ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 247 ประธานถัง

บทที่ 247 ประธานถัง

บทที่ 247 ประธานถัง

“คุณชายสวี คุณเป็นคนที่มีเกียรติมาก พวกเราออกมารับประทานอาหารกับคุณ ก็ได้ออร่าไปด้วย” จูฟางเห็นโอกาสประจบขึ้นมา สีหน้าเต็มไปด้วยความสอพลอ

“นั่นสิ ประธานถังแห่งโรงแรมจงเทียนเป็นผู้เจาะจงชื่อผู้รับเลย ไม่เสียแรงที่เป็นคุณชายสวี ออกมาข้างนอก แม้แต่ระดับประธานถังยังต้องมาประจบเลย!” ชายหนุ่มนามหนึ่งพูดยอขึ้นมา

“นั่นสิ ใครๆ ก็รู้ โรงแรมจงเทียนเป็นของตระกูลฉี ผู้จัดการของโรงแรมค่อนข้างจะยโส ต่อให้เป็นบุคคลมีฐานะขนาดไหนมารับประทานอาหารก็ไม่มาประจบ คิดถึงตอนนั้น ผู้อำนวยการของเรามารับประทานอาหารที่โรงแรมจงเทียน แม้แต่ผู้จัดการร้านอาหารจีนก็ไม่เห็นจะสนใจ คุณชายสวีของเราช่างมีเกียรติจริงๆ แม้แต่ผู้จัดการใหญ่ถังยังส่งคนมามอบไวน์!” ชายหนุ่มสวมสูทคนหนึ่งพูดยกยอ

ระดับของโรงแรมจงเทียนทุกคนต่างรู้ดี ต่างรู้ว่า โรงแรมจงเทียน มีKTV มีเมืองแช่เท้า มีเมืองชาบู เขตอาหารจีน เขตอาหารตะวันตก สนามบิล สนามชมการแข่งขัน สถานบันเทิงแต่ละที่ล้วนมีผู้จัดการรับผิดชอบหนึ่งคน

ส่วนผู้จัดการใหญ่ของโรงแรมจงเทียน ถังฮุย ในเขตจงเทียนคุณปู่เป็นคนที่มีชื่อเสียงคนหนึ่ง เป็นบุคคลที่มีมากอิทธิพล

ถังฮุยเป็นลูกมือของหยูจื๋อเฉิงที่มีความสามารถ ได้รับสมญานามในโลกแห่งความมืดว่าฮุงสุง ท่านสุง

“ฮ่าๆ ทุกท่านชมเกินไปแล้ว ผู้จัดการใหญ่ถังกับผมเป็นเพื่อนกัน เพื่อนเขาให้เกียรติน่ะ” สวีเหอพูดอย่างกระหยิ่มยิ้มย่อง

แม้ว่าเขาจะรู้สึกว่ามันกะทันหัน มีความฉงนในใจว่าเกิดอะไรขึ้น

อิทธิพลและความสามารถของถังฮุยในตี้จิง แข็งแกร่งกว่าลูกหลานตระกูลสวีคนนี้กว่ามาก น้ำหนักเหนือกว่าเยอะ

จากที่สวีเหอเคยเห็นถังฮุย ยังต้องนอบน้อมเรียกว่าท่านสุง!

ว่าแต่ ท่านสุงส่งคนเอาไวน์มาให้เขาเพื่อเป็นเกียรติ ก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้

ใบหน้าสวีเหอเต็มไปด้วยความปีติ ลำพองในใจว่า ตัวเองเป็นถึงคนของตระกูลสวีที่ยิ่งใหญ่ ไม่แน่ว่าฮุยสุงอาจจะอยากปีนป่ายสัมพันธ์กับตระกูลสวี เลยใช้ตัวเองเป็นทางผ่าน

“ยังไงคุณชายสวีก็ร้ายกาจ เพื่อนรอบข้างมีแต่คนเก่งๆ ท่านสุงที่มีชื่อเสียงโด่งดัง ปกติผมไม่ค่อยมาที่เขตจงเทียน ก็เคยได้ยินชื่อเสียงอยู่บ้าง” จูฟางทำหน้าประจบประแจง ไม่หยุดป้อยอ

ตามคำเยินยอจากคนกลุ่มนี้ ใบหน้าของสวีเหอยิ่งได้ใจมากขึ้น รู้สึกมีเกียรติอย่างยิ่ง

อีกทั้ง ไวน์สองขวดนี้ส่งมาทันการณ์พอดี เป็นจังหวะที่กำลังคุยกับคนแซ่หลิน คราวนี้ จะทำให้ไอ้บ้านนอกที่มาจากต่างจังหวัด ได้เห็นอิทธิพลของเขา

พอเห็นฉากนี้ หลินอิ่งก็ส่ายหน้า หัวเราะอย่างเดียว เขารู้ดีว่า นี่เป็นไวน์ที่หยูจื๋อเฉิงให้คนเอามาให้ อย่างไรเสียที่นี่ก็คือโรงแรมของหยูจื๋อเฉิง อยากจะรู้ว่าเขานั่งอยู่ห้องVIPนั้น ก็เป็นเรื่องง่ายแค่นิดเดียว

ผู้จัดการที่เอาไวน์มาให้ก็บอกชัดเจนแล้วว่า มอบให้คุณชายอิ่ง ไม่เข้าใจ ทำไมถึงถูกคนพวกนี้ กลายเป็นมอบให้สวีเหอได้ แล้วยังจะมาโม้อีก?

ว่าแต่ก็นึกภาพออก อย่างไรเสียชื่อเสียงของตระกูลสวีอยู่ในวงนั้น คนที่นั่งอยู่ที่นั่นแม้ว่าจะเป็นคนที่มีฐานะ แต่เมื่อเทียบกับตระกูลสวีหนึ่งในห้ามหาเศรษฐีของประเทศหลุง ยังห่างไกลอีกมาก เป็นระดับสูงที่ไม่สามารถไต่เต้าถึง

“เอาล่ะ เอาล่ะ ทุกท่าน ในเมื่อประธานถังมีน้ำใจส่งไวน์โรมาเน กงติมาให้สองขวด อย่างนั้ก็เปิดขวด ทุกคนมาดื่มกัน” สวีเหอโบกไม้โบกมือ พูดด้วยท่าทางอวดเบ่ง

พูดเสร็จ สวีเหอก็ทำท่ายิ้มเยาะส่งสายตามายังหลินอิ่ง ใช้เสียงออกคำสั่งพูดว่า “นายไปเปิดเหล้าที แล้วก็รินให้ทุกคนที่อยู่ในนี้ ได้ยินไหม?”

“เห็นแก่หน้าฉีโม่ ฉันจะไม่คิดเล็กคิดน้อยกับคนไม่รู้ความอย่างนาย” สวีเหอทำเป็นใจกว้าง “คุณฉีโม่ คุณไม่อยากเปิดตลาดอัญมณีที่ตี้จิงแล้วเหรอ? เรื่องนี้ง่ายมาก แค่ผมเอ่ยปากก็เรียบร้อย ตอนนี้ คุณต้องให้หลินอิ่งมาคารวะเหล้าหนึ่งรอบ”

“ฉีโม่ นี่เป็นโอกาสที่คุณชายสวีให้นะ เธอต้องถนอมมันไว้ให้ดีๆ อย่าให้เศษสวะที่เป็นภาระ ถ่วงเธอเอาไว้ เร็วเข้า รินไวน์ให้เขาเป็นการไถ่โทษ” พอสวีเหอพูด จูฟางก็รีบเสริมขึ้นมา

“เดิมทีเขาเป็นเลขาฯ ผู้ช่วย เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เขาควรทำ แค่การรินไวน์ให้คุณชายสวี เขาก็จะรู้สึกถูกรังแกเหรออย่างนั้นหรือ? นี่เป็นการให้เกียรติเขาอย่างมากเสียมากกว่า!”

สีหน้าของจางฉีโม่ไม่ค่อยดี ไม่แสดงออก แม้จะห่วงเรื่องผลประโยชน์ของบริษัท แต่เธอก็ไม่ยอมที่จะฝืนใจหลินอิ่ง

พอเห็นท่าทางที่ไม่ขยับของหลินอิ่ง สีหน้าสวีเหอก็ทะมึนทันที พูดด้วยเสียงเข้มว่า “ฉันให้โอกาสพวกนายแล้ว อย่าไม่รู้จักถนอมเอาไว้”

“พวกนายทำอะไร? อย่าทำให้คุณชายสวีเดือดนะ ไม่อย่างนั้นเรื่องราวจะไม่เป็นอย่างที่พูดไว้” จูฟางช่วยพูดขึ้นมา ชี้แนะจางฉีโม่กับหลินอิ่ง “พวกนายอย่าคิดว่าคุณชายสวีอารมณ์ดี ต่อให้คุณชายสวีทนดูได้ เพื่อนๆ ที่นั่งอยู่กับคุณชายสวีก็ไม่ชอบหน้าพวกนาย ในนี้มีใครบ้างที่ไม่ใช่คนที่มีชื่อเสียง?”

จูฟางยิ่งพูดก็ยิ่งเลยเถิด ไม่สนใจความรู้สึกของจางฉีโม่เลย

สำหรับเธอแล้ว จากฐานะของจางฉีโม่และหลินอิ่ง ก็ควรจะประจบสวีเหอเหมือนกับเธอ ถ้าไม่ทำอย่างนี้ ก็เท่ากับEQต่ำมาก

“หึ คราวนี้นายไม่เพียงหูหนวก ยังเป็นใบ้ด้วยเหรอ?” สวีเหอหัวเราะอย่างเย็นชา มองหลินอิ่งด้วยความไม่พอใจ จากนั้นก็ดีดนิ้วดังเปราะขึ้น ให้สุนัขรับใช้ที่อยู่ข้างกายเปิดไวน์ออกหนึ่งขวด

สวีเหอยกขาแก้วขึ้นอย่างช้าๆ ค่อยๆ หรี่ตาลิ้มรสไวน์พูดอย่างช้าๆ ว่า “ไวน์นี่ไม่เลวเลย น่าเสียดายที่ใครบางคนไม่มีลาภปากนี้”

“คนบางคนไว้หน้าแล้วก็ไม่รับ คุณชายสวีให้เขาดื่มไวน์ดีอย่างนี้ ยังจะทำท่าทำทาง ถ้าลำพังเขาเอง เกรงว่าชาตินี้คงไม่ได้ลิ้มไวน์พรีเมียมอย่างนี้แน่” ชายหนุ่มนามหนึ่งถากถางหลินอิ่งอย่างไม่เกรงใจ

ตึงๆ

ในเวลานี้เอง เสียงผลักประตูเข้ามา เห็นแต่ชายวัยกลางคนรูปร่างสูงใหญ่เดินเข้ามา ท่าทางเข้มงวด สวมสูทสีดำ

“ประธานถัง!”

“สวัสดีประธานถัง! ทำไมท่านถึงมาด้วยตัวเอง?”

ชายวัยกลางคนพอเดินเข้ามา ทุกคนต่างทำหน้าแปลกใจ สายตาทุกคู่โฟกัสไปที่จุดนั้น

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

นิยายแนะนำ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท