ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 259 ท่านเหยียนหล

บทที่ 259 ท่านเหยียนหล

บทที่ 259 ท่านเหยียนหลง

จางฉีโม่สีหน้าตะลึง คิดไปสักครู่ พูดว่า “ต้องการแน่นอน”

ถ้าเปิดบริษัทเครื่องประดับที่ตี้จิงได้ และยืนหนักแน่นอยู่ในวงการธุรกิจเครื่องประดับได้ มันเป็นเรื่องมหัศจรรย์ที่สุด

สำหรับนักออกแบบเครื่องประดับคนหนึ่ง คงไม่มีใครปฏิเสธเรื่องดีๆแบบนี้ได้

“แต่ว่า หลินอิ่งคุณมั่นใจไหม?” จางฉีโม่ถามด้วยสีหน้าไม่มั่นใจ “เรื่องนี้มันต้องเตรียมงานหลายอย่าง”

แค่เปิดบริษัทมันง่าย แต่ถ้าดำเนินการจริง มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย

ถ้าทำจริง ก็ต้องเริ่มวางโครงสร้างธุรกิจในตี้จิง และทำให้ชื่อเสียงเครื่องประดับจางซื่อมีผลกระทบในวงการเครื่องประดับให้ได้

ต้องรู้ว่า สถานที่อย่างตี้จิง แค่ทำอาคารสำนักงานธรรมดาก็ต้องใช้เงินมหาศาล อีกอย่างธุรกิจเครื่องประดับต้องใช้ความสัมพันธ์หลายด้าน และต้นทุนทุกอย่างเกี่ยวกับเครื่องประดับ ถ้าคำนวณแล้วต้องเป็นตัวเลขที่สูงมาก

ธุรกิจเครื่องประดับต้องผลิตสินค้าตัวจริงออกมา ต้นทุนก็ต้นสูงมาก บวกกับต้องสร้างโฆษณาทำชื่อเสียงแบรนด์ของเครื่องประดับให้มีผลกระทบ ยากยิ่งกว่าขึ้นสวรรค์

จางฉีโม่รู้ดี คุณปู่ของเธอใช้เวลาครึ่งค่อนชีวิตในการบริหารขึ้นมาที่เมืองชินหยูน จนมีชื่อเสียงที่เมืองชินหยูนได้

หลินอิ่งพยักหน้า พูดว่า “มั่นใจแน่นอน”

จางฉีโม่คิดไปครู่หนึ่ง พูดว่า “อย่างนั้น ทีมงานเชี่ยวชาญจะหาจากไหน และกิจกรรมจำพวกอุปกรณ์พื้นฐานต่างๆ”

เธอรู้สึกว่าความคิดของหลินอิ่งดูเหมือนง่ายมาก ธุรกิจเครื่องประดับมีความเกี่ยวข้องหลายด้าน ไม่ใช่เรื่องง่าย

ถ้าเป็นการสร้างแบรนด์เท่านั้น ก็ไม่ใช่เรื่องยาก แต่ถ้าจะทำแบรนด์ของตัวเอง ก็ต้องมีโรงงานเป็นของตัวเอง

อีกอย่าง ทีมงานผู้เชี่ยวชาญ เวลาเร่งด่วนแบบนี้จะไปหาที่ไหน?

คิดวิเคราะห์ไปครู่หนึ่ง จางฉีโม่พูดจริงจัง “หลินอิ่ง ฉันรู้ว่าคุณมีเพื่อนอยู่ในตี้จิงไม่น้อย ฉันก็เชื่อว่าคุณมีความสามารถ แต่ว่า ฉันกลัวว่าฉันจะทำได้ไม่ดี เพราะมันต้องลงทุนเป็นจำนวนเงินมาก ถ้าลงทุนไปแล้ว จะขาดทุนเป็นเงินจำนวนมาก”

เธออยากทำ แต่คิดไปคิดมา เปิดบริษัทที่ตี้จิงไม่ใช่เรื่องเล็ก ถึงแม้หลินอิ่งจะมีอำนาจในตี้จิง แต่ก็ต้องลงทุนเป็นเงินมหาศาลและมนุษยสัมพันธ์เส้นสายต่างๆก็ต้องเยอะ ถ้าเกิดขาดทุนขึ้นมา เธอจะรู้สึกเสียงใจและเกรงใจ

“เรื่องพวกนี้ไม่ใช่ปัญหา” หลินอิ่งพูดด้วยรอยยิ้ม “ฉีโม่ ผมเชื่อว่าคุณมีความสามารถทำได้ ถึงจะขาดทุนก็ไม่เป็นไร ทุกอย่างให้เป็นหน้าที่ปม คุณทำอย่างวางใจได้เลย”

ฉีโม่ชอบมองเรื่องทุกอย่างเป็นเรื่องยาก

ความเป็นจริง เขาเปิดบริษัทเครื่องประดับที่ตี้จิงเป็นเรื่องง่ายไม่ต้องออกแรงแม้แต่เป่าฝุ่นเลย

สำหรับเรื่องสามารถสร้างชื่อเสียงได้ในวงการเครื่องประดับของประเทศหลุงได้หรือไม่ ขอแค่ชื่อฉีหยิ่นออกไป ทุกคนทุกที่ต่างต้องหลีกทางให้ ยกย่องบริษัทเครื่องประดับฉีซื่อให้ถึงที่สูงสุด

จางฉีโม่กำลังคิด เหมือนยังมีอะไรอยากพูด

“อย่าคิดมาก รอข่าวดีจากผม” หลินอิ่งยิ้มพูด “พอกลับไปผมจะรีบไปจัดการทันที ถึงเวลาเราไปดูสถานที่ด้วยกัน”

“ก็ได้ ถ้าอย่างนั้นก็ฟังคุณจัดการทุกอย่าง” จางฉีโม่พยักหน้าอย่างเชื่อฟัง

เธอยังคงตัดสินใจที่จะเชื่อฝีมือหลินอิ่ง รอเขาจัดการ รอดูว่าเขาจะทำยังไง

ยี่สิบนาทีผ่านไป หลินอิ่งกับจางฉีโม่กลับถึงโรงแรมจงเทียน

จางฉีโม่กลับไปพักผ่อนที่ห้องนอนตัวเอง หลินอิ่งกลับไปที่ห้องทำงานประธาน

ตอนที่ยังอยู่ในรถ เขาได้รับโทรศัพท์จากหยูจื๋อเฉิง

หลินอิ่งอยู่ในทางเดินที่ปูด้วยพรมแดง บอดี้การ์ดในชุดสูทที่ยืนอยู่สองข้างทางก้มหน้าทักอย่างเคารพ

มาถึงห้องทำงานประธานอันหรูหรา ถังฮุยยืนอยู่ข้างโต๊ะทำงานอย่างเคารพ รอเพื่อรายงานเรื่องงาน

“ประธานหลิน” ถังฮุยทักทายอย่างมารยาท

หลินอิ่งพยักหน้าทักทาย เดินเข้าไปนั่งบนเก้าอี้โต๊ะประธาน ยกเหยือกน้ำชาเทใส่แก้วให้ตัวเอง ยกขึ้นดื่มทีละนิด

“ประธานหลิน หัวหน้าหยูอยู่ระหว่างทางมา” ถังฮุยพูดสีหน้าจริงจัง “ผมรายงานสถานการณ์ให้ท่านทราบก่อนดีกว่า”

หลินอิ่งพยักหน้า พูด “ได้ คนของตระกูลสวีหาคุณ ว่ายังไงบ้าง?”

ตอนอยู่ระหว่างทาง ก็ได้รับข้อความของหยูจื๋อเฉิง บอกว่าทางด้านตระกูลสวีมีคนจะหาเขากับถังฮุย

นี่เป็นสถานการณ์ตามที่เขาคาดการณ์ไว้ สวีชิงซงไม่ยอมจบง่ายๆแน่

หยูจื๋อเฉิงยังทำธุระอยู่นอกเมือง กำลังรีบกลับมา

ถังฮุยเงียบไปครู่หนึ่ง พูดขึ้นด้วยสีหน้าระมัดระวัง “ประธานหลิน สวีชิงซงคนนั้นโทรมาหาผมด้วยตัวเอง โทรมาเตือนผม ยังบอกให้ผมส่งตัวท่านไป ผมไม่ได้สนใจเขา ไม่ทราบว่าประธานหลินจะจัดการยังไงครับ ต้องการสั่งลูกน้องไปจัดการไหมครับ?”

ถังฮุยก็ไปสืบเรื่องที่เกิดขึ้นในงานแสดงเครื่องประดับวันนี้มาแล้ว คิดไม่ถึงว่าคุณชายหนึ่งในสี่แห่งตี้จิงอย่างสวีชิงซง จะมีปัญหากับประธานหลินได้

อำนาจของสวีชิงซงในตี้จิง แข็งแกร่งมากโดยไม่ต้องสงสัย ถังฮุยก็ไม่กล้าปะทะกับเขาซึ่งๆหน้า

โดยเฉพาะ คำพูดน้ำเสียงสวีชิงซงในโทรศัพท์ยโสโอหังและอวดดี และนี่ทำให้เขาไม่พอใจอย่างมาก

ไอ้หน้าโง่นี่ก็เพราะว่ามีตระกูลสวีมีเบื้องหลัง ถึงได้กล้าอวดดีไม่เห็นหัวคนอื่นในตี้จิง วันนี้มีเรื่องกับประธานหลิน หายนะมาเยือนแน่

หลินอิ่งดื่มน้ำชาไปคำหนึ่ง พูดด้วยเสียงเรียบ “ไม่ต้องไปสนใจมาก ถ้าเขาจะมาหาเรื่องถึงที่ ก็จัดการเลย”

“ครับ” ถังฮุยพยักหน้าอย่างเคารพ พูดจริงจัง “ประธานหลิน รู้สึกว่าสวีชิงซงจะไปหาเหยียนหลงพวกอำนาจมือเขตเหยียนหวง วันนี้เหยียนหลงก็ออกมาเชิญผมกินข้าว”

“เหยียนหลง” หลินอิ่งขมวดคิ้ว ในความจำเขาไม่รู้จักคนคนนี้

ถังฮุยพูดจริงจัง “ประธานหลิน เหยียนหลงถือว่าเป็นผู้มีอำนาจในโลกใต้ดิน ชื่อเสียงโด่งดัง คุมอยู่เขตเหยียนหวง สายตากว้างขวาง มีคนหนุนหลังเยอะ แม้กระทั่งในสถาก็มีเส้นสาย เป็นคนไม่ธรรมดา”

“เมื่อก่อนเหยียนหวง ตำแหน่งในกลุ่มอำนาจมืดสูงกว่าหัวหน้าหยูอีก ครั้งนี้ออกหน้าช่วยสวีชิงซง เพราะอยากสร้างความกดดันให้ผม อีกอย่างนายคนนี้ลงมือทั้งโหดทั้งเลว” ถังฮุยเล่าแนะนำให้ฟัง

เขารู้วิธีการงานของเหยียนหลงคนนี้ดี ปกติไม่ออกหน้า ถ้าหากออกมาแล้ว ก็ต้องถามจนได้เรื่อง ถ้าหากเขาปฏิเสธไปคุยกับเหยียนหลง เหยียนหลงก็ส่งคนมาจัดการกับประธานหลินลับๆแน่

“ชวนคุณกินข้าว?” หลินอิ่งยิ้มเย็นชา เขาฟังแล้ว ก็รู้แล้วว่าสถานการณ์ยังไง

สวีชิงซงไปให้พวกอำนาจโลกแห่งความมืดมาออกหน้า จะสร้างแรงกดดันให้กับถังฮุย จัดการนัดกินข้าว เป็นงานเลี้ยงเจรจาชัดๆ แน่นอน นี่เป็นวิธีการจัดการปัญหาในวงการพวกนี้เป็นเรื่องธรรมดา

ฟังแล้วเหยียนหลงคนนี้เหมือนจะมีตำแหน่งอำนาจในตี้จิงไม่น้อย เก่งกว่าหยูจื๋อเฉิงก่อนที่จะช่วยตระกูลฉีดูแลธุรกิจอีก

คิดแล้วก็ถูก สามเขตใหญ่ของตี้จิง เขตเหยียนหวง เขตจงเทียน เขตเสิ่นหนง ความเจริญของเขตเหยียนหวงมากกว่าเขตจงเทียน สามารถมีอำนาจขนาดนี้ได้ในเมืองเจริญแบบนี้ ก็คงไม่ธรรมดา

ตึ๊ดตึ๊ด

เวลาเดียวกัน มือถือของถังฮุยก็ดังขึ้น

ถังฮุยดูมือถือ สีหน้าตื่นเต้น พูด “ประธานหลิน เหยียนหลงโทรมา ผมจะรับไหม?”

“รับเลย เปิดลำโพง ผมจะฟังด้วย ว่าเขาต้องการอะไร” หลินอิ่งพูดอย่างสนใ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

นิยายแนะนำ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท