ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 277 การเดินเกมของคนตระกูลนิ่ง

บทที่ 277 การเดินเกมของคนตระกูลนิ่ง

บทที่ 277 การเดินเกมของคนตระกูลนิ่ง

“พี่หก เกิดเรื่องใหญ่แล้ว!”

พอนิ่งจองเป่าเห็นชายสูงวัยสวมเสื้อคอจีนเดินออกมา สีหน้าก็ขรึมลง กล่าวอย่างร้อนรน

“จองเป่า นายเองก็มีอำนาจดูแลจัดการอยู่ในตระกูลมาหลายปีแล้ว จัดการธุระของตระกูลมานานหลายปีขนาดนี้ ทำไมยังทำตัวไม่รอบคอบเหมือนกับเด็กรุ่นหลังแบบนี้ นายท่านก็เคยสั่งสอนแล้วว่า หากพอเจอเรื่องใหญ่ต้องใจเย็น ต่อให้ภูเขาไท่ซานถล่มตรงหน้าหน้าก็ไม่เปลี่ยนสี นายควรจะเอาเป็นแบบอย่างนะ?” ชายสูงวัยสามเสื้อคอจีนกล่าวอย่างปลอบใจ ท่าทางไม่พอใจอย่างมาก

นิ่งจองเป่าถอนหายใจออกมาหนึ่งครั้ง กล่าวว่า “พี่หก ไม่ใช่เพราะผมใจร้อน มันเป็นสถานการณ์ฉุกเฉินต่างหาก สถานการณ์นี้เกิดขึ้นกะทันหัน อยู่นอกแผนการของเราไปแล้ว”

นิ่งจองเป่าเองก็ไม่พอใจพี่หกคนนี้ของเขานิ่งจองเสิ้งเช่นกัน นิ่งจองเสิ้งอายุอานามก็ปาเข้าไปห้าสิบกว่าแล้ว ทั้งวันยังเอาแต่ทำตัวเป็นผู้อาวุโสรู้มากเที่ยวดูถูกคนรุ่นหลังอยู่ได้

“สถานการณ์ฉุกเฉิน?” นิ่งจองเสิ้งทำท่าทางสงสัย “ยังจะมีสถานการณ์ฉุกเฉินอะไรได้อีก? ภาพรวมของตระกูลนิ่งตอนนี้ล้วนอยู่ในการควบคุมของเราหมดแล้ว ตระกูลลำดับที่สามไม่เชื่อฟังจึงถูกทำลายหมดแล้ว หรือยังมีใครคิดตรงกันข้ามกับพวกเราอีก?”

“ไม่ใช่เรื่องภายในตระกูล แต่เป็นผู้สืบทอดของท่านผู้นั้นในปีนั้นมาตี้จิงแล้ว!” นิ่งจองเป่ากล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง

พอได้ยิน นิ่งจองเสิ้งก็มีท่าทางตกตะลึง สีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นหวาดกลัวสงสัยไม่แน่ใจ กล่าวอย่างหวาดผวาว่า “ท่านผู้นั้นในปีนั้น? จองเป่า นายคงไม่ได้ล้อฉันเล่นอยู่หรอกนะ หรือนายหมายถึงผู้อาวุโสท่านนั้นในปีนั้น? ท่านผู้นั้นไม่ใช่หายสาบสูญไปสิบกว่าปีแล้วเหรอ? ที่แท้เรื่องเป็นมายังไงกัน”

พอเอ่ยถึงผู้อาวุโสท่านนั้นในปีนั้น ภายในใจนิ่งจองเสิ้งก็เกร็งเครียดขึ้นมา

คนอย่างพวกเขาตลอดชีวิตนี้ ล้วนเคยผ่านภาวะตกอับที่นำไปสู่ความตายที่ตระกูลนิ่งพบเจอในปีนั้นมาแล้ว ตอนนั้นหากไม่ใช่เพราะนายท่านเชิญผู้อาวุโสท่านนั้นออกจากภูเขา ตระกูลนิ่งคงถูกกำจัดชื่อออกไปจากประเทศหลงนานแล้ว

“ผู้อาวุโสท่านนั้นในปีนั้นมาตี้จิงด้วยตนเองแล้วหรือ? ผู้สืบทอดของเขาชื่ออะไร? มีที่มาอย่างไร?” นิ่งจองเสิ้งสีหน้าขรึมลง ตั้งคำถามออกมาติดๆ กัน

นิ่งจองเสิ้งมีฐานะเป็นหนึ่งในสามผู้ยิ่งใหญ่ของตระกูลนิ่งแห่งตี้จิง เงินและอิทธิพลที่กุมไว้ในมือเรียกได้ว่ามากมายก่ายกอง ยากนักที่จะมีเรื่องอะไรมาทำให้เขาหวาดผวาได้

แต่หากเอ่ยถึงผู้อาวุโสของตระกูลนิ่ง แน่นอนว่านั่นเป็นสิ่งที่ให้ความสำคัญระดับสูงสุด

นิ่งจองเป่ากล่าวด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ผู้อาวุโสท่านนั้นในปีนั้นไม่ได้ออกหน้า แต่เป็นผู้สืบทอดของเขา ชื่อว่าหลินอิ่ง หลินอิ่งผู้นี้ยอมรับฐานะผู้อาวุโสตระกูลนิ่งแล้ว และได้ถือป้ายหยกไว้ด้วย”

“นายแน่ใจนะว่าเป็นเรื่องจริง? หลินอิ่งอะไรนั่นผู้นี้คงไม่ใช่พวกสิบแปดมงกุฎหรอกนะ? เทพมังกรที่เห็นหัวไม่เห็นหางผู้นั้นในปีนั้น ตอนนั้นฉันเคยเห็นแค่เงาหลังอยู่ไกลๆ เท่านั้น และท่านผู้นั้นก็พักอยู่ตระกูลนิ่งของเราแค่สามวัน” นิ่งจองเสิ้งกล่าวอย่างใคร่ครวญ

“นอกจากนายท่านแล้ว บางทีอาจจะไม่มีใครยืนยันตัวตนที่แท้จริงของเขาได้อีก นายอย่าได้ถูกหลอกเชียวนะ” นิ่งจองเสิ้งกล่าวเสียงขรึม

นิ่งจองเป่ากล่าวว่า “เรื่องนี้ไม่น่าจะใช่เรื่องโกหก ในมือของหลินอิ่งผู้นั้นมีป้ายหยกที่ตระกูลนิ่งสั่งทำเป็นพิเศษ อีกทั้งตอนนั้นนายท่านก็คิดจะไปพบเขาที่เมืองตุงไห่เช่นกัน นายท่านยืนยันแล้ว ไม่มีทางผิดแน่”

“นายท่านเคยยืนยัน? เป็นเรื่องเมื่อไหร่กัน? ทำไมฉันไม่รู้?” สีหน้านิ่งจองเสิ้งแปรเปลี่ยนเป็นมืดครึ้ม มองไปที่นิ่งจองเป่า

นิ่งจองเป่าถึงกับรู้การมีอยู่ของหลินอิ่งผู้นี้มานานแล้ว แต่กลับไม่เคยบอกเขา?

กระทั่งนายท่านก็รู้ด้วย แต่เขานิ่งจองเสิ้งที่มีฐานะเป็นถึงหนึ่งในสามผู้ดูแลของตระกูลนิ่ง กลับไม่รู้?

นิ่งจองเป่าหลบสายตาเชือดเฉือนของนิ่งจองเสิ้ง พร้อมกล่าวด้วยสีหน้าจริงจังว่า “พี่หก ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่พวกเราจะมาระแวงกันเอง พวกเราลงเรือลำเดียวกันแล้ว สถานการณ์ในตอนนี้ค่อนข้างล่อแหลม หลินอิ่งผู้นั้นมาอย่างรุนแรง พุ่งเข้าใส่พวกเรา……”

“เดี๋ยวก่อน อะไรที่ว่าพุ่งเข้าใส่พวกเรา? หรือนายไปล่วงเกินเขาเข้าแล้ว?” นิ่งจองเสิ้งขัดจังหวะนิ่งจองเป่า กล่าวอย่างช้าๆ ว่า “ต่อให้เป็นผู้สืบทอดของท่านผู้นั้นในปีนั้นมาที่ตี้จิง แล้วมีอะไรล่อแหลมกัน? เขามาที่ตี้จิงมาหาตระกูลนิ่งต้องการอะไร? มอบให้เขาก็พอแล้ว ใช้เงินบ้าง ออกค่าใช้จ่ายบ้าง ต้อนรับเขาให้ดีๆ เห็นเขาเป็นพระโพธิสัตว์ก็ใช้ได้แล้ว”

“เรื่องมันไม่ได้ง่ายดายแบบนั้นน่ะสิ” นิ่งจองเป่ากล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “หลินอิ่งผู้นี้ไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไป กลิ่นอายอันแข็งแกร่งคุกคามคน ผมกับเขาเผชิญหน้าพูดคุยกัน ภายในใจมันเกิดแรงกดดันมหาศาลขึ้น”

หลินอิ่งผู้นี้มาตี้จิงเพราะเรื่องอะไร ฉันไม่รู้ แต่ไม่ใช่เพราะเงินและผลประโยชน์ถึงได้โผล่หน้ามาอย่างแน่นอน ผมมองคนอย่างเขาไม่ออก” นิ่งจองเป่าเอ่ยขึ้นอย่างช้าๆ “อีกทั้ง ปัญหาใหญ่ที่สุด คือหลินอิ่งมุ่งมั่นคิดจะช่วยออกหน้าให้นิ่งซวน ช่วยออกหน้าให้ตระกูลลำดับที่สาม

พอได้ยิน นิ่งจองเสิ้งก็จมลงสู่ห้วงความคิด ไตร่ตรองอยู่พักหนึ่ง จึงกล่าวขึ้นมาอย่างลังเลว่า “ช่วยนิ่งซวนออกหน้า นี่มันเป็นเรื่องอะไรกันแน่? คนรุ่นหลังอย่างนิ่งซวน ทำไมถึงมีสิทธิ์์ได้รู้จักผู้สืบทอดท่านนั้น?”

“เรื่องนี้เล่าแล้วยาว” นิ่งจองเป่าเอ่ยขึ้นอย่างช้าๆ “ตามที่ผมรู้มา หลินอิ่งปรากฏตัวครั้งแรกที่เมืองตุงไห่ เป็นช่วงที่นิ่งซวนดูแลนิ่งซื่อกรุ๊ปของตุงไห่อยู่พอดี ด้วยเหตุนี้ทั้งคู่จึงรู้จักกัน”

“ฮึๆ เมืองตุงไห่?” นิ่งจองเสิ้งยิ้มเยาะ “นายรู้มาไม่น้อยเลยจริงๆ พอเกิดเรื่องแล้วถึงค่อยบอกฉัน?”

“ผมขอโทษ พี่หก นี่เป็นความสะเพร่าของผมเอง” นิ่งจองเป่ารีบก้มหน้าขอโทษ “คุณเองก็รู้เรื่องที่ตระกูลนิ่งของเราเกี่ยวข้องกับผู้อาวุโส นายท่านเคยเตือนแล้ว ล้วนเป็นข้อห้ามมากมาย ผมรู้ว่าเป็นเรื่องสำคัญ จึงไม่กล้าพูดเหลวไหล และไม่กล้าไปสืบมาโดยตลอด คิดไม่ถึงว่าหลินอิ่งผู้นี้จะเป็นฝ่ายมาตี้จิงเอง

“เอาล่ะ ไม่ต้องอธิบายแล้ว ฉันเองก็ขี้เกียจเถียงเรื่องพวกนี้กับนายแล้วเหมือนกัน” นิ่งจองเสิ้งกล่าว ทำท่าทางผ่อนคลายลง “ออกมาจากเมืองตุงไห่? อย่างนั้นบางทีอาจไม่มีความสามารถอะไร อย่างมากก็คงเรียนวรยุทธกับวิชาแพทย์จากท่านผู้นั้นมาบ้าง”

“ในเมื่อเขามาตี้จิงแล้ว ตระกูลนิ่งของพวกเรามอบเงินทองให้เขาสักกองหนึ่ง ก็ใช้ได้แล้ว” นิ่งจองเสิ้งกล่าวอย่างชะล่าใจ “แกก็ไม่ต้องไปกลัวไปเกรงอะไรแล้ว ไหนจะช่วยตระกูลลำดับที่สามออกหน้าอีก ช่างน่าขันซะไม่มี”

“เรื่องมันไม่ได้ง่ายดายแบบนั้นน่ะสิ พี่หก หลินอิ่งฝากคำพูดมาบอกแล้ว ต้องการให้ผมแจ้งกับเบื้องบนของตระกูลนิ่งทุกคนว่า อีกสามวันให้หลัง เขาจะมาที่ตระกูลนิ่งของพวกเรา ให้เบื้องบนทุกคนมาต้อนรับเขา โดยห้ามขาดใครไปแม้แต่คนเดียว” นิ่งจองเป่ากล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง

“อะไรนะ?” นิ่งจองเสิ้งทำท่าทางประหลาดใจ พลางยิ้มเยาะ “หนอยแน่ หลินอิ่งคนเดียว ช่างวางท่าใหญ่โตเสียเหลือเกิน ให้เบื้องบนของตระกูลนิ่งแห่งตี้จิงทุกคนมาต้อนรับเขา? เขาคิดว่าตัวเองเป็นใครกัน?”

“หากเป็นอาจารย์เขากลับมาตี้จิง ฉันจะไม่ปริปากสักคำ จะรีบจัดการให้อย่างยิ่งใหญ่เลย อาศัยแค่ลูกศิษย์อย่างเขาเนี่ยนะ?” นิ่งจองเสิ้งส่ายหน้า “คนที่มาจากแถบชนบทอย่างเมืองตุงไห่ จะมีความสามารถเท่าไหร่กันเชียว?”

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท