ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 295 คนที่ทำงานแทนข้ามึงก็กล้าแตะต้องงั้นเหรอ?

บทที่ 295 คนที่ทำงานแทนข้ามึงก็กล้าแตะต้องงั้นเหรอ?

บทที่ 295 คนที่ทำงานแทนข้ามึงก็กล้าแตะต้องงั้นเหรอ?

“นี่มัน? นิ่งเซวียน อย่าหุนหันพลันแล่น รอให้ผมมาจัดการกับสถานการณ์………..”

นิ่งจองเป่ายังอยากจะพูดอะไรบางอย่าง โทรศัพท์ก็ถูกวางสาย และมีเสียงดังขึ้นพร้อมกับเสียงบี๊บสองครั้ง

นิ่งจองเป่าวางโทรศัพท์ สีหน้าดูซับซ้อน กดหมายเลข หลับตาและตกอยู่ในความคิด

เขาก็อยากจะฆ่าหลินอิ่งคนที่เรื่องเยอะคนนี้จะตาย?

เพียงแค่ว่า กลัวภูมิหลังของหลินอิ่งมากเกินไป นั่นไม่ใช่เรื่องตลกเลย

อีกอย่าง คนอายุเยอะมักจะฉลาด เขาไม่ใช่คนที่โง่เขลาเหมือนนิ่งเซวียนเลย

หลังจากคิดอยู่พักหนึ่ง นิ่งจองเป่าก็เก็บโทรศัพท์มือถือ และไม่ได้โทรออกแม้แต่สายเดียว

เดิมที เขาอยากจะโทรหานิ่งจองเต้าพ่อของนิ่งเซวียน และขอให้นิ่งจองเต้ามาชักชวนนิ่งเซวียนสักหน่อยไม่ให้ทำผลีผลาม นิ่งเซวียนลูกชายคนโตของตระกูลนิ่ง มีเพียงคุณท่านและพ่อของเขาเท่านั้นที่สามารถคุมอยู่ได้ และทำตัวหยิ่งและครอบงำเกินไป

และส่วนนิ่งจองเต้ายังคงติดธุระอยู่ในต่างประเทศ และอีกสองสามวันข้างหน้าถึงจะกลับมาที่ตี้จิง

แต่หลังจากคิดอีกครั้ง นิ่งจองเป่าก็มีลูกคิดของตัวเองเช่นกัน

ในเมื่อนิ่งเซวียนอยากจะเผชิญหน้ากับหลินอิ่งอย่างไม่คิดหน้าคิดหลัง งั้นก็พอดีเลย ปล่อยให้นิ่งเซวียนไปลองดูภูมิหลังของหลินอิ่ง

ถ้าหลินอิ่งเอาชนะนิ่งเซวียนจริงๆ ถ้าอย่างนั้น ก็เป็นนิ่งเซวียนที่ทำให้หลินอิ่งขุ่นเคือง หากหลินอิ่งเป็นเพียงเสือกระดาษที่มีรูปร่างหน้าตาเพียงอย่างเดียว ถ้าอย่างนั้น เขาก็จะสามารถหาโอกาสโจมตีหลินอิ่งได้แล้ว!

เขาก็เพียงแค่คอยนั่งบนภูเขาและชมเสือต่อสู้กันเท่านั้น

จะต้องรู้ว่า นิ่งเซวียนไม่ใช่นิ่งเสี่ยวชิง หรือจ้าวเจี้ยนหนิงที่เป็นลูกหลานของผู้ร่ำรวยที่เอาไหนแบบนั้น

นิ่งเซวียนเป็นถึงลูกชายคนโตของตระกูลนิ่ง เขามีอำนาจที่ยิ่งใหญ่ในตระกูลนิ่ง ที่นอกเหนือจากหัวหน้าสามคนของตระกูลนิ่งแล้ว เขาเป็นคนเดียวที่สามารถระดมกองกำลังสายลับของตระกูลนิ่งได้!

สายลับของตระกูลนิ่ง ล้วนได้รับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดี และก็ไม่ใช่บอดี้การ์ดธรรมดาที่จะสามารถเทียบได้!

ในอีกด้านหนึ่ง นิ่งเซวียนวางสายโทรศัพท์ และเลียริมฝีปากที่แห้ง เผยให้เห็นสายตาที่บูดบึ้งอย่างมาก

“คุณ คุณรู้ว่ามีตัวตนของผู้อาวุโสอยู่? คุณยังจะกล้าลงมือกับผมอีกงั้นหรือ?” นิ่งซวนมองไปที่นิ่งเซวียนด้วยท่าทางที่ไม่น่าเชื่อ และสีหน้าที่ประหลาดใจ

หลังจากรับสายโทรศัพท์ของนิ่งเซวียนแล้ว นิ่งซวนก็รู้สึกว่าความคิดของนิ่งเซวียนนั้นบ้าคลั่งจริงๆ เขาไม่ได้ใส่ใจกับคำสั่งสอนของบรรพบุรุษที่คุณท่านสืบทอดไว้ให้เลย ยังกล้าสงสัยในความแข็งแกร่งของผู้อาวุโสอีกด้วย?

“ทำไมผมถึงจะไม่กล้าแตะต้องคุณล่ะ? คุณก็ไม่ลองมองดูตัวเองว่าคุณมีฐานะอะไร?” นิ่งเซวียนพูดด้วยความภาคภูมิใจว่า “ผมไม่รู้ว่าทำไมพวกอาเจ็ดถึงกลัวหลินอิ่งขนาดนั้น แต่เมื่อมองลึกๆ แล้ว หลินอิ่งก็เป็นแค่ผู้อาวุโสของตระกูลนิ่งเท่านั้นเอง”

“คุณจะต้องเข้าใจไว้ว่า ผมนิ่งเซวียนเป็นลูกชายคนโตของตระกูลนิ่ง! ” นิ่งเซวียนกล่าวด้วยสีหน้ามีชัย “ในอนาคตผมจะเป็นคนดูแลตระกูลนิ่งแห่งตี้จิง! แม้ว่าหลินอิ่งจะเป็นผู้อาวุโส เขาก็ต้องเชื่อฟังผม? คุณเข้าใจไหม? ”

“อีกอย่าง คุณก็เป็นเพียงลูกชายที่ถูกทอดทิ้งของตระกูลนิ่ง และลูกชายคนโตในตระกูลนิ่งอย่างผม ใครสำคัญกว่ากัน และใครมีน้ำหนักกว่ากัน หรือว่าหลินอิ่งจะแยกแยะไม่ออกงั้นหรือ?” นิ่งเซวียนกล่าวโดยสีหน้าอย่างมีชัยว่า “ถึงจะพูดถอยออกไปอีกก้าวหนึ่ง ถึงเวลานั้นผมก็ไปคุยกับหลินอิ่ง และแบ่งปันข้อดีบางอย่างกับเขา คุณยังจะคิดว่าเขายังจะช่วยคุณอยู่หรือไม่?”

นิ่งซวนส่ายหัว พร้อมกับเยาะเย้ยที่มุมปากของเขา นิ่งเซวียนไม่ได้เป็นคนประมาทเหมือนภายนอกจริงๆ สำหรับการคาดเดาเกี่ยวกับจิตใจของผู้คนนั้นทำได้เป็นอย่างดี

แต่น่าเสียดาย ที่นิ่งเซวียนไม่สามารถคาดเดาหลินอิ่งผู้อาวุโสได้

เพราะว่า หลินอิ่งไม่ใช่คนธรรมดาเลย และไม่สามารถคาดเดาจากมุมมองของคนธรรมดาได้เลย

“หึ คุณยังคงเยาะเย้ยอยู่หรือ? ” นิ่งเซวียนมองไปที่ท่าทางของนิ่งซวนที่เป็นเช่นนี้ และรู้สึกไม่พึงพอใจอย่างมาก สำหรับคนอย่างไอ้ขยะแบบนี้ คนที่ใกล้จะตายแล้วยังคงแสร้งทำเป็นอยู่ต่อหน้าเขาอีกงั้นเหรอ?

พัฟ! พัฟ!

นิ่งเซวียนยกมือของเขาขึ้น และตบเข้าที่ใบหน้าของนิ่งซวนไปสองที

การแสดงออกของนิ่งเซวียนมืดมนลง และกัดฟันไว้แน่น

“คุณไม่พอใจใช่ไหม? คิดว่ามันยอดเยี่ยมมากที่มีหลินอิ่งปกป้องตัวคุณอยู่งั้นเหรอ? จะบอกคุณว่า ผมอยากจะตบหน้าคุณ หลินอิ่งก็ไม่สามารถปกป้องได้เช่นกัน!” นิ่งเซวียนพูดอย่างหยิ่งผยอง “เจ้าโง่อย่างมึง คุณบอกว่าโอนธุรกิจไปให้คนอื่นแล้ว โอนไปให้หลินอิ่งแล้ว? ใช่หรือไม่? ยังบอกว่าข้าไม่สามารถรุกรานเขาได้งั้นเหรอ? ”

นิ่งเซวียนเยาะเย้ยว่า “ผมไม่สามารถรุกรานได้? คุณคิดว่าผมเป็นไอ้ขยะอย่างคุณงั้นเหรอ? ไม่มีใครเลยสักคนที่อยู่รอบตัว? ”

“คุณก็ไม่ลองดูสักหน่อย แม้แต่อดีตพ่อบ้านของคุณ และปรมาจารย์ผู้ยอดฝีมือที่คุณแอบรู้จักในที่ลับของบ้านที่สาม ทุกคนต่างก็ไม่กล้าเข้ามาแทรกในเรื่องของคุณ ซ่อนตัวและมองดูอยู่ข้างๆ คุณลองว่ามาสิ ตั้งแต่เล็กจนโตคุณก็เป็นไอ้ขยะคนหนึ่ง! คุณจะทำอะไรได้อีก?” นิ่งเซวียนเริ่มพูดดูถูกนิ่งซวนอย่างไร้ความปรานี การแสดงออกของเขาภาคภูมิใจมาก

“ผมจะทำอะไรได้ ฮ่าฮ่า” นิ่งซวนยิ้มเยาะ “ในตอนแรกจุดเริ่มต้นของคุณสูงกว่าของผม แต่ว่า และก็ยังไม่เห็นความสำเร็จใดๆ ของคุณที่อยู่ภายในครอบครัวเลย”

นิ่งซวนดูหมิ่นตัวเอง บางทีเมื่อเทียบกับความโหดร้าย เขาไม่ได้เด็ดขาดและดุร้ายเท่านิ่งเซวียนในทุกด้าน

อย่างไรก็ตาม นิ่งซวนมีความมั่นใจอยู่ข้อหนึ่ง เขามีสิ่งหนึ่งที่สูงกว่านิ่งเซวียนมากมาย และนั่นก็คือวิสัยทัศน์การมองผู้คน!

“มึงยังมีหน้ามาเปรียบเทียบกับกูอีกเหรอ?” นิ่งเซวียนส่ายหัว ด้วยท่าทางที่เหยียดหยาม

ด้วยเสียงพัฟๆๆๆ เขาตบเข้าที่ใบหน้าของนิ่งซวยด้วยหลังมือไปหลายที และความโกรธในใจของเขาก็กำลังระบายออก

“เจ้าขยะเอ๊ย ส่งมอบทรัพย์สินให้กูมันไม่ดีเหรอ? มอบให้กับหลินอิ่งลูกเขยที่ไม่เอาไหนคนนั้น?” นิ่งเซวียนกล่าวด้วยสีหน้าที่ไม่ยอมใจ ความโกรธเคืองเต็มไปในดวงตาของเขา

แม้ว่าเขาจะเป็นทายาทคนแรกของตระกูลนิ่งของตี้จิง แต่เขาก็ยังไม่ได้รับสิทธิ์ในอำนาจของตระกูลนิ่งอย่างเต็มตัว

ทรัพย์สินขนาดใหญ่ของบ้านที่สามของตระกูลนิ่งในตอนนี้สำหรับเขาแล้ว มันเป็นสิ่งที่น่าโปรดปรานมากเลยทีเดียว มันเป็นเหมือนเนื้อติดมันชิ้นใหญ่ เมื่อได้มาแล้ว ก็จะสามารถเพิ่มอำนาจทางการเงินของตัวเองได้อย่างมาก และสถานะและอิทธิพลภายในครอบครัวก็จะยิ่งใหญ่ขึ้น

ตูม!

ในขณะนี้ อูหยางซึ่งนอนอยู่ที่มุมผนัง ถูกชายในชุดดำคว้าไว้ทันใด เขาถูกทุบตีและเตะ จนอาเจียนเป็นเลือดในปากของเขา

“คุณชายใหญ่ เลขาผู้ช่วยของนิ่งซวนอูหยางคนนี้ กล้าแอบโทรหาผู้คนมาช่วย รนหาที่ตายเลยจริงๆ ให้ผมจัดการเขาไปตอนนี้เลยไหม?” ชายในชุดดำถามด้วยสีหน้าจริงจัง

“โอ้? โทรหาผู้คนมาช่วยงั้นเหรอ?” นิ่งเซวียนเริ่มมีความสนใจขึ้นมา “เอาโทรศัพท์มือถือของเขามาให้ผมดูหน่อย ผมจะดูว่าเขากำลังจะโทรหาใคร”

“ครับ” ชายในชุดดำยื่นโทรศัพท์ให้ด้วยความเคารพ

นิ่งเซวียนมองไปที่โทรศัพท์ ทันใดนั้นใบหน้าของเขาก็แสดงท่าทางขี้เล่นขึ้นมา “ฮ่าฮ่า หลินอิ่งใช่ไหม?”

“พวกอาเจ็ดและผู้เฒ่าทั้งหลายนั่น ถือตัวหลินอิ่งเป็นเหมือนดั่งพระโพธิสัตว์ พวกคุณก็ถือตัวหลินอิ่งเป็นผู้ช่วยชีวิตที่ยิ่งใหญ่ พระโพธิสัตว์ที่ยิ่งใหญ่งั้นหรือ?” นิ่งเซวียนกล่าวด้วยสีหน้ามืดมน “เอาล่ะ วันนี้ข้าจะเหยียบพระโพธิสัตว์ของพวกคุณอยู่ใต้เท้า และดูว่าพวกคุณยังจะหวังอะไรได้อีก!”

กำลังพูดอยู่ นิ่งเซวียนจึงกดหน้าจอโทรศัพท์ กดหมายเลขโทรออก แล้วโยนโทรศัพท์ไปที่ใบหน้าของนิ่งซวน

“นิ่งซวน มา ผมจะให้โอกาสคุณสักครั้ง โทรหาผู้สนับสนุนรายใหญ่ของคุณมา” นิ่งเซวียนพูดอย่างสนุกสนาน ด้วยการแสดงออกที่มั่นใจ

นิ่งเซวียนได้วางแผนที่ดีไว้ในใจแล้ว ในวันนี้ถ้าหลินอิ่งเต็มใจที่จะมอบทรัพย์สินของครอบครัวนิ่งซวนออกมา ทุกอย่างก็เป็นเรื่องง่ายที่จะคุยกัน

ถ้าเขาปฏิเสธ และต้องการออกหน้าช่วยนิ่งซวนอย่างดื้อรั้น และขวางทางร่ำรวยของเขา ถ้าอย่างนั้น ก็ฆ่าเขาโดยตรง!

“นิ่งซวน คุณเป็นอะไรหรือเปล่า?” โทรศัพท์ติด เสียงสงบของหลินอิ่งดังผ่านโทรศัพท์มา

“ประธานหลิน มีปัญหาเล็กน้อยเกิดขึ้นอยู่ที่ผม ผมอยู่ที่บริษัทของผม มีคนจับตัวผมไว้ ก็คือนิ่งเซวียนคนที่ผมเคยพูดถึงกับคุณเมื่อครั้งที่แล้ว” นิ่งซวนกล่าวด้วยความเคารพ

“นิ่งเซวียนเหรอ? คุณให้นิ่งเซวียนรับโทรศัพท์” หลินอิ่งกล่าวอย่างใจเย็น

“ผมชื่อนิ่งเซวียน ไม่รู้ว่าคุณมีอะไรจะพูดกับผมเหรอ?” นิ่งเซวียนสงบอารมณ์ และกล่าวอย่างสุภาพ

“คนที่ทำงานแทนผมคุณก็กล้าแตะต้องงั้นเหรอ?” หลินอิ่งถามด้วยเสียงเย็นชา

ในประโยคนี้เต็มไปด้วยกลิ่นไอการสังหาร ทำให้นิ่งเซวียนตกตะลึงในจุดนั้น และก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกกลัวขึ้นมา และสั่นสะเทือนอยู่ในใจ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท