ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 265 ไม่เต็มใจก็ต้องก้มหัว

บทที่ 265 ไม่เต็มใจก็ต้องก้มหัว

บทที่ 265 ไม่เต็มใจก็ต้องก้มหัว

เหยียนหลงรู้สึกขมฝาด ไม่กล้าโต้แย้งคำพูดของหยูจื๋อเฉิง

เขาเคยคิดถึงที่ไหนกันว่า หยูจื๋อเฉิงจะออกหน้ามาจัดการเรื่องนี้ด้วยตัวเอง แถมพอมาถึงก็ยิงเลย และยังจัดวางคนของตัวเองไว้ในโรงแรมเพื่อคอยจับตาดู ลงแรงไปมากขนาดนี้ ก็เพราะต้องการช่วยคนบ้านนอกที่มาจากชนบทคนหนึ่งอย่างหลินอิ่งน่ะเหรอ?

ควรรู้ว่า ด้วยอิทธิพลของหยูจื๋อเฉิงตอนนี้ ห่างจากเขาเหยียนหลงไปไกลแล้ว

“ลูกพี่หยู ในเมื่อเรื่องนี้คุณเป็นคนออกหน้า อย่างนั้นสวีชิงซงผมก็ขอไม่ยุ่งด้วยแล้ว” เหยียนหลงก้มหน้ายอมแพ้

“ลูกพี่หยู ผมกับคุณน้ำบ่อไม่ยุ่งน้ำคลอง คืนนี้ ผมหวังแค่ว่าคุณจะไม่ทำเรื่องนี้เด็ดขาดเกินไปนัก” เหยียนหลงพูดด้วยความรู้สึกขมฝาด

พูดจบ เหยียนหลงก็มองไปที่สวีชิงซงอีกครั้ง กล่าวจริงจังว่า “ชิงซง เรื่องนี้ ฉันยุ่งไม่ได้แล้ว”

ความจริงเขาอยากยุ่ง อยากช่วยสวีชิงซง เพราะอย่างไรเขาก็เป็นลูกชายของพี่น้องร่วมสาบานของตน

แต่ปัญหาคือ อีกฝ่ายแข็งแกร่งกว่า!

ตอนแรกก็ถูกหลินอิ่งจับคนไว้อย่างไม่คาดคิด ต่างฝ่ายต่างไม่ลงรอบกัน ตอนนี้ หยูจื๋อเฉิงออกหน้าด้วยตัวเอง พาคนกลุ่มใหญ่มาล้อมโรงแรมเหยียนซื่อไว้ แม้กระทั่งความมั่นใจสุดท้ายก็หายไปหมดแล้ว

เวลานี้ ยังจะเอาอะไรไปปกป้องสวีชิงซงอีก ชีวิตงั้นเหรอ?

“หา! อะไรนะ ลุงเหยียน? คุณไม่ยุ่งแล้ว?” สวีชิงซงสีหน้าหวาดกลัว “ไม่นะ ลุงเหยียน คุณต้องปกป้องผมนะ พวกเขาจะฆ่าผม!”

สวีชิงซงเดิมทีเลือดออกจมูกอยู่แล้ว พลันถูกหยูจื๋อเฉิงยิงเข้าอีกนัด ตกใจจนขวัญหายไปหมดแล้ว เวลานี้จึงถูกทำให้ตกใจจนฉี่ราดกางเกงไปหมดแล้ว

สวีชิงซงล้มแน่นิ่งอยู่บนพื้น ร่างกายสั่นเทิ้มไปทั้งร่างมองหยูจื๋อเฉิง พูดอ้อนวอนว่า “ลูกพี่หยู ยั้งมือไว้ไมตรีด้วย คุณเห็นแก่หน้าปู่ผมกับพ่อผม ให้ทางรอดผมได้ไหม? หากทำเกินกว่าเหตุ ก็ไม่เป็นผลดีต่อคุณเช่นกัน”

“ลูกพี่หยู ผมไม่ได้ล่วงเกินคุณ ทำไมถึงลงมือหนักแบบนี้? ตอนนี้ผมจะโทรหาพ่อผม ให้เขาคุยกับคุณ ถือเสียว่าไว้หน้าพ่อผมสักครั้งได้ไหม?” สวีชิงซงวิงวอนกล่าว

สวีชิงซงสมองสับสนไปหมด เขาไม่เคยผ่านเหตุการณ์ที่ทำให้ตกใจเช่นนี้มาก่อน ทำคนตกใจเกินไป และไม่รู้ว่า เขาแค่ล่วงเกินหลินอิ่งคนเดียวเท่านั้นเอง ทำไมหยูจื๋อเฉิงถึงไม่สนใจผลที่ตามมา เข้ามาก็ทำท่าอยากจะฆ่าแกงกัน

หากบอกว่า สวีชิงซงก่อนหน้านี้ยังมีท่าทีหยิ่งยโสมากมาย หรือมีระดับความเชื่อมั่นในตัวเองแข็งแกร่ง ถ้าอย่างนั้น การยิงปืนครั้งนี้ของหยูจื๋อเฉิง ก็คือการยิงเขากลับสู่ร่างเดิม ความมั่นใจและการพึ่งพาทั้งหมดล้วนพังยับเยินหมดสิ้น กลายเป็นสุนัขตายที่น่าสงสารตัวหนึ่ง

“ขอความเมตตาจากฉัน? ขอฉันมีประโยชน์อะไร? คนที่แกล่วงเกินคือท่านอิ่ง” หยูจื๋อเฉิงพูดเสียงเย็น

สวีชิงซงช่างรนหาที่ตายจริงๆ ถึงกับตามเหยียนหลงแห่งเขตเหยียนหวง ไปจัดการท่านอิ่ง? นี่ไม่ใช่เป็นการกระตุกหนวดเสือหรอกหรือ?

หากสวีฉางเฟิงรู้ว่าลูกชายเขาไม่รู้จักที่ตาย คิดจะหาคนไปจัดการฉีหยิ่นแห่งตี้จิง เกรงว่า ตัวสวีฉางเฟิงเองคงจัดการสวีชิงซงด้วยมือตนเองไปแล้ว

“ลูกพี่หยู คุณเรียกเขาว่าท่านอิ่ง?” สวีชิงซงสีหน้าหวาดผวา มองไปทางหลินอิ่งอย่างไม่อยากจะเชื่อ

หลินอิ่งเป็นแค่เพียงสุนัขรับใช้ที่คอยประจบถังฮุยตัวหนึ่งไม่ใช่เหรอ? ทำไมแม้แต่หยูจื๋อเฉิงถึงเรียกเขาว่าท่านอิ่งด้วยล่ะ?

นี่จะเป็นไปได้อย่างไรกัน? หยูจื๋อเฉิงเจ้าพ่อผู้ยิ่งใหญ่ราวกับดวงตะวันกลางฟ้าแห่งเขตจงเทียน เพราะเอาลูกเขยไร้ค่าที่ขึ้นชื่อในเมืองตุงไห่มาเคารพนับถือเป็นลูกพี่ จะถึงขั้นยิงคุณชายตระกูลสวีอย่างตนเองอย่างไม่สนสิ่งใดเชียวหรือ?

หยูจื๋อเฉิงคร้านจะสนใจสวีชิงซงอีก เขาโบกมือ ส่งสัญญาณให้บอดี้การ์ดสองคนที่ข้างกาย ไปพาสวีชิงซงออกไป

“อย่า! อย่าเข้ามานะ!” สวีชิงซงตกใจจนหน้าซีด ล้มลงกับพท้นจากนั้นก็ถอยหลังไปเรื่อยๆ

สีหน้าหวาดกลัว สวีชิงซงคิดวิธีการใดๆ ไม่ออกแล้ว นั้คือถิ่นของเหยียนหลง แม้แต่เหยียนหลงยังไม่กล้าแตะต้องเขา สถานการณ์นี้รุนแรงอย่างยิ่ง

เขาหยิบมือถือออกมาจากกระเป๋าอย่างรีบร้อน โทรศัพท์ด้วยนิ้วมืออันสั่นเทา คิดจะโทรหาบิดาเขา

บิดาของสวีชิงซง สวีฉางเฟิง เป็นผู้อาวุโสลำดับที่สามของตระกูลสวีแห่งตี้จิง นับเป็นหนึ่งในผู้กุมอำนาจคนสำคัญของตระกูลสวี เป็นตัวแทนในโลกธุรกิจ ในมือกุมทรัพยากรทางการค้าไว้มหาศาล กับทรัพย์สินเงินทองที่ยากจะคำนวณออกมาได้

เมืองใหญ่ที่เต็มไปด้วยอาชีพหลากหลายและเป็นที่ที่คนดีคนเลวอยู่ปะปนกันอย่างตี้จิงนี้ ท่านสวีฉางเฟิงนับเป็นผู้ทรงอิทธิพลคนหนึ่ง ค่อนข้างที่จะมีหน้ามีตา

เกิดเสียงโครมครามดังขึ้น หยูจื๋อเฉิงพุ่งเข้ามาถีบไปที่แขนของสวีชิงซงอย่างไม่เกรงใจ ทำให้ร่างเขากระเด็นออกไปไกลสิบกว่าเมตร มือถือเองก็หล่นลงบนพื้นเสียงดังโครม

“ลูกพี่หยู! ผม ผม ให้โอกาสผมสักครั้ง ฉันจะให้พ่อผมกับคุณโทรคุยกัน วันนี้ผมทำผิดไปแล้ว ตระกูลสวีของเราจะต้องเสนอเงื่อนไขที่พอใจให้กับพวกคุณแน่” สวีชิงซงสั่นเทิ้มไปทั้งร่าง พูดละล่ำละลักออกมา

“หึ สวีชิงซง สุนัขโง่อย่างแก ตระกูลสวีมีทายาทเช่นนี้ ถือเป็นสายเลือดเลวไปแปดชั่วอายุคน” หยูจื๋อเฉิงแค่นเสียงเย็นชา ทำท่าทางเหยียดหยาม

“สวีชิงซง โทรหาพ่อแกจะมีประโยชน์อะไรล่ะ? ต่อให้วันนี้เป็นพ่อแกสวีฉางเฟิงมาที่นี่ด้วยตัวเอง ก็ช่วยอะไรแกไม่ได้!” หยูจื๋อเฉิงกล่าวเสียงเย็นเยียบ

“ไม่……” สวีชิงซงตกสู่ความสิ้นหวัง แววตาหวาดกลัวเป็นอย่างยิ่ง

คืนนี้แรงกดดันที้เขามันมหาศาลเกินไป แทบจะทำให้คนแหลกสลาย

สวีชิงซงถือว่าภูมิหลังของตระกูลกว้างขวาง แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าหลินอิ่งกลับไม่มีประโยชน์อันใด

เขาคิดไม่ตกจริงๆ ผู้ชายที่น่ากลัวคนนี้ มีความเป็นมายังไงกันแน่!

“อย่าพาตัวฉันไป อย่าฆ่าฉัน อย่าฆ่าฉัน ขอร้องล่ะ ปล่อยฉันไปเถอะ! ท่านอิ่ง ขอร้องล่ะ!”

เกิดเสียงของหนักกระทบพื้นดังขึ้น สวีชิงซงพลันคุกเข่าสองข้างลงกับพื้น ทั่วร่างสั่นอย่างบ้าคลั่ง หน้าผากเหงื่อผุดออกมาเป็นสาย

ภายในใจเขาแหลกสลายไปแล้ว ในใจรับแรงกดดันมหาศาลอันน่าสะพรึงกลัวนี้ไม่ไหว

ความถือดีและศักดิ์ศรีของเขา เวลานี้อ่อนแอและซีดจางอย่างยิ่ง

อยู่ต่อหน้าความเป็นความตาย สวีชิงซงโยนภูมิหลังวงศ์ตระกูลและความฟุ้งเฟ้อทิ้งไปหมดแล้ว นั่นก็เพราะเป็นคนใจเสาะไร้ศักดิ์ศรีคนหนึ่ง

ทั้งห้องเงียบสงัด เหยียนหลงถูกกดลงบนโต๊ะด้วยสภาพน่าอึดอัด ส่วนสวีชิงซงก็คุกเข่าอยู่บนพื้นท่าทางประหลาด หน้าตาฟกช้ำดำเขียว ที่ขามีรอยเลือด กางเกงก็เปียกแฉะ ทั่วตัวส่งกลิ่นไม่พึงประสงค์ออกมา ดูไปแล้วยิ่งน่ารังเกียจมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งจนตรอกมากเท่านั้น

หลินอิ่งมองสวีชิงซงแวบหนี่งด้วยสีหน้าสงบนิ่ง พลางส่ายศีรษะ

คนไร้ค่าเช่นนี้ ฆ่าไปก็เปื้อนมือตัวเองเปล่าๆ

“ไปเถอะ”

หลินอิ่งลุกขึ้น หมุนตัวเดินจากไป ฮาเดสตามติดอยู่ด้านหลัง ส่วนถังฮุนก็ตามไปอย่างนอบน้อมเช่นกัน

หยูจื๋อเฉิงมองเหยียนหลงกับสวีชิงซงด้วยสายตาเย็นเยียบแวบหนึ่ง กล่าวเสียงขรึมว่า “วันนี้พวกนายสองคนโชคดี ที่ท่านอิ่งปล่อยพวกนายไป คราวหลังหากกล้าทำตัวมุทะลุอีก ฉันจะฆ่าพวกนายสองคนซะ!”

“ครับ ลูกพี่หยู ครั้งนี้ผมทำไม่ถูกเอง ล่วงเกินแล้ว” เหยียนหลงก้มหน้าพูด ไม่กล้าโต้แย้งโดยสิ้นเชิง

สวีชิงซงก็คุกเข่าอยู่บนพื้นราวกับสุนัขตาย สองตาไร้แวว ยังคงมีท่าทางตกใจสุดขีด

หยูจื๋อเฉิงแค่นเสียงเย็นชา ไม่ได้สนใจคนทั้งสองอีก หมุนตัวเดินตามหลินอิ่งไป

ส่วนลูกน้องของเหยียนหลงที่อยู่ในเหตุการณ์ แต่ละคนต่างตกตะลึงจนตาค้าง มองพวกหลินอิ่งจากไปเฉยๆ ไม่กล้าทำตัวเหลวไหลสักคน

เพราะอย่างไร ขบวนรถหลายสิบคันของหยูจื๋อเฉิง ก็จอดอยู่ด้านนอกของโรงแรม แม้แต่ลูกพี่ของพวกเขาเหยียนหลงยังไม่กล้าสู้อย่างเปิดเผยต่อหน้าหยูจื๋อเฉิงด้วยซ้ำ

“อ๊ากก! ลุงเหยียน ผมไม่ยินยอม! ผมไม่ยอมแพ้หรอก ลูกเขยไร้ค่าอย่างมันถือดีอะไรมาเหยียบหัวผม!” สวีชิงซงแผดเสียงร้องโวยวายราวกับคนเสียสติ สีหน้าเต็มไปด้วยความเจ็บปวด ไม่ยินยอมเป็นอย่างยิ่ง

เหยียนหลงมองสวีชิงซงด้วยสายตาหยั่งลึกแวบหนึ่ง ถอนหายใจออกมา พลางกล่าวว่า “ชิงซงเอ๋ย แกไม่เต็มใจก็ต้องก้มหน้า”

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท