ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 267 เพื่อนของนิ่งซวนอาจจะเป็นคนไร้ค่าเหมือนกัน?

บทที่ 267 เพื่อนของนิ่งซวนอาจจะเป็นคนไร้ค่าเหมือนกัน?

บทที่ 267 เพื่อนของนิ่งซวนอาจจะเป็นคนไร้ค่าเหมือนกัน?

“เข้าใจแล้ว” หลินอิ่งพูด “เอาอย่างนี้แล้วกัน นิ่งซวน ฉันอยู่ที่ตี้จิง พรุ่งนี้จะไปหานายแล้วกัน”

“หา? ผู้อาวุโส คุณอยู่ตี้จิงเหรอ?” นิ่งซวนกล่าวอย่างแปลกใจ ในน้ำเสียงแฝงความยินดี

“ใช่แล้ว”

“ดี ดี ผู้อาวุโส งั้นผมไม่รบกวนคุณแล้ว พรุ่งนี้จะไปพบคุณ” นิ่งซวนพูดราวกับยกภูเขาออกจากอก

หลินอิ่งวางสาย ยกชาแดงที่ข้างโต๊ะขึ้นมาจิบหนึ่งอึก แววตาเผยความแหลมคมออกมา

พอเขาฟังสถานการณ์ที่นิ่งซวนพูด ก็ได้กลิ่นทะแม่งๆ ออกมา

เรื่องที่นิ่งซวนพูดมามันแปลกเกินไปจริงๆ มิน่าเขาถึงเป็นฝ่ายมาหาตนเองเพื่อขอความช่วยเหลือ

พ่อไปจัดการธุระที่ต่างประเทศแล้วหายตัวไป หน้าของนายท่านก็ไม่ได้พบ ตนเองอยู่ในตระกูลพบเจอกับความบีบคั้น การเปลี่ยนแปลงเป็นชุดๆ นี้ บางทีนิ่งซวนคงแบกรับความกดดันอันมหาศาลนี้ไม่ไหว

ควรรู้ว่า คนที่เกิดมาในตระกูลนิ่งตระกูลชนชั้นสูงทรงอิทธิพลเหมือนอย่างนิ่งซวน การชิงดีชิงเด่นทั้งในที่ลับและที่แจ้งภายในตระกูลเป็นสิ่งที่ดุเดือดมาก การแย่งชิงระหว่างองค์ชายเหมือนในละครยังเทียบไม่ติดด้วยซ้ำ

ยึดอำนาจลอบฆ่า พี่น้องฆ่ากันเองภายในตระกูลอะไรนั่น จึงค่อนข้างพบเห็นได้บ่อย

เพราะอย่างไร ทรัพย์สินเงินทองและอำนาจที่มากมายอย่างหาใดเปรียบนี้ มักทำให้คนมีนิสัยบิดเบี้ยว ความโลภและความอยากได้ถูกขยายขึ้นอย่างไร้ขีดจำกัด

สำหรับเรื่องเช่นนี้ หลินอิ่งมีความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง

ตอนเด็กตนเองกับมารดาถูกขับไล่ออกมาจากตระกูลฉี และเป็นเพราะตอนนั้นฉีเหอถูกับเหล่าพี่น้องแย่งชิงสิทธิ์การสืบทอดภายในตระกูล คิดจะยืมอิทธิพลจากภายนอก จึงไม่เสียดายที่จะยอมแลกทุกอย่าง

การแย่งชิงผลประโยชน์ภายในตระกูลใหญ่แห่งตี้จิงเหล่านั้น อย่าว่าแต่เป็นตำแหน่งผู้สืบทอดเลย ต่อให้เป็นผลประโยชน์เพียงน้อยนิด ก็เพียงพอที่จะทำให้คนธรรมดาเปลี่ยนเป็นบ้าคลั่งได้

ใคร่ครวญอยู่สักพัก หลินอิ่งก็มองไปที่หยูจื๋อเฉิง กล่าวอย่างจริงจังว่า “นายได้ข่าวอะไรจากตระกูลนิ่งบ้างไหม? ระยะนี้ ตระกูลนิ่งแห่งตี้จิงเกิดเรื่องใหญ่อะไรขึ้นบ้างหรือเปล่า?”

คนเองก็อยู่ตี้จิงพอดี หลินอิ่งคิดจะช่วยนิ่งซวนสักครั้ง

แต่ไหนแต่ไรหลินอิ่งไม่เคยเอาเปรียบคนที่จัดการธุระให้ตัวเอง

ดีร้ายอย่างไรนิ่งซวนก็เคยซื่อสัตย์ภักดีจัดการธุระให้ตนเองมาไม่น้อย ตอนอยู่ที่เมืองชิงหยูนนั้น ทำตามคำสั่งทุกประการเลยก็ว่าได้ ต้านแรงกดดันของตระกูล ฝืนช่วยตัวเขาประคองตระกูลหวัง

ตอนนี้นิ่งซวนมีปัญหายุ่งยาก มาหาถึงหน้าประตู ตนเองไม่มีทางนั่งมองอยู่เฉยๆ โดยไม่สนใจได้

“ตระกูลนิ่งแห่งตี้จิง?” หยูจื๋อเฉิงขมวดคิ้วคิดใคร่ครวญอยู่สักพัก กล่าวอย่างจริงจังว่า “ท่านอิ่ง ผมรู้จักคนที่กุมอำนาจในตระกูลนิ่ง แต่ไม่ค่อยได้คบค้ากับตระกูลนิ่งมากนัก พักนี้จึงไม่ได้ยินข่าวคราวใดของตระกูลนิ่ง”

“ท่านอิ่ง ต้องการให้ผมไปสืบสถานการณ์ในช่วงนี้ของตระกูลนิ่งไหมครับ” หยูจื๋อเฉิงถามอย่างจริงจัง

แม้จะไม่เข้าใจนักว่าทำไมท่านอิ่งจู่ๆ ถึงสนใจเรื่องราวตระกูลนิ่งแห่งตี้จิงขึ้นมา แต่เขาไม่มีทางถามมาก ไม่ว่าเรื่องใดจัดการตามคำสั่งก็พอแล้ว

หลินอิ่งพยักหน้า กล่าวว่า “นายให้คนในปกครองไปสืบดูให้แน่ชัด สอบถามดูหน่อยว่า นายท่านตระกูลนิ่ง พักนี้เป็นอย่างไรบ้าง”

ปีนั้นอาจารย์เคยผูกวาสนาอันดีงามกับตระกูลนิ่งแห่งต้าจิงระยะหนึ่ง เขามีฐานะเป็นผู้อาวุโสของตระกูลนิ่ง ฐานะในตระกูลนิ่งของเขาเป็นรองแค่เพียงนายท่านตระกูลนิ่ง นิ่งไท่จี๋เท่านั้น

นิ่งซวนบอกในโทรศัพท์ว่า กระทั่งใบหน้าของนายท่านยังไม่ได้พบ สิ่งนี้จึงคาใจเขาอย่างมาก

ควรรู้ว่า เมื่อสองเดือนก่อน นิ่งไท่จี๋ยังฝากคำพูดผ่านนิ่งซวนมาบอกตนเอง บอกว่าจะมาพบผู้สืบทอดของสหายเก่าอย่างตนเองสักครั้ง

ตระกูลนิ่งนี้ ไม่รู้ว่าใครกำลังลอบทำเรื่องชั่วอยู่ ตัวเขาจำเป็นต้องไปสักเที่ยวแล้ว

ด้วยเหตุนี้ หลังจากที่เขาตัดสินใจได้แล้ว คืนนั้นพอหลินอิ่งกลับถึงห้องก็หลับไป

วันต่อมา ยามเช้าตรู่

หลินอิ่งให้ฮาเดสเบิกรถคันหนึ่งได้ตามใจ ขับไปยังเขตเสิ่นหนง

สำนักงานใหญ่ของบริษัทตระกูลนิ่งอยู่ในเขตเสิ่นหนง และสถานที่นัดพบของเขากับนิ่งซวนก็อยู่ที่ร้านน้ำชาซินสุยในเขตเสิ่นหนง

ร้านน้ำชาซินสุย เป็นร้านใหญ่ที่ตกแต่งค่อนข้างได้บรรยากาศร้านหนึ่ง

ที่นี่เป็นอาคารสไตล์โบราณที่แบ่งเป็นสัดส่วน ลานขนาดใหญ่มีกลิ่นอายโบราณ เต็มไปด้วยการผ่านวันเวลามาอย่างโชกโชน

อย่ามองเพียงว่าเป็นอาคารโบราณสามชั้น มันกลับตั้งอยู่บนพื้นที่ใจกลางเมืองที่คึกคักที่สุดของตี้จิง ดูไปก็เหมือนหงส์ในฝูงกา

อาคารสไตล์โบราณแบบนี้ อยู่ในพื้นที่ใจกลางเมืองตี้จิงเช่นนี้ ราคาของมันคงไม่อาจจินตนาการได้เลย แค่เพียงอาคารราคาก็มากกว่าสิบหลักแล้ว

ร้านน้ำชาซินสุย เป็นที่ชุมนุมของพวกเศรษฐีและบุคคลมีชื่อเสียงที่โอ่อ่าและมั่งคั่งที่สุดของเขตเสิ่นหนง ผู้ที่มาล้วนเป็นมหาเศรษฐีข้าราชการตำแหน่งสูงของตี้จิง จำเป็นต้องมีบัตรเชิญถึงจะเข้าไปได้

ชากาหนึ่งที่ชงที่นี่ ราคาเป็นแสนขึ้นไป ทั้งหมดล้วนเป็นใบชาดีสินค้าชั้นยอดที่สุดที่เก็บรวบรวมจากประเทศหลง

เพียงไม่นาน ฮาเดสก็ขับรถเบนท์ลีย์สีดำคันหนึ่งมาถึงหน้าประตูร้านน้ำชาซินสุย เขาดึงเปิดประตูรถอย่างชำนาญ จากนั้นก็ขับรถไปจอดที่โรงจอดรถ

หลินอิ่งเงยหน้ามองแวบหนึ่ง ลอบพยักหน้าให้กับตนเอง รู้สึกว่าร้านน้ำชาแห่งนี้ตกแต่งได้ไม่เลว เดิมตัวมันก็คือซากปรักหักพังที่เป็นสถานที่ท่องเที่ยวแห่งหนึ่ง หลังผ่านการปรับปรุงแก้ไข ยังคงทิ้งกลิ่นอายโบราณอันสะอาดบริสุทธิ์ไว้ พอมองไป ก็ทำให้คนรู้สึกเปี่ยมไปด้วยความสบายใจ

แต่ไรมาเขาค่อนข้างชอบของโบราณในประเทศหลง

และภายในโรงจอดรถอันกว้างขวางของร้านน้ำชาซินสุย รถที่จอดแต่ละคันล้วนเป็นรถชั้นหนึ่ง ยังมีรถประจำตำแหน่งของพวกข้าราชการ ที่ใช้ป้ายทะเบียนรถแบบพิเศษ ทั้งยังเป็นข้าราชการตำแหน่งสูงมากอีกด้วย

ต่อให้มองเพียงแวบเดียว ก็ยังมองออกว่า ไม่ใช่ร้านน้ำชาธรรมดาอย่างแน่นอน

เวลานี้ ที่ชั้นสามของร้านน้ำชาซินสุย ภายในห้องพิเศษที่มีชื่อว่าแม่น้ำผิ่นซานห้องหนึ่ง นิ่งซวนมีท่าทีกระสับกระส่าย นั่งไม่ติดที่เดินกลับไปกลับมา ราวกับแบกรับแรงกดดันมหาศาลไว้

เลขาคนสนิทของนิ่งซวน อูหยาง นั่งดื่มชาที่ด้านข้างอยู่คนเดียว สีหน้าดูค่อนข้างซีดเซียว

เห็นได้ชัดว่า ท่วงท่าอันสง่างามของสองคนนี้ไม่เหมือนกับตอนที่พักอยู่เมืองตุงไห่อีกแล้ว ราวกับว่าหลังจากกลับมาตี้จิง จะได้รับความลำบากไม่น้อย

“ประธานนิ่ง คุณเองก็อย่ากังวลปัญหาของทางตระกูลเกินไปนักเลย ในเมื่อประธานหลินรับปากออกหน้าแล้ว ด้วยความสามารถของประธานหลิน จะต้องช่วยแก้ไขปัญหาได้แน่” อูหยางกล่าวปลอบ

“เฮ้อ ความสามารถของผู้อาวุโสไม่จำเป็นต้องสงสัยอยู่แล้ว” นิ่งซวนถอนหายใจ กล่าวช้าๆ ว่า “เพียงแต่ ไม่แน่ว่าผู้อาวุโสจะยอมออกหน้าช่วยฉัน เพราะอย่างไรเขาก็เป็นผู้อาวุโสของตระกูลนิ่ง ส่วนฉันเป็นแค่คนตัวเล็กๆ ในตระกูล นำประโยชน์อะไรมาให้ผู้อาวุโสได้กันล่ะ? ในตระกูลนิ่งมีคนที่เก่งกว่าฉันอยู่ตั้งมาก”

“ที่สำคัญที่สุด ครั้งนี้เป็นเบื้องบนของตระกูลร่วมกันกดดันฉัน ด้วยฐานะของผู้อาวุโส เกรงว่าคงไม่เห็นฉันอยู่ในสายตา” นิ่งซวนกล่าวอย่างกังวล ท่าท่างไม่ความเชื่อมันในตัวเองเป็นอย่างมาก

ใช่แล้ว หลังจากนิ่งซวนกลับมาที่ตี้จิงก็ได้รับความลำบากไม่สิ้นสุด เป็นช่วงเวลาที่ชีวิตตกต่ำถึงขีดสุดก็ว่าได้

คนเรายามประสบกับความตกต่ำ ก็จะสูญเสียความมั่นใจในตัวเองไปเรื่อยๆ กลายเป็นคนโลเลสองจิตสองใจ

“นี่……ไม่พูดดีกว่า” อูหยางเองก็ถอนหายใจเช่นกัน คนใหญ่คนโตอย่างประธานหลิน มีอุปนิสัยที่คาดเดาได้ยาก อีกทั้งเรื่องในครั้งนี้ของประธานนิ่งก็ใหญ่โตและยุ่งยากเกินไป

“ไอหยา นี่มันนิ่งซวน คุณชายใหญ่นิ่งของเราไม่ใช่เหรอ? ได้ยินว่าบิดาของคุณชายใหญ่นิ่งหายตัวไป คุณไม่ไปตามหาพ่อคุณ ยังมีอารมณ์มาดื่มชาอยู่ที่นี่อีก?”

เวลานี้เอง มีน้ำเสียงเยาะเย้ยถากถางเสียงหนึ่งดังเข้ามา เห็นเพียงชายหนุ่มแต่งตัวไม่ธรรมดาคนหนึ่ง เดินเข้ามายังห้องพิเศษอย่างแช่มช้า มองนิ่งซวนสองคนด้วยท่าทางครุ่นคิด

นิ่งซวนมีท่าทีเดือดดาล อยากจะพูดตอบโต้อะไรบ้าง กลับไม่มีความมั่นใจ ได้แต่ก้มหน้ากำหมัด

ชายหนุ่มเข้ามานั่งอย่างเอื่อยเฉื่อย พลางกล่าวว่า “นิ่งซวน ฉันว่านะ นายยังไม่ยอมแพ้อีกเหรอ? ตอนนี้ นายมันก็เป็นแค่เด็กถูกทิ้ง สุนัขไร้ค่าตัวหนึ่งของตระกูลนิ่งไม่ใช่เหรอ? ด้วยฐานะเช่นนี้ ทำไมนายยังมีหน้ามานั่งในร้านน้ำชาซินสุยอีก?”

“เอาอย่างนี้แล้วกัน วันนี้คุณชายอย่างฉันมีนัดพอดี ที่นั่งวีไอพีเต็มหมดแล้ว นายก็ยกที่นั่งให้ฉันแล้วกัน” ชายหนุ่มกล่าวด้วยท่าทางเป็นธรรมชาติ จากนั้นก็ยึดที่นั่งที่นิ่งซวนจองไว้มาครองเสียเอง

นิ่งซวนโกรธจัด แทบอยากจะพุ่งเข้าไปตบหน้าเขาสักฉาด แต่บีบให้ไม่มีทางเลือก กัดฟันกล่าวว่า “จ้าวเจี้ยนหนิง ตรงนี้เป็นที่นั่งที่ฉันจองไว้ให้คนใหญ่คนโตท่านหนึ่ง ทางที่ดีนายอย่ามาวุ่นวายดีกว่า อย่าทำให้คนใหญ่คนโตท่านนั้นโกรธ”

“หา? คนใหญ่คนโต? ฮ่าๆๆๆ เดี๋ยวฉันก็ขำตายหรอก นิ่งซวน ท่าทางเหมือนสุนัขจรจัดอย่างนาย ยังจะไปรู้จักคนใหญ่คนโตคนไหนได้อีก?” จ้าวเจี้ยนหนิงกล่าวด้วยท่าทางเหยียดหยาม “ร่วมดื่มชากับนายได้ บางทีคงจะเป็นคนไร้ค่าเหมือนกันสินะ? เพราะอย่างไร คนประเภทเดียวกันย่อมอยู่ร่วมกันได้”

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท