ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 249 ทำเป็นเจ้าสัวต่อหน้าท่านอิ่ง?

บทที่ 249 ทำเป็นเจ้าสัวต่อหน้าท่านอิ่ง?

บทที่ 249 ทำเป็นเจ้าสัวต่อหน้าท่านอิ่ง?

ถังฮุยเกิดคลั่งในงาน ทำเอาทุกคนในงานตกใจไปตามๆ กัน ราวกับเกิดเรื่องใหญ่เท่าฟ้าดิน

อันที่จริง ถังฮุยสำหรับพวกเขาแล้ว นั่นคือแผ่นฟ้าที่อยู่เหนือศีรษะ

ที่นั่งกันอยู่แม้จะมีฐานะทางสังคม ฐานะร่ำรวยไม่ธรรมดากัน แต่ระดับยังไม่พอ ต่อหน้าถังฮุยลูกพี่ใหญ่สุดในเขตจงเทียน ก็ยังไม่พอให้เหลียวมอง

แค่ถังฮุยเอ่ยปาก ก็สามารถทำให้พวกเขาหายไปจากโลกนี้จากเขตจงเทียนได้ในคืนนี้

เพียงแต่คนที่มีอำนาจล้นฟ้าในเขตจงเทียนก็อยู่ นึกไม่ถึงว่าจะออกหน้าแทนได้บ้านนอกคลุกขี้โคลนจากเมืองตุงไห่ แล้วยังเรียกไอ้เศษสวะเกาะผู้หฐิงกินนี้ว่าท่าน?

ช่างเป็นเรื่องเหลือเชื่อจริงๆ แทบจะกลบสิ่งที่พวกเขารู้มาจากปกติ

คราวนี้ ทุกคนต่างใช้สายตาผวาและหวาดกลัว มองไปยังหลินอิ่ง

ในหัวสมองพวกเขาหลุดคำสี่คำออกมาพร้อมกันโดยไม่ได้นัดว่า ลึกเกินจะคาด!

เรียกว่ามหาสมุทรยากจะหยั่งลึก หลินอิ่งคนผู้นี้ นึกไม่ถึงว่าจะมีเส้นสายใหญ่เช่นนี้ รู้จักกระทั่งถังฮุยที่น่าเกรงขาม

“ประธานถัง คุณ จะมากเกินไปหรือเปล่า?” สวีเหอทนระงับความโกรธ พูดอย่างไม่ยอมแพ้ว่า “ผมเคารพคุณ ศักยภาพของคุณก็เหนือกว่าผม แต่ว่า เอะอะอะไรก็ตบฉาดหูผม แล้วยังให้ผมต้องขอโทษคนแปลกหน้าอีก? คุณไม่เห็นตระกูลสวีในสายตาเกินไปแล้ว”

สวีเหอทนไม่ไหวแล้ว ถังฮุยตบฉาดที่หูเขายังพอทน แต่ยังจะให้เขาขอโทษต่อเศษสวะที่มาจากบ้านนอก เขาทนไม่ได้!

โดยเฉพาะ เป็นหลินอิ่งที่เขาเคยถากถาง พริบตาเดียวก็จะให้เขาขอโทษต่อฝูงชน แล้วต่อไปจะเชิดหน้าอยู่ในวงเพื่อนๆ ได้อย่างไร?

“ตระกูลสวี?” ถังฮุยมองสวีเหอด้วยสายตาเย็นชา ทำเสียงเย็นชาใส่ ท่าทางโมโหเพิ่มขึ้น

เพียะๆๆ

ถังฮุยกระโจนเข้าไปก็สองเตะสามหมัด ซ้อมสวีเหอจนถอยจนทรุด สะบักสะบอมจนคว่ำลงไปที่พื้น จนหน้าบวมจมูกเขียว

“ยังกล้าทำเป็นใหญ่ต่อหน้าท่านอิ่งอีกเหรอ? เป็นแค่ตัวกระจอกในตระกูลสวีเท่านั้นเอง แล้วยังคิดจะเป็นตัวแทนตระกูลสวี?” ถังฮุยพูดด้วยท่าทางไม่แยแส เหลือบตามองต่ำดูสวีเหอ “นายคิดว่าการขอโทษต่อท่านอิ่ง เป็นการขายหน้าเหรอ? ฉันจะบอกให้ ไม่ยอมขอโทษ ก็ตายซะเถอะ!”

ถังฮุยโกรธแล้วจริงๆ จนเส้นเลือดที่หน้าผากปูดออกมา จ้องสวีเหออย่างกินเลือดกินเนื้อ

สวีเหอยังจะกล้าถือตัว คิดว่าตัวเองเป็นใหญ่

ถ้าเป็นเวลาปกติ เขาจะจัดการเจ้าโง่ที่ไม่รู้จักที่ตายนี่ไปแล้ว

ต่อหน้าท่านอิ่ง ยังกล้าทำแบบนี้ ไม่ตายถือว่ามีจุดจบที่สวย

“นาย!” สวีเหอทั้งอายทั้งโกรธ อยากจะกู้หน้าคืน แต่ไม่มีศักยภาพพอ

เขายอมไม่ได้จริงๆ ถังฮุยตบหน้าเขาได้ แต่ว่า หลินอิ่งเป็นใคร? ไม่รู้ใช้วิธีไหนมาสอพลอถังฮุย ถึงกับทำให้ถังฮุยออกหน้าช่วยเขา

“ฉันจะนับถึงสาม อย่าบีบให้ฉันลงมือ” ถังฮุยพูดอย่างดุดัน

สวีเหอตัวสั่นไปทั้งตัว รู้สึกเหมือนโดนลบหลู่อย่างมาก มองไปยังหลินอิ่ง รู้สึกไม่เต็มใจ

มีสิทธิ์อะไร ที่จะให้เขาขอขมาลาโทษต่อไอ้เศษสวะบ้านนอกแบบนี้?

“ท่านอิ่ง จะให้จัดการคนผู้นี้อย่างไรดี?” เหงื่อซ่กเต็มหน้าผากถังฮุย มองไปยังหลินอิ่งถามด้วยความเคารพ

หลินอิ่งจิบน้ำชา พูดด้วยเสียงราบเรียบ “นายดูเอาเถอะ”

“ขอรับ” ถังฮุยโค้งศีรษะ ความกดดันในใจเพิ่มมากขึ้น

ท่านอิ่งให้อำนาจเต็มเขาจัดการ แล้วถ้ายังไม่สามารถทำให้ท่านอิ่งพอใจ เขาก็ต้องจบเห่แน่

พูดจบ ถังฮุยก็จ้องทะมึนไปยังสวีเหอ หยิบมือถือออกมาจากกระเป๋าเสื้อ

“ในเมื่อนายดื้อด้านอย่างนี้ อย่างนั้นฉันจะดูว่านายจะดื้อด้านได้ถึงเมื่อไหร่” ถังฮุยพูดด้วยความเผ็ดร้อน จุดเครื่องสังหารขึ้นแล้ว

“อย่า! อย่า! ประธานถัง ผมผิดไปแล้ว! ขอร้องล่ะ อย่าส่งคนมาเลย! ผมจะขอโทษต่อท่านอิ่งตอนนี้!” สวีเหอกุลีกุจอพูดขึ้นมา พอเห็นท่าทางถังฮุยจริงจังที่จัดการ ก็รีบอ้าปากยินยอม ทิ้งความยโสไปไกลเหนือเมฆ

เพราะท่าทางอย่างนี้ ถังฮุยถึงใจแข็งจะกำจัดเขาทิ้ง! นี่ไม่ใช่จะล้อเล่นกัน

นึกไม่ถึงจริงๆ ว่าหลินอิ่งจะให้ถังฮุยออกเรี่ยวแรงได้ขนาดนี้ ทว่าแค่ถากถางเขาไม่กี่คำเท่านั้นเอง?

“ผมขอโทษ ประธานหลิน ก่อนหน้าที่ผมเคยล่วงเกินไป ขอคุณอย่าได้ถือสา” สวีเหอก้มศีรษะพูด ฝืนยิ้มยกแก้วเหล้าขึ้นมา

“ประธานหลิน ผมขอดื่มให้คุณหนึ่งแก้ว ผมสมควรรับโทษ” สวีเหอพูดจาเสียงแข็ง เห็นได้ชัดว่าในใจยังไม่ยอม รู้สึกถูกสบประมาท

หลินอิ่งพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “คารวะเหล้า? คุณสมบัตินายยังไม่พอ”

สีหน้าของสวีเหอดูไม่ได้ถึงขั้นสุด นึกไม่ถึงว่าหลินอิ่งจะไม่ยอมอ่อนข้อให้เขา

ก่อนหน้าหลินอิ่งจะดื่มแทนเขาก็ไม่ให้ดื่ม ปรากฏ ตอนนี้จะคารวะเหล้าต่อคนอื่น กลับถูกบอกว่าไม่มีคุณสมบัติ ปากหาเรื่องให้ตัวเองแท้ๆ น่าขายหน้าจริงๆ!

ส่วนคนที่อยู่ในงาน ต่างตกตะลึงในฉากนี้กัน ตกใจกันจนพูดไม่ออก

ฉากนี้พลิกผันจนทำให้คนต้องตะลึงจริงๆ ถังฮุยอยู่ๆ ก็มา บังคับให้สวีเหอแห่งตระกูลสวีที่ยิ่งใหญ่ ต้องขอโทษต่อหลินอิ่ง

ไวน์ชื่อดังสองขวดก่อนหน้าถังฮุยให้คนส่งมา

หลินอิ่งที่ถูกพวกเขาถากถางเยาะเย้ย มีที่มาเป็นอย่างไรกัน? เขาไปเอาเกียรติมาจากไหน?

เวลานี้คนที่มีสีหน้าเยอะที่สุดไม่พ้นจูฟาง เธอมองดูหลินอิ่งอย่างแทบไม่น่าเชื่อ

ชื่อเสียงของหลินอิ่งในตุงไห่ ก็คือเศษสวะเกาะผู้หฐิงกิน นึกไม่ถึงว่าจะมีเส้นสายอย่างนี้ แม้แต่ถังฮุยก็ต้องไว้หน้าเขา แทบไม่น่าเชื่อเลย

สีหน้าของจางฉีโม่ก็มีความปีติ เธอไม่มีไอเดียเกี่ยวกับอิทธิพลของถังฮุยเลย ว่าแต่เห็นสวีเหอหวาดกลัวขนาดนี้ ก็รู้ว่า ที่แท้เพื่อนของหลินอิ่งที่ตี้จิงก็ร้ายกาจอย่างนี้

เห็นหลินอิ่งไม่แสดงท่าทีอะไรอีก ถังฮุยก็กล่าวด้วยความนอบน้อมว่า “ท่านอิ่ง พี่ใหญ่หยูให้ผมมาเชิญท่านไปขอรับ”

หลินอิ่งพยักหน้าเล็กน้อย พูดว่า “อย่างนั้นก็ไปกันเถอะ”

พูดเสร็จ ถังฮุยก็เปิดประตูห้องVIPออก หลินอิ่งไม่สนใจสวีเหอที่หมอบอยู่บนพื้น ลุกขึ้นออกไป จางฉีโม่ก็เดินตามหลังหลินอิ่งไปติดๆ

พอทั้งสามคนจากไป คนที่อยู่ในงานจึงจะกล้าหายใจแรง รู้สึกว่าความกดดันอยู่ก็อันตรธานหายไป

การมาของถังฮุย สร้างความกดดันต่อพวกเขามากจริงๆ!

ท่าทางของสวีเหอเดือดสุดขีด อยากจะลุกขึ้นแต่ก็ไม่ไหว ถูกถังฮุยเตะด้วยสองเท้าจนกระดูกทั่วตัวแทบจะกระจุย สองหนุ่มเห็นสภาพ ก็รีบพยุงสวีเหอขึ้นมาทันที

“คุณชายสวี เรื่องนี้ให้จบกันแค่นี้เหรอ ไอ้บ้านนอกนั่นถึงกับกล้าใช้อิทธิพลของถังฮุยมาเกทับท่าน ไม่รู้จักที่ตายแล้ว” สุนัขรับใช้ตัวหนึ่งพูดขึ้นมา

“ช่างเถอะ? ฉันจะให้มันเสียใจในภายหลังกับสิ่งที่เลือกในวันนี้ อย่าคิดจะออกไปจากเมืองตี้จิงอย่างนี้ สายตาของสวีเหอเต็มไปด้วยความแค้นพูดว่า “พี่จู ช่วยผมจับตาดูจางฉีโม่กับหลินอิ่งที เรื่องนี้ ผมไม่ปล่อยหลินอิ่งไปง่ายๆ แน่”

ต่อให้รับมือถังฮุยไม่ได้ แล้วจะรับมือหลินอิ่งไม่ได้เชียวหรือ?

สวีเหอตัดสินใจแน่นอน ไม่ว่าอย่างไรก็ตามต้องระบายความแค้นนี้ให้ได้!

เขาไม่เชื่อว่า ถังฮุยจะปกป้องหลินอิ่งไปได้ตลอด ต้องมีสักวันที่หลุดมือมาแน่?

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

นิยายแนะนำ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท