ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 279 ได้ยินว่าเธอแต่งงานกับคนไม่เอาไหน?

บทที่ 279 ได้ยินว่าเธอแต่งงานกับคนไม่เอาไหน?

บทที่ 279 ได้ยินว่าเธอแต่งงานกับคนไม่เอาไหน?

นิ่งเสี่ยวชิงสวมเสื้อเชิ้ตปักลายตามสมัยนิยม รูปหน้างามเฉิดฉาย บุคลิกดูสง่างามเป็นอย่างมาก ที่ข้อมือสวมนาฬิกายี่ห้อปาเต็ก ฟิลิปป์ การแต่งกายตั้งแต่หัวจรดเท้าค่อนข้างพิถีพิถัน คนที่รู้จักสินค้าสามารถมองออกว่า เครื่องแต่งกายทั้งตัวเธออย่างน้อยก็สิบล้านอัพ ดูมีสง่าราศีเป็นอย่างมาก

“นั่นสิ ฉีโม่ เพื่อนๆ ทุกคน หากมีปัญหาอะไรจริงๆ แค่บอกมาก็พอแล้ว ด้วยชื่อเสียงดาวมหาลัยแห่งมหาวิทยาลัยตี้จิงในปีนั้นของฉีโม่ หากมีปัญหายุ่งยากอะไร ยังไม่รู้ว่ามีคนอีกตั้งเท่าไหร่ยอมถวายหัวเพื่อช่วยเหลือกัน” ชายหนุ่มคนหนึ่งกล่าวยิ้มๆ ระหว่างน้ำเสียงเต็มไปด้วยความประจบประแจง

จริงอยู่ ตอนจางฉีโม่อยู่มหาวิทยาลัยตี้จิงเป็นดาวมหาลัยของรุ่น เรียกได้ว่าโด่งดังไปทั่วมหาลัย ตอนนั้นไม่รู้ว่ามีสุภาพบุรุษอายุเท่าไหร่มาตามจีบบ้าง

เพียงแต่ ราวกับว่าจางฉีโม่ไม่เคยคิดที่จะมีแฟน จึงปฏิเสธอย่างเย็นชาไปทั้งหมด

หลังจบจากมหาวิทยาลัย จางฉีโม่ก็กลับเมืองตุงไห่ และห่างหายไปจากสายตาของกลุ่มเพื่อนมหาลัย

จนกระทั่งตอนนี้ กลุ่มเพื่อนในตอนนั้น ส่วนใหญ่ยังคงจำได้ไม่ลืม

จางฉีโม่ยิ้มอย่างเก้อเขิน พลางกล่าวว่า “ไม่ได้ขับรถมาตี้จิง ดังนั้นจึงไม่สะดวกเอามากๆ”

อันที่จริงเธอคิดไว้แล้วว่า เพื่อนมหาลัยที่มารวมรุ่นกันที่นี่ แทบทุกคนล้วนขับรถดีๆ ราคาล้านอัพออกจากบ้านกันทั้งนั้น

อีกทั้ง ตัวมหาวิทยาลัยตี้จิงก็คือมหาลัยอันดับต้นๆ ที่รู้จักกันทั่วของประเทศหลง กลุ่มเพื่อนของเธอในมหาลัย แต่ละคนจึงมีฐานะไม่น้อย มีบ้างที่ภูมิหลังเป็นเพียงครอบครัวเล็กๆ แต่นั่นก็ล้วนปะปนอยู่ในแวดวงสังคมราวกับปลาได้น้ำ เจริญรุ่งเรืองขึ้นอย่างสมใจ

หากเป็นเมื่อก่อน นิ่งเสี่ยวชิงพูดเช่นนี้ อาจทำให้เธอรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจขึ้นมาจริงๆ

แต่ตอนนี้ไม่ใช่แล้ว

เพราะนี่เป็นความมั่นใจและเชื่อมั่นในตนเองที่หลินอิ่งมอบให้กับเธอ

จริงๆ แล้วก่อนหน้าที่จะมา ประธานถัง ถังฮุยของโรงแรมจงเทียน ตอนแรกจะส่งขบวนรถบอดี้การ์ดขบวนหนึ่งติดตามออกมาด้วย แต่เธอปฏิเสธไป

จางฉีโม่ยังคงไม่ค่อยเหมาะกับความฟุ่มเฟือยเช่นนี้เท่าไหร่นัก

“หากอยู่ในตี้จิงออกไปไหนไม่สะดวก ฉันจะจัดหารถให้เธอสักสองสามคัน นั่นเป็นแค่น้ำใจเล็กน้อย” นิ่งเสี่ยวชิงกล่าวอย่างสง่างาม

“ฉีโม่ ฉันได้ยินมาว่า เธอเป็นเจ้าของบริษัทเครื่องประดับแห่งหนึ่งอยู่ที่ตุงไห่? เป็นมรดกตกทอดของครอบครัวเธอใช่ไหม?” นิ่งเสี่ยวชิงทางหนึ่งดื่มกาแฟ ทางหนึ่งเอ่ยปากพูด “หนนี้มาตี้จิงเพื่อเจรจาธุรกิจเหรอ? ฉันมีเส้นสายกว้างขวางอยู่ในแวดวงเครื่องประดับ สามารถช่วยเธอจัดการได้อย่างง่ายดาย”

นิ่งเสี่ยวชิงพูดราวกับควบคุมทุกอย่าง ใบหน้าเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ

“ฉีโม่ ไม่ได้เจอกันตั้งหลายปี เสี่ยวชิงยังคงยึดถือคุณธรรมอยู่เสมอ พวกเธอสองคนตอนอยู่มหาลัยเป็นพี่น้องสาวสวยที่มีชื่อเสียง หากอยู่ตี้จิงต้องการความช่วยเหลืออะไร ก็มาหาเสี่ยวชิง อิทธิพลของเสี่ยวชิงในตี้จิง ไม่ใช่เรื่องล้อเล่นเลย” ชายหนุ่มคนหนึ่งพูดประจบประแจง

“ใช่แล้วล่ะ ฐานะของเสี่ยวชิงค่อนข้างสูงศักดิ์เลยทีเดียว” หญิงสาวคนหนึ่งพูดยกยอ

เห็นได้ชัดมากว่านิ่งเสี่ยวชิงเป็นผู้นำในกลุ่มเพื่อน เพื่อนแทบทุกคนต่างรุมล้อมเธอ

แน่นอนว่า นี่ย่อมหนีไม่พ้นเกี่ยวข้องกับฐานะภูมิหลังอันยิ่งใหญ่ของเธอ

นิ่งเสี่ยวชิง ลูกคุณหนูของตระกูลนิ่งอันสูงศักดิ์แห่งตี้จิง อยู่ในตี้จิงต้องการลมได้ลม ต้องการฝนได้ฝน หากเป็นยุคสมัยก่อนนั่นก็เทียบได้กับบรรดาศักดิ์องค์หญิง มีชีวิตสูงส่งจนเอื้อมไม่ถึงโดยสิ้นเชิง

หากไม่ใช่เพราะมีความสัมพันธ์เป็นเพื่อนร่วมชั้นกัน ด้วยคนอย่างพวกเขา ต่อให้ปะปนอยู่ในวงสังคมได้ก็ยังนับว่าไม่เลวแล้ว มีเงินน้อยหน่อย ก็ไม่มีสิทธิ์ดื่มกาแฟร่วมโต๊ะเดียวกับนิ่งเสี่ยวชิงแล้ว

จางฉีโม่พยักหน้า กล่าวด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ฉันเป็นเจ้าของบริษัทเครื่องประดับแห่งหนึ่งในตี้จิง ครั้งนี้มาตี้จิง มาเพื่อเจรจาธุรกิจ แต่ก็เจรจาใกล้จะเสร็จแล้ว พักนี้อาจจะกำลังเปิดบริษัทสาขาหนึ่งในตี้จิง”

“หา? งั้นหรือ ฉีโม่ เธอกำลังเตรียมเปิดบริษัทสาขาที่ตี้จิง? อย่างนั้นก็ไม่เลวเลย เพียงแต่ธุรกิจเครื่องประดับในตี้จิงไม่ใช่จะเปิดได้ง่ายดายขนาดนั้น” นิ่งเสี่ยวชิงกล่าวอย่างสงสัยขึ้นมา “เธอไม่ได้คลุกคลีอยู่ในตี้จิงมาหลายปี แล้วจะไปหาคอนเนคชั่นที่ไหนในตี้จิง? หากไม่มีคอนเนคชั่น ธุรกิจคงทำไม่ได้ง่ายดายขนาดนั้น”

จางฉีโม่ขมวดคิ้วเล็กน้อย รู้สึกว่าการพบหน้ากันครั้งนี้ นิ่งเสี่ยวชิงพูดจาดูพยายามนิดหน่อย ความรู้สึกต่างกับสมัยเรียนเมื่อก่อน

“สามีฉันเป็นคนช่วยฉันจัดการน่ะ อยู่ที่ตี้จิงเขารู้จักเพื่อนไม่น้อย” จางฉีโม่กล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง

“สามีเธอ? ที่เธอพูดมาเขามีความสามารถจริงๆ ใช่ไหม?” นิ่งเสี่ยวชิงพูดพร้อมกับยิ้มบางๆ “แต่ว่า ฉีโม่ ทำไมฉันได้ยินว่า อยู่ที่เมืองตุงไห่เธอแต่งงานกับคนไม่เอาไหน แถมยังเป็นลูกเขยที่แต่งเข้าบ้านด้วย”

“ฉีโม่ หรือว่า เธอแต่งงานสองครั้ง?” นิ่งเสี่ยวชิงพูดพลางทำท่าทางครุ่นคิด

“เสี่ยวชิง เป็นความจริงเหรอ? ก่อนหน้านี้ฉันเองก็เคยได้ยินมาเช่นนี้เหมือนกัน แต่ไม่กล้าจะเชื่อมาตลอด” ชายหนุ่มคนหนึ่งพูดอย่างแปลกใจ “หรือว่าหลังฉีโม่เรียนจบกลับเมืองตุงไห่ ก็หาคนไม่เอาไหนสักคน แล้วแต่งลูกเขยเข้าบ้าน? นั่นมันก็เกินไปหน่อย……”

“นี่คงไม่ใช่เรื่องจริงหรอกนะ? ดาวมหาลัยที่เรียนจบจากมหาวิทยาลัยตี้จิงอย่างฉีโม่ ถึงกับแต่งงานกับคนไม่เอาไหน? นี่……”

เวลาต่อมา สายตาของเพื่อนๆ ที่อยู่ในร้านกาแฟต่างพากันมารวมอยู่ที่ตัวจางฉีโม่ บนใบหน้าล้วนมีแต่สายตาแห่งความแปลกใจ

จางฉีโม่สีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นไม่ค่อยน่าดูขึ้นมา ไม่รู้ว่านิ่งเสี่ยวชิงไปถามข่าวของตัวเองมาได้ยังไง

นิ่งเสี่ยวชิงเผยท่าทางลำพองใจออกมาบนใบหน้า กล่าวว่า “ฉีโม่ เฮ้อ เรื่องนี้เธอเองก็ไม่ต้องรู้สึกน้อยใจไปหรอกนะ ฉันเองก็ได้ยินคนพูดมาเช่นกัน และฉันก็รู้สึกเสียดายแทนเธอด้วย”

นิ่งเสี่ยวชิงจงใจพูดเช่นนี้ออกมา ก็เพื่อต้องการผลลัพธ์แบบนี้ ต้องการให้จางฉีโม่ดูด้อยค่าลงเมื่ออยู่ต่อหน้าตนเอง

พึงรู้ไว้ว่า ตั้งแต่มหาวิทยาลัยเป็นต้นมา แม้นิ่งเสี่ยวชิงจะมีความสัมพันธ์ที่ไม่เลวกับจางฉีโม่ แต่ภายในใจก็ริษยาจางฉีโม่มาตลอด จางฉีโม่เป็นดาวมหาลัย เป็นหญิงสาวที่เจิดจรัสที่สุด ส่วนเธอก็เหมือนใบไม้สีเขียวที่ช่วยขับดอกไม้ให้เด่นขึ้น ตอนนี้เรียนจบแล้ว จางฉีโม่กลับไปยังเมืองตุงไห่สถานที่ชนบทแห่งนั้น แถมยังแต่งงานกับคนไม่เอาไหนอีกด้วย

ส่วนเธอ ลูกคุณหนูแห่งตระกูลนิ่งอันสูงศักดิ์แห่งตี้จิง ฐานะจึงสูงส่งหาใดเปรียบ

ตอนนี้อยู่ในกลุ่มเพื่อนมหาลัย ยังจะมีใครรู้สึกว่าจางฉีโม่เทียบกับเธอได้อีก?

สิ่งที่เธอต้องการ ก็คือความรู้สึกอันยอดเยี่ยมที่ได้อยู่เหนือคนอื่นเช่นนี้

“ไม่ใช่แบบนั้น สามีฉันแต่งเข้าบ้าน แต่ไม่ได้เป็นคนไม่เอาไหน ไม่ได้น่ารังเกียจขนาดนั้นสักหน่อย” จางฉีโม่พูดแก้ต่างขึ้น

“เฮ้ ฉีโม่ เธอยังจะแก้ต่างทำไมอีก เพื่อนกันทั้งนั้น มีอะไรให้ต้องปิดบังกันล่ะ? ฉันถามมาชัดเจนแล้ว สามีเธอชื่อหลินอิ่งใช่ไหม?” นิ่งเสี่ยวชิงทำท่าทางราวกับว่าฉันเนี่ยรู้ดีไปเสียหมด กล่าวขึ้นมาอย่างเอื่อยเฉื่อยว่า “หลินอิ่งคนนั้นอยู่เมืองชิงหยูนขึ้นชื่อว่าเป็นลูกเขยไร้ค่า แถมยังชอบเกาะผู้หญิงกินอีกด้วย เป็นแมงดามีชื่อ”

จางฉีโม่สีหน้าเขียวคล้ำ คิดไม่ถึงไปชั่วขณะว่านิ่งเสี่ยวชิงจะเผยเรื่องจริงออกมาโดยไม่เห็นแก่มิตรภาพ

แต่ในความเป็นจริงแล้ว หลินอิ่งไม่ใช่คนอย่างนั้นอย่างที่ใครเขาพูดกัน ในใจเธอรู้ดี

จางฉีโม่ไม่เข้าใจว่านิ่งเสี่ยวชิงพูดเรื่องเหล่านี้ออกมาหมายความว่ายังไง แถมยังเป็นต่อหน้าเพื่อนๆ มากมาย นี่แสดงว่าตั้งใจทำให้เธอลำบากใจ

จำได้ว่าตอนเรียนอยู่มหาลัย เธอกับนิ่งเสี่ยวชิงเป็นรูมเมทกัน แถมความสัมพันธ์ยังไม่เลวอีกด้วย

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท