ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 281 ต้องเรียกหลินอิ่งมา

บทที่ 281 ต้องเรียกหลินอิ่งมา

บทที่ 281 ต้องเรียกหลินอิ่งมา

“ยังคุยเรื่องธุรกิจ? ฉีโม่ เธอไม่ต้องปิดปังอะไรแล้ว เธอมาตี้จิงไม่มีแม้กระทั่งรถใช้งาน ไอ้ไร้น้ำยาหลินอิ่งนั่นทำงานยังไง?” ชายหนุ่มแต่งกายไม่ธรรมดาพูดเสียดสี

“แค่คนแบบนี้ ฉีโม่ เธอยังอยากปกป้องเขาอีก”

“ใช่ ให้หลินอิ่งมารวมงานด้วย ให้พวกเราดูด้วย เขามีที่มายังไง ถ้าเป็นลูกเขยไร้น้ำยาอย่างที่เสี่ยวชิงพูด ยังกล้าไปกินข้าวอ่อนข้างนอกอีก ถ้าอย่างนั้น ฉีโม่ ฉันยินดีช่วยเธอสั่งสอนมัน” ชายคนหนึ่งพูดอย่างอวดดี

เห็นเพื่อนร่วมห้องต่างพูดกันขึ้นมา จางฉีโม่ก็ทำอะไรไม่ได้ รู้สึกอึดใจ

นิ่งเสี่ยวชิงถือว่าเป็นคนที่มีความสามารถที่สุดคนหนึ่ง เธอเปิดปากพูด เพื่อนคนอื่นๆก็ช่วยกันพูดอย่างไม่ลังเล

“ฉีโม่ ไม่ต้องเกรงใจ พอดีเลย คืนนี้ฉันจัดงานเลี้ยง ให้ทุกคนพาญาติมาร่วมงานด้วย เธอเรียกสามีเธอหลินอิ่งมาด้วย” นิ่งเสี่ยวชิงพูด “เธอเองก็พูดแล้วว่าหลินอิ่งไม่ได้เป็นอย่างข่าวลือ ถ้าอย่างนั้นก็พาเขามา จะอึดอัดอะไร?”

นิ่งเสี่ยวชิงมองจางฉีโม่อย่างรู้สึกสนุก วันนี้ต้องฉวยโอกาสงานเลี้ยงรุ่น เหยียบจางฉีโม่ที่เคยเป็นดาราโรงเรียนให้ได้ ไม่อย่างนั้นเธอไม่พอใจแน่ ต้องให้จางฉีโม่เรียกหลินอิ่งมาให้ขายหน้า เธอถึงจะรู้สึกสะใจ

“ใช่ ฉีโม่ เธอจะทำธุรกิจที่ตี้จิงไม่ใช่เหรอ? เสี่ยวชิงมีเส้นสายในตี้จิงเยอะแยะ เธอยังอยากไปหาคนอื่นเหรอ? หาเสี่ยวชิงคนเดียวก็พอแล้ว” ผู้หญิงคนหนึ่งช่วยพูด

“เสี่ยวชิงพูดแบบนี้แล้ว ฉีโม่ เธอคงจะให้หน้ากันหน่อยนะ” ผู้ชายอีกคนพูดขึ้นมา

จางฉีโม่สีหน้าไม่ดี รู้สึกเสียใจที่มาร่วมงานเลี้ยงรุ่นครั้งนี้

เธอคิดไม่ถึงว่าระยะเวลาสั้นๆหลังจากจบไม่กี่ปี เพื่อนร่วมห้องจะกลายเป็นแบบนี้

รวมทั้งเพื่อนรักสมัยก่อนอย่างเสี่ยวชิง ก็กลายเป็นคนแบบนี้

สรุปคือทุกอย่างเปลี่ยนไปแล้ว

ติ๊ดติ๊ด

เวลาเดียวกัน มือถือจางฉีโม่ดังขึ้น หน้าจอเป็นชื่อหลินอิ่งโทรมา

จางฉีโม่กำลังจะลุกขึ้นเดินออกไปคุยกับหลินอิ่ง

นิ่งเสี่ยวชิงที่นั่งอยู่ข้างๆ ยื่นมือไปหยิบมือถือ พูดด้วยสีหน้าหยอกล้อ “เฮ้ ฉีโม่ สามีเธอหลินอิ่งโทรมาไม่ใช่เหรอ? พอดีเลย ฉันเชิญเขาด้วยตัวเองดีกว่า ดูว่าเขายอมมาไหม ไม่ให้เธอลำบากใจ แบบนี้ดีไหม?”

“ฉีโม่ ดูว่าเสี่ยวชิงดีกับเธอขนาดไหน ต้องรู้ว่าฐานะเสี่ยวชิง ในตี้จิงคนรุ่นเดียวกันมีไม่กี่คนที่มีสิทธิ์ได้พูดด้วย” หญิงสายคนหนึ่งพูดประจบ

จางฉีโม่สีหน้าเปลี่ยน รู้สึกโกรธ แต่เธอยังไม่ได้เปิดปากพูด นิ่งเสี่ยชิงก็เอามือถือจางฉีโม่ไป นั่งพูดบนเก้าอี้แล้ว

“ฉีโม่ ผมดูที่อยู่บริษัทใหม่ไว้แล้ว ผมรู้สึกว่าอาคารในฝั่งจงเทียนซิงเฉิงใช้ได้ คุณมีเวลามาดูเมื่อไหร่ ผมไปกับคุณ เราเลือกแล้วซื้อไว้เลย” ในโทรศัพท์เป็นเสียงคนหนุ่มพูดเสียงเรียบ

“เชอะ กล้าพูดจริงๆ ซื้ออาคารสำนักงานที่จงเทียนซิงเฉิง? คุณรู้ไหมว่าซื้ออาคารตรงนั้น ต้องใช้เงินเท่าไหร่?” นิ่งเสี่ยวชิงท่าทางยโส พูดเสียดสีอย่างไม่เกรงใจ

จงเทียนซิงเฉิง คนที่ใช้ชีวิตในตี้จิงรู้กันทั้งนั้น นั่นเป็นเขตใจกลางเมืองที่เจริญที่สุดของตี้จิง เป็นที่ดินที่แพงที่สุด แค่ซื้อห้องชุดห้องเดียวก็ต้องสิบล้านแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงอาคารสำนักงานทั้งอาคาร นั้นมันราคาระดับไหน

แน่นอน สำหรับนิ่งเสี่ยวชิงแล้วทำเรื่องพวกนี้ ก็แค่เสียงเงินนิดเดียวก็ได้แล้ว

แต่สำหรับหลินอิ่งลูกเขยไร้น้ำยาที่มาจากบ้านนอกเมืองตุงไห่แล้ว ยังมีหน้ามาโม้ขนาดนี้อีก?

“เธอเป็นใคร? ฉีโม่อยู่ไหน?” ในโทรศัพท์ น้ำเสียงหลินอิ่งเปลี่ยนเป็นเย็นชาทันที

นิ่งเสี่ยวชิงหัวเราะ ไม่ได้สังเกตถึงน้ำเสียงที่เปลี่ยนไปของหลินอิ่งเลย พูดอย่างใส่ใจ “มิน่าไอ้ไร้น้ำยาอย่างนายถึงหลอกฉีโม่ได้ ยังกินข้าวอ่อน คนไม่มีความสามารถอะไร แต่เรื่องโม้นี่เยอะจริง”

“ฉีโม่อยู่ไหน?” หลินอิ่งถามเสียงเย็นชา ในน้ำเสียงเริ่มหมดความอดทน

“หลินอิ่ง ฉันอยู่ข้างๆ คนที่รับโทรศัพท์เป็นเพื่อนร่วมห้องสมัยเรียน” จางฉีโม่พูดอยู่ข้างๆ ไม่อยากให้หลินอิ่งเป็นห่วง

“เอาโทรศัพท์ให้ฉีโม่” น้ำเสียงหลินอิ่งดีขึ้นมาหน่อย

“หลินอิ่งคนนี้ไม่มีมารยาทเลย ไม่รู้จักทักทายเสี่ยวชิงเลย?” หญิงสาวด้านข้างพูดขึ้นมา

“ช่างเถอะ ฉันก็ไม่อยากถือสาผู้ชายไร้น้ำยาแบบนี้” นิ่งเสี่ยวชิงพูดอย่างนิ่งเฉย “หลินอิ่ง พวกเราเป็นเพื่อนร่วมห้องฉีโม่ คืนนี้ฉันจัดงานเลี้ยงรุ่น นายรีบมาเดี๋ยวนี้”

“ผมไม่รู้จักคุณ เอาโทรศัพท์ให้ฉีโม่” หลินอิ่งพูด

“อวดดีจริงๆ เหอะเหอะ” นิ่งเสี่ยวชิงหัวเราะเย็นชา เธอไม่รู้ว่าหลินอิ่งอวดดีอะไร ยังทำท่าทางยโส

รอเจอหน้ากัน รู้ว่าเธอคือเป็นคุณหนูนิ่งซื่อแห่งตี้จิง ไอ้ไร้น้ำยาเกาะเมียกินคนนี้ต้องกลัวแน่ จากนั้นก็ต้องมาประจบเลียแข้งเลียขาแน่

“ฉีโม่ เธอไปเรียกหลินอิ่งมา” นิ่งเสี่ยวชิงพูดเสียงเรียบ

“ฉีโม่ คุณอยู่ไหน?” หลินอิ่งถาม

จางฉีโม่สีหน้าลังเล แล้วพูดว่า “ฉันอยู่พาณิชย์พลาซ่าหลงเถิง หลินอิ่ง คุณมาที่นี่หน่อยนะคะ”

เสียงติ๊ด มือถือถูกตัดสาย

“ฉีโม่ หลินอิ่ง อีคิวต่ำไปไหม?” นิ่งหลินอิ่งพูดอย่างไม่พอใจ “พอเขามา ฉันจะช่วยเธอสั่งสอนเขาหน่อย ให้เขารู้จักคำว่าเคารพ”

นิ่งเสี่ยวชิงเคยชินที่คนอื่นพูดจะยกยอตลอด สำหรับพฤติกรรมที่หลินอิ่งไม่เห็นเธอในสายตา ทำให้เธอรู้สึกโมโห

“ฉันดูออกแล้ว ไอ้หลินอิ่งคนนี้ไร้มารยาท อีกอย่างยังขี้โม้ ยังกล้าพูดอะไรจงเทียนซิงเฉิง? อยากหัวเราะจนฟันร่วง” ชายหนุ่มคนหนึ่งพูดอย่างดูถูก

ในนี้นอกจากนิ่งเสี่ยวชิงแล้ว ล้วนเป็นคนมีหน้ามีตาในสังคม หน้าที่การงานในตี้จิงก็ดี ได้ยินคำพูดของหลินอิ่งว่าจะซื้ออาคารสำนักงานที่จงเทียนซิงเฉิง อดหัวเราะไม่ได้

นั่นมันต้องใช้เงินสดร้อยล้าน ถึงจะทำได้ ฐานะใหญ่โตอย่างนิ่งเสี่ยวชิง ก็ทำไม่ได้ง่ายๆ แล้วลูกเขยไร้น้ำยาอย่างเขาจะทำได้เหรอ?

อีกฝั่งหนึ่ง หลินอิ่งที่นั่งอยู่ในออฟฟิศประธานโรงแรมจงเทียน สีหน้าเย็นชา

เขาไม่รู้ว่าทางด้านจางฉีโม่เกิดอะไรขึ้น

แต่เขามั่นใจ โดนคนอื่นดูถูกแบบนี้ ในใจฉีโม่ตอนนี้ต้องไม่สบายแน่

เขาโทรหาฮาเดส ให้ฮาเดสไปเขารถที่ลานจอด

จากนั้น เดินออกจากลิฟต์ แล้วออกจากโรงแรมจงเทียน

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท