ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 266 เพื่อนเก่าขอความช่วยเหลือ

บทที่ 266 เพื่อนเก่าขอความช่วยเหลือ

บทที่ 266 เพื่อนเก่าขอความช่วยเหลือ

“ก้มหน้า! ไม่มีทาง ผมต้องแก้แค้นเอาคืนแน่!” สวีชิงซงกล่าวอย่างไม่ยอมแพ้ แผดร้องคำรามราวกับคนเสียสติ

เขาไม่มีทางที่จะเลิกราไปทั้งอย่างนี้ หลินอิ่งถึงกับกล้าอาศัยอำนาจของหยูจื๋อเฉิงเหยียดหยามเขาขนาดนี้ เหยียบย่ำศักดิ์ศรีของเขาจนป่นปี้

“พอผมกลับไป ผมจะไปบอกเรื่องนี้กับพ่อ อิทธิพลของหยูจื๋อเฉิงใหญ่โต แต่ตระกูลสวีของเราก็ไม่ใช่พวกกินหญ้าเหมือนกัน พ่อผมจะต้องคิดหาวิธีช่วยผมแก้แค้นแน่!” สวีชิงซงกล่าวเสียงขรึม ในสมองเต็มไปด้วยความเคียดแค้นที่มีต่อหลินอิ่ง คิดแต่ว่าหลังกลับไปตระกูลสวี จะคิดหาวิธีแก้แค้นอย่างไร

เหยียนหลงกล่าวว่า “ชิงซง ฉันให้คนพานายไปส่งโรงพยาบาลก่อน ให้บาดแผลหายก่อนค่อยว่ากัน ทางด้านพ่อนาย ฉันจะไปทักทายเขาเหมือนกัน”

พูดจบ เหยียนหลงก็โบกมือ สั่งให้ลูกน้องสองสามคนพยุงสวีชิงซงขึ้นมา เตรียมพาส่งโรงพยาบาล

เห็นสภาพสวีชิงซงเลวร้ายเช่นนี้ เหยียนหลงก็ได้แต่ส่ายหน้าในใจ

น่าเวทนาเสียจริง ถูกคนทำให้ตกใจจนกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ คุกเข่าอ้อนวอนขอให้ยกโทษให้ ยังคิดจะแก้แค้นอย่างไรอีก?

ไม่รู้จริงๆ ว่า ตระกูลใหญ่โตอย่างตระกูลสวี ให้กำเนิดคนไร้ค่าเช่นนี้ออกมาได้ยัง

เหยียนหลงค้นพบเรื่องบางอย่างแล้ว รู้สึกว่าหลินอิ่งที่มาจากเมืองตุงไห่ ไม่ใช่ง่ายๆ อย่างที่แสดงออกอย่างแน่นอน ไม่อย่างนั้นหยูจื๋อเฉิงจะก่อเรื่องราวใหญ่โตขนาดนี้ได้ยังไง นำคนมาที่เขตเหยียนหวงเป็นกำลังเสริมให้หลินอิ่งด้วยตนเอง? ถึงขั้นไม่เสียดายที่จะยิงคุณชายรองตระกูลสวี

แต่ว่า เหยียนหลงก็ไม่กล้าไปตามสืบหลินอิ่งกับหยูจื๋อเฉิงเช่นกัน เพราะภัยจะมาถึงตัวอย่างไม่ต้องสงสัย

เพราะอย่างไรเขาก็เป็นคนยอมรับความพ่ายแพ้ วันนี้เสียเปรียบ ได้รับความอับอาย นั่นจึงทำได้เพียงอดทนกล้ำกลืน ได้แต่โทษที่โชคชะตาไม่เข้าข้าง มีหลานชายไม่เอาไหนอย่างสวีชิงซงเช่นนี้

……

ยี่สิบกว่านาทีให้หลัง ณ โรงแรมจงเทียน ห้องทำงานประธาน

หลินอิ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวใหญ่ ในมือถือชาแดงไว้ถ้วยหนึ่ง กำลังละเลียดชิมอย่างช้าๆ

“ท่านอิ่ง ขออภัยด้วยครับ ผมมาช้าไป คราวหลังหากคุณมีเรื่องอะไรอีก โทรบอกผมโดยตรงก็พอแล้ว” หยูจื๋อเฉิงกล่าวอย่างจริงจัง

หลินอิ่งกล่าว “ไม่ช้าหรอก เรื่องนี้ฉันไม่ได้คิดจะให้นายออกหน้าแต่แรกแล้ว ฉันให้นายไปสืบข่าวตระกูลเหวิน นั่นต่างหากที่เป็นเรื่องสำคัญ”

ก่อนหน้านี้เขาถ่ายทอดให้หยูจื๋อเฉิงฟังแล้ว ให้หยูจื๋อเฉิงคอยเพ่งสมาธิไปกับเรื่องของจี้ฉงซาน ขุดข่าวของตระกูลเหวินออกมา

ดังนั้น กว่าหยูจื๋อเฉิงจะรู้ข่าวก็เป็นวันที่สองแล้ว จึงรีบรุดไปยังโรงแรมเหยียนซื่อที่เขตเหยียนหวงทันที

“ท่านอิ่ง ทางด้านจี้ฉงซานยังไม่แน่ชัดเท่าไหร่นัก แต่ผมคอยจับตาดูเขาอยู่ตลอด รอคอยโอกาส” หยูจื๋อเฉิงกล่าวอย่างจริงจัง

ในแต่ละวันจี้ฉงซานพักอยู่ในโรงแรมต้อนรับสภา ข้างกายมียอดฝีมือระดับสูงกลุ่มใหญ่คอยติดตาม มือหนึ่งเป็นระบบการเงินในประเทศ มือรองเป็นของเมืองตี้จิง มักดื่มชาทานข้าวด้วยกันบ่อยๆ คงไม่ดีนักหากจะลงมืออุ้มคน

หลินอิ่งพยักหน้า กล่าวว่า “จับตาดูจี้ฉงซานไว้ก็พอ รอจนกว่าเขาจะไปจากตี้จิงกลับเมืองก่าง ค่อยลงมือ”

“ครับ” หยูจื๋อเฉิงพยักหน้าอย่างนอบน้อม จากนั้นก็กล่าวว่า “ท่านอิ่ง ทางตระกูลสวีของตี้จิง ยังต้องจัดการอยู่ไหมครับ? บางทีบิดาของสวีชิงซง อาจจะมาหาผม”

“นายจัดการตามที่เห็นสมควรเถอะ ตระกูลสวี ไม่ต้องสนใจ” หลินอิ่งกล่าวเนิบๆ พลางจิบชาหนึ่งอึก

หลินอิ่งจะไปสนใจท่าทีของตระกูลสวีแห่งตี้จิงได้ยังไงกัน?

ตระกูลสวี ตระกูลฉี ตระกูลกงซุน และตระกูลนิ่งแห่งตี้จิง เป็นห้าตระกูลใหญ่แห่งตี้จิงตามลำดับ ถือเป็นการแบ่งชั้นอย่างหนึ่งก็ไม่ผิด

แต่ ตอนนั้นหลินอิ่งกระทั่งกงซุนฉงหลงยังกล้าปะทะต่อหน้ามาแล้ว แล้วเขาจะสนใจสวีชิงซงตัวเล็กๆ คนหนึ่งไปทำไม?

ควรรู้ว่า สวีชิงซงเป็นเพียงคุณชายรองของตระกูลสวี เป็นคนเสเพลคนหนึ่ง กระทั่งศูนย์กลางกลุ่มอำนาจของตระกูลสวีก็ยังเอื้อมไม่ถึง

ใคร่ครวญอยู่สักพัก หลินอิ่งก็มองไปทางถังฮุยที่อยู่ด้านข้าง ถามว่า “ถังฮุย ที่ฉันให้นายจัดการเรื่องบริษัทเครื่องประดับ จัดการไปถึงไหนแล้ว?”

ถังฮุยใคร่ครวญอยู่สักพัก ก็กล่าวอย่างจริงจังว่า “ท่านอิ่ง จัดการเรียบร้อยหมดแล้วครับ บริษัทเครื่องประดับสามารถก่อตั้งได้ทุกเมื่อ แหล่งทรัพยากร กลุ่มวิชาชีพ ห่วงโซ่อสังหาริมทรัพย์ รวมถึงเงินทุนทั้งหมดก็จัดการแล้ว ด้านอาคารสำนักงานใหญ่ ผมเลือกออกมาแล้วยี่สิบกว่าแห่ง หากคุณว่างล่ะก็ ผมไปดูสถานที่กับคุณได้ทุกเมื่อ”

“ดีมาก” หลินอิ่งพยักหน้า

เคยรับปากฉีโม่ว่าจะสร้างบริษัทเครื่องประดับสักแห่งให้เธอในตี้จิง แน่นอนว่าย่อมต้องคิดให้ถี่ถ้วนถึงไปจัดการ

มอบหมายเรื่องนี้ให้ถังฮุยไปจัดการติดต่อ ประสิทธิภาพถือว่าไม่เลว เพียงไม่นานก็จัดการได้เรียบร้อย

“เอาอย่างนี้แล้วกัน ตอนเย็นนายเอาข้อมูลอาคารสำนักงานที่เลือกไว้ทั้งหมดมาให้ฉัน” หลินอิ่งกำชับถังฮุย

ทุกอย่างล้วนจัดวางได้อย่างเหมาะสม แค่ต้องเจียดเวลา ไปตี้จิงกับฉีโม่สักหลายรอบ ดูว่าฉีโม่พอใจอาคารไหน บริษัทเครื่องประดับฉีซื่อแห่งตี้จิงก็จะสามารถเข้าสู่ช่วงก่อตั้งอย่างเป็นทางการ

ครืดๆ

เวลานี้ จู่ๆ มือถือของหลินอิ่งก็ดังขึ้นมา

หลินอิ่งมองดูแวบหนึ่ง ถึงกับเป็นนิ่งซวนโทรมา

ตั้งแต่คราวนั้นที่นิ่งซวนถูกเบื้องบนของตระกูลนิ่งย้ายกลับจากเมืองตุงไห่มาอยู่ตี้จิง ก็ไม่ได้โทรหาตนเองอีกเลย

เพียงครั้งเดียว ที่ตนเองช่วยนิ่งซวนกล่าวเตือนนิ่งจองเป่าในโทรศัพท์ครั้งนั้น และเคยช่วยนิ่งซวนให้มีชีวิตที่ดีขึ้นบ้างตอนอยู่ในตระกูลนิ่งแห้งตี้จิง หลังจากนั้น นิ่งซวนก็เคยโทรมาขอบคุณ เล่าเรื่องของนิ่งไท่จี๋นายท่านของตระกูลนิ่งให้ฟัง

ตอนนั้นนิ่งซวนบอกว่านายท่านตระกูลนิ่งต้องการพบตนเอง ราวกับมีเรื่องใหญ่อะไรให้ช่วย เวลานั้นเพราะเรื่องทางกงซุนชิวอวี่ ตนเองจึงค่อนข้างยุ่ง ไปเที่ยวหนึ่ง จากนั้นก็ไม่ได้ตามเรื่องอีก

กลับคิดไม่ถึงว่า เวลานี้นิ่งซวนจะเป็นฝ่ายโทรมา

ใคร่ครวญอยู่พักหนึ่ง หลินอิ่งก็รับสาย

“ฮัลโหล ผู้อาวุโส กำลังยุ่งอยู่หรือเปล่า ขอโทษที่โทรมารบกวนทางคุณนะครับ ผมนิ่งซวนเอง” ที่ปลายสาย นิ่งซวนใช้น้ำเสียงอย่างระมัดระวัง

หลินอิ่งกล่าวว่า “เรื่องอะไร พูดมา”

“ท่านอิ่ง ผม พักนี้ภายในตระกูลนิ่งเกิดปัญหาบางอย่างขึ้น ผมบังอาจขอความช่วยเหลือจากคุณ” นิ่งซวนพูดอย่างเคร่งเครียด

“หืม?” หลินอิ่งขมวดคิ้วเล็กน้อย คิดไม่ถึงว่านิ่งซวนจะมาขอความช่วยเหลือจากตนเพราะพบเจอกับความยุ่งยาก ก่อนหน้านี้ก็เตือนนิ่งจองเป่าของตระกูลนิ่งไปแล้วไม่ใช่เหรอ? หรือว่าภายในตระกูลนิ่งยังมีคนสร้างความลำบากให้นิ่งซวนอีก?

“คืออย่างนี้ครับ ผู้อาวุโส ผมเองก็ไม่มีทางเลือกจริงๆ ถึงได้มาหาคุณ ตอนนี้ผมอยู่ตระกูลนิ่งด้วยความรู้สึกอึดอัด” นิ่งซวนพูดอย่างจริงจัง “ก่อนหน้านี้ พ่อผมถูกวงศ์ตระกูลส่งไปจัดการธุระที่ต่างประเทศ จู่ๆ ก็หายตัวไป ต่อมา ผมได้รับความกดดันและบีบคั้น ตอนนี้กระทั่งหน้าของนายท่านในบ้านก็ไม่ได้พบแล้ว และไม่รู้สถานการณ์ของนายท่านเลย ผมสงสัยว่าภายในตระกูลมีคนคิดจะกำจัดผม”

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท