ได้สำคัญอะไรในตระกูลสวีของตี้จิง ต่อให้ต่อหน้านายท่านตระกูลสวี ก็ไม่บังอาจเช่นนี้นะ!

“ผม ผม……” สวีเหอตกใจจนหน้าซีดเผือด พูดจาจนเสียงสั่น “ประธานถัง ผมไปล่วงเกินอะไรคุณเข้า?”

ถังฮุยเป็นคนดุดันมาก เขาไม่กล้าล่วงเกินอยู่แล้ว ไม่รู้ว่าไปยั่วคนโหดร้ายผู้นี้ให้คลั่งได้อย่างไร

“นายยังไม่เข้าใจอีกเหรอ?”

ถังฮุยตบฉาดเข้าที่ใบหน้าของสวีเหออย่างแรง เสียงดังเพียะ จนเลือดกบมุมปากของสวีเหอ ท่าทางทั้งโมโหทั้งตกใจ

“สวีเหอ จงขอขมาลาโทษท่านอิ่งเดี๋ยวนี้! ถ้าท่านอิ่งไม่อภัยให้นาย ฉันจะบอกให้ วันนี้นายไม่ได้เดินออกจากโรงแรมจงเทียนแน่ ไปแจ้งคนที่บ้านนายให้เตรียมงานศพได้เลย!” ถังฮุยพูดด้วยเสียงเย็นยะเยือก

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท