ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 278 เพื่อนเรียนสมัยมหาลัยของจางฉีโม่

บทที่ 278 เพื่อนเรียนสมัยมหาลัยของจางฉีโม่

บทที่ 278 เพื่อนเรียนสมัยมหาลัยของจางฉีโม่

ในมุมมองของนิ่งจองเสิ้ง หลินอิ่งที่มีฐานะเป็นผู้สืบทอดของท่านผู้นั้น อาจจะพอมีความสามารถอยู่บ้าง

แต่ว่าคิดจะให้เบื้องบนทั้งตระกูลนิ่งไปต้อนรับเขา นั่นยังคงไม่มีคุณสมบัติมากพอ

ขอเพียงหลินอิ่งไม่มีอำนาจสืบต่อจากท่านผู้นั้น ต่อให้ฝึกฝนจนมีความสามารถที่แท้จริง แล้วจะมีประโยชน์อะไรกันเล่า?

อีกทั้ง ด้วยอายุหลินอิ่งที่น้อยขนาดนี้ ต่อให้ผู้อาวุโสท่านนั้นในปีนั้นมีใจมอบอำนาจในมือให้เขา แล้วเขาจะควบคุมไหวได้อย่างไร?

“พี่หก จะดูถูกคนอย่างหลินอิ่งไม่ได้นะ” นิ่งจองเป่าพูดด้วยสีหน้าระมัดระวัง “แม้พวกเราจะไม่รู้ตัวตนที่แท้จริงของผู้อาวุโสท่านนั้น ว่ามีอำนาจแข็งแกร่งอะไร แต่กระทั่งนายท่านยังปฏิบัติอย่างระมัดระวังเช่นนี้ พวกเราก็ควรระวังไว้บ้างจะดีกว่า”

นิ่งไปเล็กน้อย นิ่งจองเป่าก็กล่าวต่อว่า “โดยเฉพาะ พวกเรายังไม่แน่ใจว่านายท่านกับผู้อาวุโสท่านนั้นมีความเกี่ยวข้องกันยังไง ติดต่อกันทางไหน สมมติว่าหนนี้หลินอิ่งมาเยือนตระกูลนิ่ง ยืนกรานที่จะพบนายท่านให้ได้ พวกเราควรรับมืออย่างไร?”

“พบนายท่าน?” นิ่งจองเสิ้งสีหน้าก็เคร่งขรึมขึ้นมาแล้วเช่นกัน

นายท่านนิ่งไท่จี๋ ปีนั้นเคยพูดประโยคแบบนี้กับเขา ผู้อาวุโสตระกูลนิ่ง เป็นที่พึ่งที่ใหญ่ที่สุดของวงศ์ตระกูล

เพราะเรื่องเกี่ยวพันถึงวงกว้าง มีเพียงรอจนเขาไปแล้ว หลังสืบทอดตำแหน่งหัวหน้าตระกูล เขาถึงจะส่งมอบความสัมพันธ์นี้ แจ้งผู้รับช่วงคนต่อไปถึงความสัมพันธ์ที่แท้จริงกับผู้อาวุโสตระกูลนิ่งให้ทราบ โดยเก็บไพ่ใบสุดท้ายนี้ไว้

“ยุ่งยากเสียจริง ตอนนี้นายท่านเคลื่อนไหวไม่ได้ และไม่อาจให้หลินอิ่งผู้นั้นกับนายท่านพบหน้ากันได้ ไม่อย่างนั้นแผนการใหญ่ของเราได้พังกันหมด” นิ่งจองเสิ้งกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

“ใช่แล้ว การปรากฏตัวของหลินอิ่งในครั้งนี้ ผมก็แค่กังวลว่าทางด้านนายท่านจะเกิดปัญหา” นิ่งจองเป่ากล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง

นิ่งจองเสิ้งครุ่นคิดอยู่นาน ราวกับมีวิธีจัดการแล้ว ดวงตาพลันสว่างวาบ

“ทางด้านนายท่านยังไม่เคลียร์ พวกเราไม่อาจให้หลินอิ่งพบเขาได้เป็นอันขาด เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ถูกเขามองพิรุธบางอย่างออก ทำลายการใหญ่ของเรา” นิ่งจองเสิ้งกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “สำหรับที่ว่าความสามารถของหลินอิ่งมีมากแค่ไหน พวกเราลองหยั่งเชิงดูสักครั้งก็ไม่เสียหาย ดูว่าเขาเป็นคนยังไงกันแน่”

“หยั่งเชิงสักครั้ง?” นิ่งจองเป่าทำสายตาแปลกใจ “นี่เป็นความคิดที่ดี แต่พวกเราควรจะเชิญใครไปหยั่งเชิงดี?”

“เรื่องนี้ฉันจัดการเอง” นิ่งจองเสิ้งพูด “ฉันจะเชิญยอดฝีมือสองคนออกจากภูเขา จะดูซิว่าผู้สืบทอดของท่านผู้นั้น จะมีความสามารถถึงกี่ส่วน มีทักษะอะไรบ้าง”

หากเป็นเพียงลูกศิษย์ที่เรียนมาแค่ผิวเผิน อย่างนั้นก็มอบเงินให้เขาหน่อยแล้วส่งเขาออกไป” นิ่งจองเสิ้งกล่าวอย่างชะล่าใจ “หากมีความสามารถมากมายจริงๆ ก็เก็บไว้เป็นลูกมือของตระกูลนิ่งเรา”

“เขาไม่มีพลังอันน่าหวาดกลัวอย่างอาจารย์เขา ก็คิดจะมานั่งอยู่ในฐานะผู้อาวุโสตระกูลนิ่ง? ยังกล้าจะให้เบื้องบนของตระกูลนิ่งทั้งหมดมาต้อนรับเขา? ฮึๆ ช่างเพ้อฝันเสียจริง” นิ่งจองเสิ้งเยาะหยัน มีแผนการรัดกุมที่จะใช้รับมือหลินอิ่งแล้ว

“ก็ดี พวกเราจำเป็นต้องสืบดูหลินอิ่งอย่างละเอียดสักครั้ง หากเป็นแค่หมอนปักลายดอกไม้ อย่างนั้นก็ไม่จำเป็นต้องเกรงใจอะไรเขาอีก” นิ่งจองเป่าเองก็พยักหน้า เห็นด้วยกับความคิดนี้เช่นกัน

ในใจเขาถึงขั้นกำลังวางแผนอยู่ หากหลินอิ่งแค่เรียนรู้ทักษะและฝีมือมาเพียงนิดเดียว เป็นเพียงแค่เสือกระดาษตัวหนึ่ง เช่นนั้นเขาก็จะหาโอกาสกำจัดหลินอิ่ง ช่วยล้างอายให้กับจ้าวเจี้ยนหนิงลูกเขยของเขา!

“เอาล่ะ จองเป่า นายไม่ต้องกังวลอีกแล้ว ฉันจะจัดการทุกอย่างเอง ก็แค่คนชั้นต่ำคนหนึ่งเท่านั้น” นิ่งจองเสิ้งกล่าวอย่างสบายๆ

……

ตี้จิง ณ ร้านกาแฟฟรานซิส

ร้านกาแฟแห่งนี้ตั้งอยู่ที่พาณิชย์พลาซ่าหลงเถิงในเขตใจกลางเมืองอันแสนคึกคัก เป็นร้านกาแฟชื่อดังในเขตพื้นที่แห่งนี้ ก่อตั้งโดยบริษัทข้ามชาติแห่งหนึ่ง ชื่อแบรนด์สินค้าโด่งดังอย่างมาก เป็นสถานที่ที่คนหนุ่มสาวส่วนใหญ่ในตี้จิงชอบมาเยือน

จางฉีโม่โบกรถ มาหยุดยังเขตพาณิชย์พลาซ่าหลงเถิง

หลังหลงจากรถ เธอก็หยิบมือถือออกมาต่อสายโทรหาคนคนหนึ่ง

เธอเองก็มีกลุ่มเพื่อนอยู่ในตี้จิงเช่นกัน เป็นกลุ่มเพื่อนสมัยมหาลัย ครั้งนี้มาถึงตี้จิง ได้รับคำเชิญจากเพื่อนร่วมชั้นมากมาย จึงวางแผนจะไปรำลึกความหลัง

ในตอนนั้นจางฉีโม่เรียนจบการออกแบบจากมหาวิทยาลัยตี้จิง เธอยังเป็นนักศึกษาดีเด่นอีกด้วย

หลังเรียนจบไม่นาน จางฉีโม่ก็กลับไปยังเมืองชิงหยูนบ้านเกิด ภายใต้การจัดการของคุณปู่ จึงได้เข้ามาทำงานในบริษัทเครื่องประดับจางซื่อกิจการของตระกูล โดยไต่เต้าขึ้นมาจากขั้นต่ำสุด

เดิมที นายท่านตระกูลจางในตอนนั้นรักใคร่เอ็นดูจางฉีโม่เป็นพิเศษ มีความคิดจะฝึกสอนจางฉีโม่ ให้เธอได้อำนาจดูแลบริษัทไปทีละขั้น เพราะอย่างไรก็จบมาจากมหาวิทยาลัยตี้จิง ความสามารถเฉพาะทางย่อมผ่านมาตรฐานอย่างแน่นอน

เพียงแต่น่าเสียดาย จางฉีโม่ยังเพิ่งจะเข้าทำงานได้ไม่นาน จางเวิ่นติ่งก็จากโลกนี้ไป

ด้วยเหตุนี้ จางฉีโม่อยู่ในบริษัทจางซื่อจึงไม่มีวันได้โงหัวมาตลอด และไม่มีโอกาสได้กลับไปตี้จิงอีก จึงไม่ได้ติดต่อกับเพื่อนเรียนสมัยมหาวิทยาลัยอีกเลย

จนกระทั่งหนนี้ ได้มาเยือนตี้จิงเพื่อเข้าร่วมงานเครื่องประดับกับหลินอิ่ง เธอจึงมีโอกาสได้พบปะพูดคุยกับเพื่อนร่วมชั้นในวันวาน

พอลงจากรถแล้ว จางฉีโม่ก็มองเห็นการตกแต่งที่หรูหราตระการตา พาณิชย์พลาซ่าหลงเถิงมีคนไปมาขวักไขว่ สายตาได้หยุดอยู่ที่ร้านกาแฟที่มีการตกแต่งสไตล์ตะวันตกร้านหนึ่ง

“พริบตาก็จบมาหลายปีแล้วสินะ” จางฉีโม่ดวงตาสั่นไหว รู้สึกทอดถอนใจอยู่บ้าง

มหาวิทยาลัยตี้จิงอยู่ใกล้ๆ กับพาณิชย์พลาซ่าหลงเถิง ตอนที่เธอกำลังเรียนอยู่ในมหาลัย เคยผ่านตลาดพลาซ่านี้ ปกติหากต้องการซื้อของสิ่งใด ที่นี่ล้วนมีหมด

ส่วนร้านกาแฟ เป็นสถานที่ที่เธอชอบมาอ่านหนังสือและพักผ่อนมากที่สุดในวันหยุดสุดสัปดาห์ มีความทรงจำอยู่ช่วงเวลาหนึ่ง

ดังนั้น พอได้เห็นร้านกาแฟแห่งนี้ จึงสะกิดความทรงจำขึ้นมาทันที

“เฮ้ ฉีโม่! เรียนจบมาสองสามปีแล้ว เธอไม่เปลี่ยนไปเลย ยังสวยเหมือนเดิม”

ในเวลานี้เอง ชายหญิงสองสามคนก็เดินเข้ามา ชายหนุ่มในชุดลำลองคนหนึ่งพูดยิ้มๆ

“แล้วไม่ใช่หรือไง อย่างไรฉีโม่ก็คือดาวมหาลัยของรุ่นเรานี่นา!” หญิงสาวคนหนึ่งกล่าวยิ้มๆ

“พอแล้ว พวกเธอชมเกินไปแล้ว” จางฉีโม่พูด

“ไปกันเถอะ ฉีโม่ พวกเพื่อนๆ รออยู่ในร้านกาแฟแล้วล่ะ จองห้องส่วนตัวไว้แล้ว เข้าไปดื่มกาแฟข้างในกัน”

พูดเสร็จ จางฉีโม่กับกลุ่มเพื่อนก็เดินเข้าไปในร้านกาแฟฟรานซิส

การตกแต่งภายในร้านกาแฟค่อนข้างมีรสนิยม คล้ายกับเมืองเล็กๆ ในยุคกลาง แม้แต่บริกรที่อยู่ด้านในก็ยังแต่งตัวสไตล์พังค์ว

คณะของจางฉีโม่กำลังเดินเข้าไปยังห้องส่วนตัวที่ชื่อว่า Francois

บนโต๊ะมีคนอยู่ประมาณสิบคน

บนโต๊ะอาหารตรงที่นั่งของแต่ละคนต่างมีจานอาหารวางไว้เดี่ยวๆ บนโต๊ะล้วนเป็นเมนูอาหารตะวันตก

“ฉีโม่ ยินดีต้อนรับ พวกเราไม่ได้พบหน้ากันมาตั้งหลายปีแล้วนะ ทำไมเธอไม่กลับมาตี้จิงบ้างเลย” หญิงสาวคนหนึ่งพูดจาเปิดเผย นั่งอยู่ข้างกายฉีโม่ พูดขึ้นมา

“นั่นสิ หลังเรียนจบก็ไม่ได้ยินข่าวของเธออีกเลย อยู่ที่บ้านเดิมเป็นยังไงบ้าง?”

“ขอบคุณทุกคนที่เป็นห่วง หลังเรียนจบฉันก็ทำงานอยู่ในบริษัทของตระกูล ก็เลยมาตี้จิงน้อยครั้งมาก” จางฉีโม่กล่าวอย่างสุภาพ

“เฮ้ ทำงานอยู่ที่บ้านเดิมมันสนุกตรงไหนกัน? ฉีโม่ ทำไมไม่มาตี้จิงล่ะ ฉันหางานดีๆ ให้เธอได้นะ” หญิงสาวแต่งกายสวยหรูคนหนึ่งพูดขึ้นมา

“ฮ่าๆ ฉีโม่ แม้แต่นิ่งเสี่ยวชิงก็ยังบอกว่าจะช่วยหางานให้เธอ แบบนี้ยังมีอะไรจะพูดอีก ด้วยภูมิหลังวงศ์ตระกูลของเสี่ยวชิง นั่นเท่ากับได้ทำงานตามใจชอบในตำแหน่งสูงของบริษัทใหญ่ในตี้จิงเชียวนะ” ชายหนุ่มคนหนึ่งกล่าวประจบ

“เสี่ยวชิง อาชีพการงานในตอนนี้ของฉันยังนับว่ามั่นคงดีอยู่ ฉันขอบคุณในความหวังดีของเธอมาก” จางฉีโม่ยิ้มพลางตอบอย่างสุภาพ

นิ่งเสี่ยวชิงเป็นรูมเมทของจางฉีโม่ในช่วงที่กำลังเรียนอยู่ ความสัมพันธ์ในอดีตถือว่าไม่เลวอย่างมาก ช่วงอยู่มหาวิทยาลัยก็เคยได้ยินว่า ภูมิหลังวงศ์ตระกูลของนิ่งเสี่ยวชิงแข็งแกร่งอย่างมาก

“หา? งั้นหรือ? อาชีพการงานมั่นคงดีมาก?” นิ่งเสี่ยวชิงหัวเราะ “ฉีโม่ ทำไมฉันฟังดูไม่เห็นเป็นอย่างนั้นเลยล่ะ? เธอดูสิ ตอนมานัดรวมรุ่นเธอก็โบกรถมา ฉันรู้สึกว่ามันไม่มีหน้ามีตาเลยนะ มีปัญหาอะไร เธอบอกฉันไม่ได้เหรอ?”

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท