ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 257 คุกเข่านานจนลุกไม่ขึ้น

บทที่ 257 คุกเข่านานจนลุกไม่ขึ้น

บทที่ 257 คุกเข่านานจนลุกไม่ขึ้น

หลินอิ่งส่ายหน้า เห็นได้ชัดว่า สวีชิงซงยังมั่นใจมาก รู้สึกว่าตัวเองเก่งกาจ มีอำนาจเหนือกว่าใคร

เสียงพรึ๊บ หลินอิ่งปล่อยมือ เหวี่ยงสวีชิงซงลงกับพื้น จากนั้นก็ปัดฝุ่นในมือ

“เหอะ กลัวแล้วใช่ไหมแก?” สวีชิงซงพูดด้วยแววตาเลวร้าย “ลำพังแค่ปล่อยฉันไม่มีประโยชน์ รีบคุกเข่า ถ้าฉันอารมณ์ดี อาจปล่อยแกก็ได้”

หลินอิ่งหัวเราะ มองไปที่ฮาเดส พูดว่า “ทำให้เขาหุบปาก”

ฮาเดสเดินเข้าไป ร่างสูงใหญ่ทำให้สวีชิงซงรู้สึกกดดัน เขาพูดด้วยสีหน้าหวาดกลัว “แกอยากทำอะไร?”

“หุบปาก”

ฮาเดสยกมือตบไปที่หน้าของสวีชิงซง จากนั้นก็บีบคอไว้ จนคนลอยขึ้นจากพื้น ร่างสั่นพูดจาอ้ำอึ้ง

“ฉัน……ฉัน อย่านะ ฉัน ฉันเป็นคุณชายรองตระกูลสวีนะ” สวีชิงซงพูดด้วยสีหน้าตื่นตระหนก โดนบีบคอจนเสียงหอบหายใจไม่ออก

เขารู้สึกได้ว่า คนต่างชาติที่ฮาเดสคนนี้ เหมือนหุ่นยนต์ที่ไร้ความรู้สึก ลงมือหนักขนาดนี้ บีบคอจนเกือบหัก

สวีชิงซงกลัวฮาเดสลงมือไม่แยกแยะหนักเบา บีบคอเขาจนหักโดยไม่ระวัง จนตายคาที่

“ฉันไม่รู้ว่าแกเป็นใคร รู้แค่ว่า ต่อหน้าฉันแล้วแกเป็นแค่หมาตัวหนึ่งที่บีบจนตายได้” ฮาเดสพูดด้วยสีหน้าเลือดเย็น สายตาเต็มไปด้วยความเหยียดหยาม

เขาไม่ได้ใส่ใจคุณชายรองตระกูลสวี สวีชิงซงคนนี้แม้แต่น้อย รู้แค่ว่า เป็นแต่หมาหน้าโง่

กล้าพูดจาหยอกล้อคุณนายหลิน ข่มขู่ประธานหลิน รนหาที่ตายชัดๆ

สีหน้าสวีชิงซงทั้งกลัวทั้งโกรธ อยากพูดอะไรอีก มือฮาเดสก็ยื่นมาตบเข้าที่ปาก ตบจนปากบวมขึ้นเหมือนไส้กรอก

จากนั้น ฮาเดสก็ยกหมัดขึ้นต่อยเข้าไปที่ก้มของสวีชิงซง เสียงดังคั๊ก เขาก็เลือดอาบปากจนฟันร่วง โดนต่อยจนฟันร่วงไปหลายซี่

สีหน้าสวีชิงซงเจ็บปวดมาก อยากร้องตะโกนดังๆ แต่ถูกฮาเดสบีบคอไว้ อยากร้องก็ร้องไม่ออก รู้สึกอึดอัด

โดนกระทืบไปยกหนึ่ง ฮาเดสก็ถีบสวีชิงซงไปไกลสิบเมตร ล้มลงกับพื้นอย่างแรง สีหน้าเขาดูเจ็บปวด เลือดซึมออกจากมุมปาก หอบอยู่กับพื้นเหมือนหมา

ทุกคนในงาน ต่างตกใจกับภาพที่เห็น เหมือนเห็นเหตุการณ์ที่ไม่น่าเชื่อ

น่าเหลือเชื่อจริงๆ มีคนกล้าทำร้ายสวีชิงซงอย่างหมาที่เขตเหยียนหวงตี้จิง?

ปกติเห็นแต่สวีชิงซงทำร้ายคนอื่นอย่างกับหมา

ไอ้บ้านนอกหลินอิ่งคนนี้ ไม่กลัวตระกูลสวีแก่งตี้จิงเลยเหรอ? หรือว่าไม่รู้เรื่องอะไรเลย คิดว่าตัวเองรู้คนในตี้จิงเพียงไม่กี่คนก็เก่งแล้ว?

“โอ้แม่เจ้า เกิดเรื่องใหญ่แล้ว จางฉีโม่ เธอรู้ไหมว่าไอ้สามีไร้น้ำยาของเธอทำเรื่องโง่อะไรลงไป?” จูฟางพูดด้วยน้ำเสียงตกใจ

“คุณชายรอง เป็นอะไรไหม? ไอ้ไร้น้ำยานี่กล้าทำร้ายท่าน มันต้องเสียใจแน่” สวีเหอรีบเข้าไปพยุงสวีชิงซง ท่าทางเป็นห่วงเป็นใย แต่สายตากลับมีแววความสะใจ

เท่าที่เขาดู ไอ้ไร้น้ำยาหลินอิ่งคนนี้คงบ้าไปแล้ว ทำร้ายสวีชิงซงจนสภาพแบบนี้ ไม่คิดถึงผลที่ตามมาเลยแม้แต่น้อย อีกหน่อยสวีชิงซงใช้อำนาจแก้แค้นหลินอิ่ง หลินอิ่งคนนี้ต้องตายแน่

ผลลัพธ์แบบนี้ ก็คือสิ่งที่สวีเหออยากเห็น

ปัง

คำพูดของสวีเหอเพิ่งพูดจบ ฮาเดสก็เข้ามาถีบไปที่คางของเขา

“อู๊ย” สวีเหอร้องด้วยความเจ็บปวด โดนถีบจนฟันหักไปหลายซี่ สีหน้าซีดขาวไปทันที

“พวกแกใครกล้าว่าประธานหลินอีกแค่คำเดียว ฉันส่งไปแกไปหายมบาลแน่” ฮาเดสพูดด้วยสีหน้าโหดเหี้ยม ดูแล้วมีแรงอาฆาตอย่างน่ากลัว

สวีเหอเจ็บจนร้องโอดโอย แล้วไม่กล้าออกเสียงอีก ทุกคนที่อยู่ในงาน ก็พากันหุบปาก ไม่กล้าแม้แต่ส่งเสียงกระซิบ

บอดี้การ์ดข้างกายหลินอิ่งคนนี้ โหดจริงๆ ไม่พอใจก็ทำร้ายจนคนพิการ ท่าทางแบบนี้ ถ้าใครกล้าพูดอะไรให้หลินอิ่งอีก เกรงว่าจะได้ไปเจอยมบาลแน่

หลินอิ่งไม่ได้สนใจพวกสวีเหออีก หันหลังไปดูหลิวเป่าที่คุกเข่าอยู่กับพื้น พูดเสียงเรียบ “คุณหลิว คุณยังคุกเข่าอยู่ทำไม? ลุกขึ้น คุยเรื่องร่วมงานกันต่อ”

“นี่…..คุณหลิน……” หลิวเป่าสีหน้าอึดอัด ดูแล้วไม่อยากมีความยุ่งเกี่ยวกับหลินอิ่งอีก กลัวสวีชิงซงหาเรื่อง ถึงเวลากลับมาแก้แค้นเขาจะกลายเป็นเรื่องใหญ่

“คุณหลิน เรื่องร่วมงานเราอย่าเพิ่งคุยกันเลย ธุรกิจนี้คงไม่คุยกันแล้ว” หลิวเป่าก้มหน้าพูด

เท่าที่เขาดูแล้ว ถึงแม้หลินอิ่งจะเป็นเพื่อนที่หยูจื๋อเฉิงแนะนำ บางทีอาจมีอำนาจบ้างที่ต่างจังหวัด แต่ไม่ว่าจะเทียบยังไง อำนาจก็สู้กับตระกูลสวีไม่ได้ จะสู้กับสวีชิงซงที่มีตระกูลสวีแห่งตี้จิงอยู่เบื้องหลังได้ยังไง?

ยิ่งหลินอิ่งทำให้สวีชิงซงโกรธแค้นแบบนี้ ทำลายศักดิ์ศรีเขาขนาดนี้ จากนี้จะโดนแก้แค้นยังไงบ้างก็ไม่รู้ เขาไม่อยากมีความสัมพันธ์มากมายกับหลินอิ่ง เดี๋ยวถูกสวีชิงซงเข้าใจผิด มีปัญหามากมายอีก

“คุยไม่ได้แล้ว?” หลินอิ่งมองหลิวเป่าอยู่สักพัก จากนั้นก็หันกลับไป

หลินอิ่งส่ายหัวคิดในใจ คนแบบหลิวเป่า คุกเข่านานไปลุกไม่ขึ้นแล้ว

สวีชิงซงถูกคนของเขาต่อยจนนอนราบกับพื้นอย่างกับหมาแล้ว แต่หลิวเป่ายังคงนับถือสวีชิงซงอย่างกับปู่ บอกให้เขาคุกเข่าเขาก็คุกเข่า บอกให้ห้ามร่วมงานกับตัวเอง เขาก็ปฏิเสธอย่างเชื่อฟัง?

สันดาน เดายากแท้

หลิวเป่า ตัดสินใจจะคุกเข่าจนถึงสุดท้าย ไม่ว่ายังไง เขาก็ไม่มีวันเป็นศัตรูกับสวีชิงซง แล้วไปช่วยหลินอิ่งเด็ดขาด

แต่ว่า เขาไม่มีวันรู้ นี่คือการตัดสินใจที่ผิดพลาดที่สุดในชีวิตเขา แค่เสี้ยววินาที สามารถพลิกผันชีวิตของคนได้ จากนี้หลิวเป่าต้องเสียใจแน่ จากที่เขาสามารถเลือกหนทางอันสดใสยาวไกล ติดตามหลินอิ่งสู่ความสำเร็จ แต่กลับเลือกที่จะคุกเข่า……

“ฉีโม่ พวกเราไปเถอะ งานเครื่องดับระดับสูงแห่งประเทศหลุง แบบนี้เหรอ? ไม่ต้องคุยแล้ว” หลินอิ่งพูดเสียงเรียบเฉย หันหลังจะเดินจากไป

จางฉีโม่สีหน้าลังเล สายตากังวล พยักหน้าอย่างเชื่อฟัง เดินตามหลังหลินอิ่ง

ตามนั้น หลินอิ่งเดินออกจากอาคารเหยียนหวงอย่างใจเย็น จางฉีโม่เดินอยู่ข้างกาย ฮาเดสออกไปขับรถที่ลานจอดรถก่อนแล้ว

เมื่อหลินอิ่งจากไปแล้ว ถึงมีคนกล้าเดินเข้าไป พยุงตัวสวีชิงซงที่ล้มอยู่บนพื้น

“คุณชายสวี เป็นอะไรไหม” จูฟางเข้ามาพูดอยากห่วงใย

“ไสหัวไป ไปหัวไปให้หมด” สวีชิงซงโวยวายเสียงดัง ตะโกนไม่หยุด ตบหน้าจูฟางที่เข้ามาประจบไปสองครั้ง

เมื่อกี้เขาทำอะไรหลินอิ่งไม่ได้ ตอนนี้ก็ทำได้แค่ระบายอารมณ์

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท