ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 262 จะตีแกจนกลายเป็นหนอน

บทที่ 262 จะตีแกจนกลายเป็นหนอน

บทที่ 262 จะตีแกจนกลายเป็นหนอน

เผชิญหน้ากับปืนสิบกว่ากระบอกที่เล็งมา มุมปากของฮาเดสก็ปรากฏรอยยิ้มอันเหี้ยมเกรียมออกมา

ในฐานะราชาสายลับแห่งต่างแดนที่ทำให้คนได้ยินแล้วขวัญผวา ฮาเดสก็ไม่รู้เช่นกันว่าผ่านภารกิจอันตรายระดับสุดยอดมาแล้วกี่ครั้ง พบเห็นสงครามใหญ่มาแล้วกี่หน อยู่ท่ามกลางการสังหารโหดในดงกระสุน ทั้งหมดก็คือที่มาของชื่อเสียงเขา

กับอีแค่ปืนสิบกว่ากระบอก ก็คิดว่าจะล้มเขาได้? ช่างน่าขันเสียเหลือเกิน

ปัง!

บอดี้การ์ดท่าทางเฉยชาคนหนึ่งเปิดฉากยิงก่อน โดยเล็งไปที่ขาของฮาเดส

แต่ ปรากฏฉากที่ทำให้คนไม่คาดคิดเกิดขึ้น

ร่างของฮาเดสถึงกับพุ่งนำหน้าออกไปก่อนหนึ่งก้าว ไปนั่งอยู่ตรงหน้าเหยียนหลงที่อยู่บนเก้าอี้ตัวใหญ่

เกิดเสียงแกร๊กดังขึ้น ตอนที่ปลอกกระสุนตกพื้น ฮาเดสก็พุ่งไปอยู่ตรงหน้าเหยียนหลงแล้ว เขายกมือคว้าลำคอของเหยียนหลง โดยกุมไว้หลวมๆ

“เฮ้ย! อะไรกัน? แกคิดจะทำอะไร!”

เหยียนหลงตกใจจนดวงตาเบิกกว้าง สีหน้าซีดเผือด เขาคิดไม่ถึงว่าจะถูกบอดี้การ์ดของหลินอิ่งจับไว้โดยไม่ทันตั้งตัว พอมือนี้คว้าได้ ลำคอก็เกือบจะถูกบีบหักเสียแล้ว

ขอเพียงฮาเดสออกแรงเพิ่มอีกนิด หรือบีบนานกว่านี้อีกเพียงสองนาที เขาจะต้องตายคามือไปทั้งอย่างนี้แน่

“โอ๊ยย!” เหยียนหลงร้องออกมาอย่างเจ็บปวด สีหน้าเปลี่ยนเป็นเขียวคล้ำ ถูกบีบจนเข้าสู่สภาวะขาดอากาศหายใจ สามารถขาดใจตายได้ทุกเมื่อ

“อย่า น้องชาย มีอะไรก็พูดจากันดีๆ อย่า อย่าทำแบบนี้!” เหยียนหลงกล่าวสีหน้าเต็มไปด้วยความหวาดกลัว

เขาถูกทำให้ตกใจแล้วจริงๆ นี่เป็นความสามารถพิสดารอะไรกัน?

ลงมือก่อนภายใต้การเล็งของมือปืนมากขนาดนี้ใต้อาณัติของตัวเอง ลูกกระสุนยังไม่ทันถูกตัวเขา เขากลับจับคนไว้ได้เสียก่อน

“รีบปล่อยท่านเหยียนนะ! ไอ้บ้านี่ แกคิดจะทำอะไร?”

“ปล่อยท่านเหยียน ไม่อย่างนั้นฉันยิงแกตายแน่!”

คนที่อยู่ใต้อาณัติทั้งหมดของเหยียนหลงต่างหวั่นวิตก เพียงชั่วเวลาสั้นๆ ลูกพี่ถูกคนจับตัวไว้ พวกเขาจึงไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรดี

ติดตามเหยียนหลงสู้เป็นสู้ตายอยู่ข้างนอกมาตั้งหลายปี ยังไม่เคยพบเจอเหตุการณ์และคนโหดเหี้ยมเช่นนี้มาก่อน

เขาก็คือปีศาจดีๆ นี่เอง ฝีมือรวดเร็วขนาดนี้ ขนาดถูกปืนสิบกว่ากระบอกเล็งอยู่ก็ไม่กลัว นี่เขาโผล่ออกมาจากที่ไหนกัน? “ถังฮุย หลินอิ่ง! ยังไม่รีบบอกให้บอดี้การ์ดโง่เง่าคนนี้ปล่อยมืออีก? หากทำร้ายลุงเหยียนฉันเข้า พวกแกสองคนต้องตายตามเขาไป! “สวีชิงซงขู่เสียงเย็น

หลินอิ่งมุมปากเยาะหยัน มองไปที่สวีชิงซง

“ให้ฉันตายตามไป? หลินอิ่งยิ้มเยาะ “นายมีสิทธิ์อะไร สิทธิ์ของพวกอีกาจับกลุ่มกันแบบนี้น่ะเหรอ?”

“แกพูดจาวางโตเกินไปแล้ว!” สวีชิงซงพูดอย่างเดือดดาล “วันนี้ฉันจะดูสิว่าแกจะออกจากเขตเหยียนหวงยังไง ทั้งด้านนอกด้านในล้วนเป็นคนของลุงเหยียนฉัน เป็นจำนวนหลายร้อยคน ต่อให้แกเป็นเทพเซียนก็ออกไปไม่ได้”

ฮาเดสมองสวีชิงซงด้ายสายตาเย็นเยียบ มือหนึ่งจับเหยียนหลงไว้ พุ่งเข้าไปใช้เท้าข้างหนึ่งถีบเข้าที่บั้นเอวของสวีชิงซง รวดเร็วราวสายฟ้าแลป

“โอ๊ยย!”

สวีชิงซงที่ถูกถีบส่งเสียงร้องโหยหวนราวกับหมูถูกเชือด ตัวคนกระเด็นจากข้างโต๊ะไปติดฝาผนัง จากนั้นก็ล้มลงบนพื้นอย่างแรง กระอักเลือดสดๆ ออกมาหลายคำ คิดจะเอ่ยปากพูดก็พูดไม่ออก มองฮาเดสอย่างเต็มไปด้วยความไม่ยินยอม

“พระเจ้า แกยังกล้าลงมืออีก? วันนี้พวกแกอยากจะตายกันอยู่ที่นี่ใช่ไหม?” หัวหน้าบอดี้การ์ดลูกน้องเหยียนหลงคนหนึ่ง ขู่เสียงเย็น

“รีบปล่อยท่านเหยียน พวกแกอาจยังมีทางรอด ไม่อย่างนั้น วันนี้ก็ต้องตายกันหมด!” หัวหน้าบอดี้การ์ดกล่าวเสียงเย็น มีท่าทางมั่นใจเต็มเปี่ยม

ในมุมมองพวกเขา หลินอิ่งกับบอดี้การ์ดข้างกายเขากำลังเป็นบ้า คนบ้าที่รนหาที่ตายโดยแท้

ที่นี่คือเขตเหยียนหวง เป็นฐานที่มั่นของท่านเหยียน ด้านในด้านนอกมีคนกว่าร้อยชีวิต หากพวกเขายังกล้าเล่นงานท่านเหยียนกับคุณชายสวีถึงตาย วันนี้ต่อให้พวกเขาติดปีกก็ยากจะหนีพ้น!

“ท่านอิ่ง หนนี้ พวกเราควรจะจบเรื่องยังไงดี?” ถังฮุยมองไปที่หลินอิ่งด้วยท่าทางเคร่งเครียด พลางถาม

เขาเองก็คิดไม่ถึงเช่นกัน หลินอิ่งมาเขตเหยียนหวงหนนี้ จะถึงกับคว่ำโต๊ะเพราะคุยกันไม่ถูกคอ การกระทำเช่นนี้ดูจะบ้าระห่ำอยู่บ้างจริงๆ

ต่อให้เหยียนหลงพูดยังไง แต่เขาก็คือก็อดฟาเธอร์ของเขตเหยียนหวงแห่งตี้จิง มีนักฆ่ามือฉกาจอยู่ใต้อาณัติจำนวนไม่น้อย โดยเฉพาะนี่ยังเป็นฐานที่มั่นของเขา หากคิดจะเดินออกไปอย่างสงบ คงยากจะเป็นไปได้แล้ว

เห็นหลินอิ่งยังดื่มชาด้วยสีหน้าสงบนิ่ง ถังฮุยก็กล่าวอย่างระแวดระวังว่า “ท่านอิ่ง หากรู้แต่แรกว่าคุณจะมาคว่ำโต๊ะ ผมจะได้พาลูกน้องมาที่นี่มากกว่านี้หน่อย ตอนนี้ ให้ผมโทรเรียกคนมาที่นี่ เป็นยังไง?” หลินอิ่งสีหน้าเป็นปกติ กล่าวเสียงเรียบว่า “ไม่ต้องเรียกคนมาที่นี่แล้ว”

“ครับๆ” ถังฮุยรีบพยักหน้า ไม่กล้าค้านความเห็นของหลินอิ่ง

พูดจบ หลินอิ่งก็ค่อยๆ ลุกขึ้น เดินไปหาเหยียนหลงที่ถูกฮาเดสจับไว้

“ไอ้คนแซ่หลิน แกยังคิดจะทำอะไรอีก?” เหยียนหลงมองหลินอิ่งด้วยสีหน้ามืดครึ้ม ในดวงตามีเปลวไฟลุกโชน อยากจะหยิบปืนมายิงฮาเดสกับหลินอิ่งให้ตายเสียเดี๋ยวนั้น ที่กล้าทำกับเขาเช่นนี้!

“ฉันจะบอกแกให้ เรื่องมาถึงขั้นนี้ แกจบมันไม่ลงแล้ว ฉันจะฆ่าแก!” เหยียนหลงคำรามเสียงต่ำ “ไม่ใช่แค่แกต้องตาย ทุกคนและญาติที่เกี่ยวข้องทางสายเลือดกับแก ฉันจะส่งคนไปไล่ฆ่าให้หมด!”

เพี๊ยะ!

หลินอิ่งเดินขึ้นมาตบหน้าเหยียนหลงไปหนึ่งที เหยียนหลงที่ถูกตบกัดฟันกรอด โกรธจนสั่นเทิ้มไปทั้งตัว

เพียงเวลาไม่นาน ก็อดฟาเธอร์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งตี้จิง จะได้รับความอัปยศอดสูเช่นนี้เชียวหรือ?

“อย่างแกเนี่ยนะคิดจะฆ่าฉัน?” หลินอิ่งกล่าวเสียงเย็นชา ดวงตาเอ่อล้นไปด้วยแววเข่นฆ่า

“เหยียนหลง? หึ ชื่อแกช่างไพเราะเหลือเกินนะ” หลินอิ่งกล่าวเนิบช้า “วันนี้ ฉันจะตีแกจนกลายเป็นหนอน”

พูดจบ หลินอิ่งก็คว้าเหยียนหลงมาจากมือฮาเดส ราวกับดึงสายว่าว เกิดเสียงดังพลั่กๆ เขาถูกปล่อยให้ล้มกระแทกกับพื้นอย่างแรงติดๆ กันหลายครั้ง ล้มจนเหยียนหลงหัวแตกเลือดไหลอาบ ร้องเสียงโหยหวน

จากนั้น หลินอิ่งก็ใช้เท้าข้างหนึ่ง เหยียบไปบนหน้าเหยียนหลงอย่างแรง เหยียนหลงที่ถูกเหยียบพ่นเลือดสดๆ ออกมาเต็มไปหมด เกิดเสียงร้องโหยหวนอย่างน่าเวทนา

เหยียนหลงมีท่าทีเดือดดาล โอดครวญอยู่ภายในใจ คิดไม่ถึงว่าคนแซ่หลินที่ดูไม่มีอะไร สุดท้ายกลับมีแรงเยอะขนาดนี้ เท้าที่เหยียบลงมาราวกับถูกรถบรรทุกกดทับ อวัยวะทั้งห้าเหมือนกับจะแหลกละเอียด

“เหยียนหลง ตอนนี้ฉันขอถามแกอีกครั้ง ฉันให้แกมอบตัวสวีชิงซงออกมา แกจะมอบ หรือไม่มอบ?” หลินอิ่งซักถามเสียงเย็น สายตาจ้องมองอย่างเย็นเยียบ

“แฮ่ก!” เหยียนหลงปากหอบหายใจครืดคราดไม่หยุด ภายในใจหวาดกลัวอย่างยิ่ง ไม่กล้าสบตากับหลินอิ่ง

เวลานี้เขาเพิ่งจะตระหนักว่า หลินอิ่งป่าเถื่อนได้เช่นนี้ ไม่เหมือนกับเป็นคนบ้านนอกและสุนัขรับใช้ที่คอยพึ่งฮุยสุงโดยสิ้นเชิง

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท