ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 268 คนบ้านนอกมาจากไหน

บทที่ 268 คนบ้านนอกมาจากไหน

บทที่ 268 คนบ้านนอกมาจากไหน

เผชิญหน้ากับถ้อยคำยั่วยุของชายหนุ่ม สีหน้านิ่งซวนเปลี่ยนเป็นไม่น่าดูมากขึ้น ได้แต่กัดฟันกำหมัด เขาคิดไม่ถึงว่าวันนี้นัดพบประธานหลิน ยังจะมาเจอเทพวิบัติตนนี้อีก

จ้าวเจี้ยนหนิงผู้นี้ เป็นคุณชายสามตระกูลจ้าวแห่งตี้จิง ตระกูลจ้าวไม่ได้ด้อยไปกว่าตระกูลนิ่งเลยสักนิด ในฐานะที่เป็นหนึ่งในตระกูลชั้นสูงของประเทศหลง ความสามารถและอิทธิพลย่อมเป็นที่ประจักษ์แจ้ง โดยเฉพาะตระกูลจ้าวไม่เหมือนกับตระกูลชั้นสูงอย่างตระกูลนิ่ง วงศ์ตระกูลเติบและโตในท้องถิ่นของตี้จิง ตัวตนเดิมของมันก็คือเป็นตระกูลท้องถิ่นในตี้จิง มีประวัติศาสตร์อยู่ในประเทศหลงยาวนานกว่าร้อยปี

หลายร้อยปีมานี้ ตี้จิงผ่านการเปลี่ยนแปลงแก้ไขมาหลายครั้ง แต่คนในตระกูลจ้าวกลับครอบครองอำนาจสูงสุดอยู่ในตี้จิงมาตลอด เมื่อเห็นที่มาของตระกูลเช่นนี้ก็ช่างหยั่งรากลึกเสียนี่กระไร

โดยเฉพาะ จ้าวเจี้ยนหนิงได้ครองอำนาจมากเป็นพิเศษภายในตระกูลจ้าว บิดาเขายังคงเป็นหนึ่งในผู้กุมอำนาจที่แท้จริงของตระกูลจ้าว เป็นขยะมีชื่ออยู่ในตี้จิง ถูกคนเรียกว่าคุณชายสี่แห่งเมืองหลวง

เขายังมีฐานะอีกอย่างหนึ่ง เป็นลูกเขยตระกูลนิ่ง แม้จะเป็นฐานะภายในตระกูลนิ่ง จ้าวเจี้ยนหนิงก็ยังมีฐานะสูงกว่านิ่งซวนในตอนนี้อยู่ไม่น้อย ความขัดแย้งระหว่างคนทั้งสองเริ่มต้นมาจากการแย่งชิงผลประโยชน์ภายในตระกูล

“จ้าวเจี้ยนหนิง นายรังแกกันเกินไปแล้วหรือเปล่า? ออกมาดื่มชา นายก็ต้องแย่งที่นั่งกันด้วยเหรอ?” นิ่งซวนกล่าวเสียงขรึม

“อ้อ? รังแกกันเกินไป?” จ้าวเจี้ยนหนิงเยาะเย้ย บนหน้าเผยแววเหยียดหยามถึงขีดสุดออกมา

“ฉันรังแกคนเกินไปนั่นแหละ แล้วนายจะทำอะไรฉันล่ะ?” จ้าวเจี้ยนหนิงกล่าวอย่างไม่ยี่หระ “นายยังไม่เข้าใจสถานะตัวเองในตอนนี้อีกใช่ไหม นายรู้ไหมว่านายกับฉันห่างชั้นกันมากเท่าไหร่?”

นิ่งซวนก้มหน้า แววตาโกรธขึ้ง กลับจนปัญญาอย่างยิ่ง การกลั่นแกล้งและเหน็บแนมอย่างสุดความสามารถเช่นนี้ของจ้าวเจี้ยนหนิง เขาคิดอยากจะตอบโต้แต่กลับไม่มีความมั่นใจ

ตอนนี้สถานะของเขาในตระกูลนิ่งตกต่ำถึงขีดสุด ในมือไม่มีอำนาจที่จะทำการใดได้เลย กับคุณชายที่ได้รับความโปรดปรานของตระกูลจ้าวอย่างจ้าวเจี้ยนหนิงพูดได้ว่า ห่างชั้นกันมากเกินไปจริงๆ ไม่ใช่คู่มือโดยสิ้นเชิง

แม้ผู้อื่นจะเหน็บแนมเขา เขาก็ได้แต่ทนรับอย่างเงียบๆ

ความขมขื่นที่ไม่มีทางเลี่ยงเช่นนี้ ช่างทำให้คนใจสลายโดยแท้

แต่นี่ก็คือความจริง

เขานิ่งซวนไม่ใช่ประธานนิ่งซื่อของตุงไห่ที่เรียกลมเรียกฝนในเมืองตุงไห่ได้อีกแล้ว เป็นเพียงคนถูกทิ้งคนหนึ่งในตระกูลนิ่งเท่านั้น

ไม่เพียงบิดาที่หายสาบสูญอยู่ต่างประเทศ แม้แต่หน้าปู่แท้ๆ ก็ยังไม่ได้เห็น

ถึงขนาดที่ อาจจะมีอันตรายถึงชีวิตได้ทุกเมื่อ ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ถึงจะหายไปจากโลกนี้

“ทำไม? ยังจะอยู่ที่นี่ทำไมอีกเหรอ? นิ่งซวน นายฟังคำพูดเมื่อกี้ของคุณชายจ้าวไม่เข้าใจหรือ?” ชายคนหนึ่งที่อยู่ข้างกายจ้าวเจี้ยนหนิงพูดอย่างเย่อหยิ่งถือดี มองนิ่งซวนกับอูหยางด้วยท่าทางเหยียดหยาม

“ที่ตรงนี้คุณชายจ้าวต้องการ ตอนนี้นายยังไม่รีบสละที่นั่งอีก? ยังไม่ไสหัวออกไปจากที่นี่อีก?”

นิ่งซวนมองไปทางเขาอย่างเย็นชา ความโกรธพุ่งขึ้นฟ้า กล่าวเสียงเย็นว่า “ฉันบอกแล้วไง ที่ตรงนี้ถูกจองให้คนใหญ่คนโตท่านหนึ่งแล้ว หากทำให้คนใหญ่คนโตคนนั้นโมโหเข้า พวกนายไม่มีทางมีจุดจบที่ดีแน่!”

หงส์ที่ถอนขนไม่ต่างจากไก่จริงๆ ตอนนี้เขาตกอับแล้ว ขนาดลูกสมุนก็ยังขึ้นขี่บนหัวได้ตามใจชอบ ลูกน้องคนหนึ่งก็กล้าเหน็บแนมต่อหน้าได้ทุกเมื่อ

หากเปลี่ยนเป็นที่อื่น บางทีนิ่งซวนอาจจะอดทนต่อกลิ่นเหม็นนี้ได้ เพราะอย่างไรสถานการณ์เช่นนี้ หลังจากที่บิดาเกิดเรื่อง เขาอยู่ตระกูลนิ่งก็อดทนอดกลั้นมาตลอด

นานวันเขาก็กลายเป็นความเคยชิน ราศีและความแหลมคมในอดีตได้สูญหายไปหมดแล้ว

“นายว่าอะไรนะ? ฉันไม่กล้าไปยั่วโมโหคนใหญ่คนโตที่นายรู้จักหรอก? โธ่เอ๊ย นิ่งซวน นายช่างมีความสามารถเพิ่มขึ้นจริงๆ” จ้าวเจี้ยนหนิงเยาะเย้ย พลางส่ายหน้า ท่าทางไม่คิดว่าจะเป็นเช่นนั้น

“นิ่งซวน ตอนนี้นายอยู่ตระกูลนิ่งถูกกดดันอยู่ตลอดใช่ไหม เป็นบ้าไปแล้ว? สติเลอะเลือนไปแล้ว?” จ้าวเจี้ยนหนิงทำท่าทางทะนงตัว เหน็บแนมว่า “ฉันจ้าวเจี้ยนหนิงเป็นใครกัน? อยู่ในเขตเสิ่นหนงมีกี่คนกันที่ฉันยั่วโมโหไม่ได้บ้าง?”

“อีกอย่าง นิ่งซวนตอนนี้กระทั่งสุนัขนายยังสู้ไม่ได้ ไม่ดูหน่อยว่าเพื่อนในอดีตยังมีใครยอมคบหากับนายบ้าง ยังจะมาพูดอีกว่าคนใหญ่คนโตอะไรกัน? หากเป็นคนจริงๆ จะมาดื่มชากับนายเหรอ?” จ้าวเจี้ยนหนิงพูดเหยียดหยาม

เขารู้สถานะนิ่งซวนในตอนนี้ดี

ด้วยท่าทางน่าเวทนาแบบนี้ของนิ่งซวน ยังจะรู้จักคนใหญ่คนโตอะไรได้?

ยังกล้าอวดดีต่อหน้าคุณชายใหญ่ตระกูลจ้าวอันยิ่งใหญ่อย่างเขาอีก?

นิ่งซวนโกรธจนกำหมัดแน่น พูดเสียงเฉียบขาดว่า “จ้าวเจี้ยนหนิง ที่ควรพูดฉันก็พูดไปหมดแล้ว ที่ตรงนี้ฉันไม่มีทางยกให้นายแน่”

นี่เป็นที่นั่งวีไอพีที่จองให้ประธานหลินผู้อาวุโส เดี๋ยวผู้อาวุโสก็มาแล้ว หากเห็นว่าที่นั่งถูกคนอื่นยึดไป ยังจะให้เขามีหน้าไปขอความช่วยเหลือจากประธานหลินได้ยังไง?

ยิ่งไปกว่านั้น ผู้อาวุโสหลินอิ่ง คือฟางช่วยชีวิตเส้นสุดท้ายของเขานิ่งซวน คนสูงศักดิ์คนเดียวที่ช่วยเขาได้

เส้นสายทั้งหมดในอดีตของเขา ต่างตกอับตามตนเองไป ล้วนไม่มีใครใช้ได้สักคน อีกทั้งความยากลำบากที่พบเจอค่อนข้างใหญ่ เพราะความกดดันและบีบคั้นล้วนมาจากเบื้องบนของตระกูลนิ่ง

นอกจากหลินอิ่งแล้ว นิ่งซวนก็คิดไม่ออกแล้วว่า จะยังมีใครสามารถช่วยเขาได้

“ไม่หลีก? ฮึ นิ่งซวน คำพูดของฉันแกกล้าไม่ทำตามด้วยหรือ?” จ้าวเจี้ยนหนิงพูดอย่างอวดดี ไปเรียกผู้ดูแลร้านน้ำชาซินสุยมา ให้เขาสั่งหน่วยรปภ. มาโยนนิ่งซวนออกไป”

พูดจบ จ้าวเจี้ยนหนิงก็ดีดนิ้ว ผู้ติดตามที่อยู่ด้านข้างสองคนรีบออกจากที่นั่งวีไอพีไปทันที

ไม่ถึงหนึ่งนาที

ผู้ติดตามสองคนก็นำพนักงานของร้านน้ำชาซินสุยเดินเข้ามา ทั้งยังพารปภ.ท่าทางเฉยเมยกลุ่มหนึ่งเเดินเข้ามาด้วย

“นิ่งซวน ฉันบอกแกแล้วนะ ไว้หน้าแล้วแต่แกไม่ต้องการเอง ยกที่นั่งให้ฉันดีๆ ก็ไม่ได้? ต้องการจะบังคับให้คุณชายใหญ่จ้าวโกรธให้ได้? ทีนี้เอาล่ะ ถูกคนโยนออกไปคงสบายใจแล้วสินะ?” ชายคนหนึ่งที่อยู่ข้างกายจ้าวเจี้ยนหนิงพูดถากถาง

นิ่งซวนกับอูหยางต่างยืนขึ้น สีหน้าเปลี่ยนเป็นไม่น่าดูอย่างยิ่ง ท่าทางของจ้าวเจี้ยนหนิงเด็ดเดี่ยวต้องการให้พวกเขาสองคนทนไม่ไหว

“นิ่งซวนม นี่มันเกิดอะไรขึ้น?”

เวลานี้เอง น้ำเสียงชายหนุ่มคนหนึ่งก็ดังเข้ามา

เห็นเพียง ชายหนุ่มคนหนึ่งสวมเสื้อเชิ้ตสีขาว เดินเข้ามาที่นั่งวีไอพีนี้อย่างช้าๆ ด้านข้างยังมีชาวต่างชาติสวมชุดดำ รูปร่างสูงใหญ่ตามอยู่ข้างกาย

“ประธานหลิน!” นิ่งซวนมองหลินอิ่งด้วยสีหน้าดีใจ รีบกล่าวทักทาย

“ประธานหลิน?” จ้าวเจี้ยนหนิงมองไปทางหลินอิ่ง มองสำรวจด้วยสีหน้าครุ่นคิด กล่าวอย่างเหยียดหยาม นี่คงจะไม่ใช่คนใหญ่คนโตคนนั้นที่นายพูดหรอกนะ?”

“ท่าทางกระจอกแบบนี้ ทั่วทั้งตัวไม่มีของที่มีหน้ามีตาสักอย่าง ยังเป็นคนใหญ่คยโตอีกเหรอ? นิ่งซวน แกบ้าไปแล้วจริงๆ รีบไปรักษาเถอะ เศษขยะก็เห็นเป็นสมบัติไปได้!” จ้าวเจี้ยนหนิงเหน็บแนมต่อหน้าอย่างไม่เกรงใจ

คนนี้คือ “ประธานหลิน” อะไรนั่น? แถมยังเป็นคนใหญ่คนโต? สวมเสื้อผ้าพื้นๆ ที่พบเห็นได้ทั่วไป นาฬิกาข้อมือที่พอจะอวดได้ก็ไม่มี นี่น่ะเหรอคนใหญ่คนโต? ไม่รู้จริงๆ ว่าเป็นคนบ้านนอกที่โผล่มาจากไหน”

“ฉันว่านะ คนแซ่หลินคนนี้ของแก เป็นคนบ้านนอกมาจากที่ไหนกัน? กำลังเสแสร้งต่อหน้าฉัน?” จ้าวเจี้ยนหนิงมองหลินอิ่งด้วยท่าทางเหยียดหยามพลางพูด

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท