ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 264 หากร้องอีกจะระเบิดสมองแกซะ

บทที่ 264 หากร้องอีกจะระเบิดสมองแกซะ

บทที่ 264 หากร้องอีกจะระเบิดสมองแกซะ

“ฉันไม่มีความสามารถนี้?” เหยียนหลงแววตาตกตะลึง เขาคิดไม่ถึงว่าหลินอิ่งจะพูดเช่นนี้ออกมา “ลูกน้องฉันต่างมาถึงที่นี่กันหมดแล้ว ฉันคิดว่า มีคนตั้งมากขนาดนี้อยู่ที่นี่ ยังจัดการนายไม่ได้อีกเหรอ?”

“บอกตามตรง หลินอิ่ง ฉันยอมรับว่านายกล้าหาญเกินคน อาศัยแค่ความกล้านี้ ก็นับว่าเป็นบุคคลที่พบเห็นได้น้อยแล้ว” เหยียนหลงกล่าวอย่างช้าๆ “คนของสวีชิงซง นายเองก็เล่นงานไปแล้ว เรื่องเลยเถิดมาจนถึงขั้นนี่ หากยังไม่ยอมรามืออีก เรื่องก็คงจะจบลงได้ยากแล้ว”

หลินอิ่งยกชาขึ้นจิบอย่างไม่อนาทรร้อนใจ ไม่แสดงท่าทีใดๆ ทั้งสิ้น

เหยียนหลงสีหน้าเคร่งเครียด เขาไม่เข้าใจจริงๆ ว่า แท้จริงแล้วหลินอิ่งไปเอาความมั่นใจมากจากไหน ทำไมถึงได้มีพลังแห่งการเชื่อมั่นในตัวเองแข็งแกร่งขนาดนี้? ก่อเรื่องในเขตเหยียนหวงใหญ่โตเช่นนี้ ยังดื่มชาอย่างใจเย็นได้อีก?

ในใจเขาเริ่มเสียใจภายหลังที่ช่วยสวีชิงซงออกหน้าขึ้นมาบ้างแล้ว เดิมทีนึกว่าแค่จัดการเด็กของถังฮุยคนหนึ่ง แต่ตอนนี้เห็นที หลินอิ่งผู้นี้ชัดเจนว่าจะไม่ใช่คนธรรมดาเสียแล้ว

ตอนนี้รู้สึกว่า ชีวิตตนเองถูกคนกำไว้ในมือ ถูกคนโขกสับอยู่ในถิ่นตัวเอง เสียหน้าไปหมดแล้วก็ช่างเถอะ แต่ยังคงอกสั่นขวัญแขวน

โดยเฉพาะ ทำดีแล้วไม่ได้ดี

ท่าทางวันนี้ หลินอิ่งต้องการจะจัดการสวีชิงซงให้ได้

ทำให้เขาตกอยู่ในสภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ขอนั่งมองโดยไม่สนใจแล้วกัน หากสวีชิงซงถูกหลินอิ่งพาตัวไปโยนทิ้งทะเลจริงจะทำยังไง? เรื่องหลังจากนั้น ตระกูลสวีของตี้จิงจะไม่มาหาเขาคิดบัญชีเป็นคนแรกหรอกหรือ? หากฝืนปกป้องสวีชิงซง ชีวิตอาจต้องสูญเสียก็เป็นได้

“ลุงเหยียน! คืนนี้คุณต้องปกป้องผมนะ ห้ามให้ไอ้คนแซ่หลินพาตัวผมไป!” สวีชิงซงกล่างวิงวอน ถูกถังฮุยใช้ปืนจี้อยู่ด้านหลัง ในใจจึงค่อนข้างหวาดกลัว

ในฐานะลูกเศรษฐีที่เอาแต่กินดื่มเที่ยวผู้หญิงคนหนึ่ง สวีชิงซงจึงเคยพบเห็นโลกมาไม่น้อย แต่ยังไม่เคยพบเห็นเหตุการณ์ใหญ่อย่างในคืนนี้มาก่อน

เหยียนหลงหัวหน้าแก๊งในเขตเหยียนหวงอันยิ่งใหญ่ถูกคนทุบตีอยู่ในถิ่นตนเองก็แล้วไปเถอะ ผลคือแม้แต่ลูกน้องกว่าร้อยคนพกปืนมาที่นี่ กลับยังคงรักษาความสงบไว้ไม่ได้

ดูท่าทางแล้ว หลินอิ่งกับถังฮุยจะไม่สนใจอิทธิพลของเหยียนหลงโดยสิ้นเชิง และไม่แยแสภูมิหลังฐานะตระกูลสวีของตน ยืนกรานจะกำจัดตนเองให้ได้!

“ชิงซง แกวางใจ อยู่ที่นี่ นอกจากพวกเขาจะไม่ต้องการชีวิตแล้ว ไม่อย่างนั้น ก็อย่าคิดจะพาแกไป” เหยียนหลงฝืนทำใจกล้าเอ่ยออกมา

พูดจบ เหยียนหลงก็ส่งสายตาเป็นนัยให้ฮัวศือครั้งหนึ่ง

ฮัวศือพยักหน้าอย่างรู้งาน ยกปืนในมือขึ้นมาอีกครั้ง ชายในชุดสูทสีดำกลุ่มนั้น ก็พากันยกปืนขึ้นมาเล็งไปทางพวกหลินอิ่งเช่นกัน

หลินอิ่งมุมปากกระตุกขึ้นเป็นรอยยิ้มเยาะ มองเหยียนหลงแวบหนึ่ง “แกต้องการสละชีวิต เพื่อรักษาไอ้โง่นี่ไว้?”

เหยียนหลงสีหน้าเคร่งเครียดถึงขีดสุด ไม่กล้าตอบอะไรหลินอิ่งไปชั่วขณะ

นี่เป็นเวลาเคร่งเครียดราวกับของหนักพันชั่ง แขวนอยู่บนผมเส้นเดียว ไม่รู้ว่าหลินอิ่งจะทำเรื่องบ้าบิ่นอะไรออกมา ต่อให้ต้องปลาตายตาข่ายขาด เขาก็ไม่กล้าทำให้หลินอิ่งโกรธ

ตึก ตึก

ตอนที่กำลังอยู่ในความเงียบสงัด ทุกคนต่างเคร่งเครียดและเงียบงันนี้ จู่ๆ ที่นอกประตูก็มีเสียงก้าวเดินของรองเท้าหนังดังกังวานเข้ามา

ชายวัยกลางคนสวมเสื้อแจ็คเก็ตสีน้ำตาล หน้าตาดูน่าเกรงขามอย่างยิ่ง ที่ข้างตัวมีผู้ติดตามสิบกว่าคน เดินเข้ามาในห้องอาหาร

“นี่ นี่คือ? หยูจื๋อเฉิง?” เหยียนหลงขมวดคิ้วมองคนที่มาใหม่

“ลูกพี่หยู คุณมาพอดี ฮุยสุงกับหลินอิ่งคนนี้ที่เป็นลูกน้องคุณ กำลังก่อเรื่องในถิ่นผม ดึงดันจะพาตัวคุณชายรองตระกูลสวีไปให้ได้ แถมยังชักปืนมาจ่อผม เรื่องนี้ คุณต้องหาคำอธิบายมาให้ผม” เหยียนหลงกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง

หยูจื๋อเฉิงไม่ได้สนใจเหยียนหลงแม้แต่น้อย มองหลินอิ่งด้วยสีหน้าเคร่งเครียด พลางปาดเหงื่อบนหน้าผากออกหนึ่งที

“ท่านอิ่ง ผมมาช้าไป ขออภัยด้วย ทางคุณไม่ได้เกิดปัญหาอะไรใช่ไหม?”

พอหยูจื๋อเฉิงได้ยินว่าหลินอิ่งกับถังฮุยไปเขตเหยียนหวงเพื่อเจรจากับเหยียนหลง ก็รีบรุดมาที่นี่ทันที คิดไม่ถึงว่าตอนมาที่นี่ สถานการณ์จะตึงเครียดเช่นนี้แล้ว เหยียนหลงถึงกับกล้าให้คนหันปืนใส่หน้าท่านอิ่ง? นี่หากยิงไปแล้ว เช่นนั้นสวรรค์อย่างตี้จิงนี้ได้พังทลายแน่!

“ไม่มีปัญหาอะไร” หลินอิ่งพูดอย่างสบายๆ

“ท่านอิ่ง? นี่มันเรื่องอะไรกัน?” เหยียนหลงรู้สึกว่าสถานการณ์ผิดปกติเกินไป ทำไมหยูจื๋อเฉิงถึงเรียกคนแซ่หลินว่าท่าน?

หรือว่า หลินอิ่งผู้นี้ไม่ใช่ลูกน้องของถังฮุยกับหยูจื๋อเฉิง แต่ยังเป็นบุคคลสำคัญที่มีที่มาใหญ่โตคนหนึ่ง?

“ลูกพี่หยู ผมคือสวีชิงซง พ่อผมสวีฉางเฟิงคุณเองก็รู้จัก” สวีชิงซงเอ่ยปากพูด “ลูกน้องคุณเอาปืนมาจ่อศีรษะผมกับลุงเหยียน ถ้าคุณไม่หาคำอธิบายให้ผม เรื่องนี้ไม่จบแน่”

ในมุมมองของสวีชิงซง ที่หยูจื๋อเฉิงมาที่นี่ด้วยตนเอง บางทีเรื่องราวยังพอจะจัดการได้บ้าง ที่เรียกกันว่าต่อกรกับยมบาลง่ายกว่าต่อกรกับบริวาร ถังฮุยกับหลินอิ่งทั้งสองคนเป็นลูกน้อง ก่อเรื่องวุ่นไม่รู้จักที่ตาย แต่หยูจื๋อเฉิงเป็นลูกพี่ และเคยพบเห็นความร้ายกาจของตระกูลสวีแห่งตี้จิง ควรที่จะรู้ความ รู้จักหนักเบาสินะ?

“ฉันจะมอบคำอธิบายให้นาย” หยูจื๋อเฉิงพูดด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก

“ดี! ยังคงเป็นลูกพี่หยูจัดการเรื่องราวได้อย่างเหมาะสม” เหยียนหลงพูด พลางถอนหายใจด้วยความโล่งอก ราวกับรอดชีวิตจากหายนะ

สวีชิงซงที่ท่าทางเคร่งเครียดก็ผ่อนคลายลงเช่นกัน มองไปทางหลินอิ่ง กล่าวอย่างลำพองใจว่า “หลินอิ่ง แม้แต่ลูกพี่แกก็ออกปากพูดแล้ว แกยังไม่ให้พวกเขาปล่อยฉันกับลุงเหยียนอีก? ยังกล้าอวดดีอีก? แกตกที่นั่งลำบากแล้วรู้ไหม?”

ปัง!

เพิ่งจะสิ้นเสียงพูดสวีชิงซิง หยูจื๋อเฉิงก็ยกปืนยิงไปที่ขาของเขาหนึ่งนัด

“อ๊าก!”

สวีชิงซงคุกเข่าล้มลงไปบนพื้นอย่างเจ็บปวด ร้องโหยหวน แววตาเต็มไปด้วยความหวาดกลัวจ้องหยูจื๋อเฉิง

“นี่! ลูกพี่หยู คุณ คุณยิงหรือ?”

“นี่ นี่……”

ฉากนี้ ทำให้คนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างสั่นสะท้านไปทั้งตัว ไม่มีใครคาดคิดว่า หยูจื๋อเฉิงเดินขึ้นมา ใช้ปืนยิงสวีชิงซง แบบนี้มันน่าตกใจเกินไป!

แม้แต่ฮัวศือ ลูกน้องของเหยียนหลงกลุ่มนั้น เวลานี้ไม่กล้าขยับเขยื้อน แต่ละคนตกใจจนใบหน้าถอดสี

“สวีชิงซง หากแกกล้าโวยวายต่อหน้าท่านอิ่งอีกคำเดียว ฉันจะระเบิดสมองแกซะ” หยูจื๋อเฉิงพูดอย่างโหดเหี้ยม

เหยียนหลงสองตาหวาดกลัว และคิดไม่ตกเช่นกัน ว่านี่เป็นเรื่องอะไรกัน คนสุขุมอย่างหยูจื๋อเฉิง ทำไมถึงทำเรื่องบ้าบิ่นเช่นนี้ออกมาได้? เขาคิดจะเปิดศึกกับตระกูลสวีจริงๆ เหรอ?

“ไม่! อย่าฆ่าฉันเลยนะ! ลุงเหยียน รีบช่วยผมเร็วเข้า บอกให้คนของคุณช่วยผมที นี่มันเป็นถิ่นของคุณนะ” สวีชิงซงตกใจจนขวัญกระเจิง ร้องขึ้นมาราวกับคนเสียสติ ตกใจที่ถูกยิงจนความกล้าหายไปหมด

“เหยียนหลง คนของฉันต่างรออยู่นอกโรงแรมเหยียนซื่อ” หยูจื๋อเฉิงมองไปทางเหยียนหลง กล่าวอย่างสงบนิ่งว่า “นายคิดดูให้ดี นายมีความสามารถพอจะมาสู้กับฉันเหรอ?”

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท