ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 285 หลินอิ่งเป็นใครกันแน่?

บทที่ 285 หลินอิ่งเป็นใครกันแน่?

บทที่ 285 หลินอิ่งเป็นใครกันแน่?

“แกพูดอะไร? เหล้าที่แกดื่ม ประธานถูไม่กล้าดื่ม?”

“แกนี่มันอวดดีลอยขึ้นสวรรค์แล้ว? ไม่รู้จักดูสถานการณ์ ยังกล้าพูดอีก จะอวดดีถึงไหน?”

“ไอ้แม่เจ้า ฉีโม่ เธอคงไม่ได้แต่งงานกับปัญญาอ่อนนะ? ทำไมถึงได้โง่ถึงขนาดนี้”

หลังจากที่หลินอิ่งพูดไปประโยคหนึ่ง ทุกคนในงานก็ทำสีหน้าตกใจ มองหลินอิ่งด้วยสายตาเหมือนมองปัญญาอ่อน

ต่อหน้าหัวหน้าใหญ่ของโลกแห่งความมืดตี้จิง พูดว่าตัวเองดื่มเหล้าให้เขากล้าดื่มไหม? นี่มันดูถูกถูซานขนาดไหน?

ต้องรู้ว่า ถูซานเป็นหัวหน้ายักษ์ใหญ่ของฮ่องเต้โลกแห่งความมืดของหยูจื๋อเฉิง ไม่ดูว่าคุณหนูตระกูลนิ่งอย่างนิ่งเสี่ยวชิง ยังเคารพประธานถูขนาดนี้?

ขอให้หลินอิ่งยังรู้จักคิด ถึงจะไม่รู้ว่าถูซานใหญ่โตแค่ไหน แต่พอเห็นการกระทำของนิ่งเสี่ยวชิงแล้ว ก็ควรรู้ ว่าคนคนนี้เขามีเรื่องด้วยไม่ได้?

แสดงละครจนไม่ดูตาม้าตาเรือ

ทันใดนั้น ทุกคนในงานต่างก็มองหลินอิ่งด้วยสายตารังแกียจ คนแบบนี้มันน่าขยะแขยงเหลือเกิน เป็นลูกเขยไร้น้ำยาแท้ๆ ทำให้ประธานถูโกรธจะทำให้พวกเขาซวยไปด้วย

ถูซานได้ยินคำพูดที่ทุกคนพูดกับท่านอิ่ง สีหน้ายิ่งไม่ดี

ท่านอิ่งอยู่ตรงหน้า ทำให้ถูซานรู้สึกกดดันอย่างมาก จนเขาไม่กล้าพูดเลย

“ประธานถู ต้องขอโทษด้วย งานเลี้ยงของพวกเราครั้งนี้ให้ไอ้โง่นี่เข้ามาด้วย รบกวนท่านแล้ว”

“ประธานถู อย่าโกรธเลยนะคะ อย่าไปถือสาไอ้ไร้น้ำยาแบบนี้ ถ้าท่านลงมือกับมัน จะลดตัวเกินไป”

“ประธานถู ขอแค่ท่านพูดคำเดียว เดี๋ยวผมช่วยท่านลงมือเอง ช่วยท่านจัดการมันเอง”

ทุกคนในงานต่างพูดประจบขอโทษแทน พยายามประจบถูซานถึงที่สุด

“ประธานถู ขอโทษด้วยจริงๆ ในงานแบบนี้ มาเจอกับคนไร้มารยาทหน้าโง่แบบนี้ ถ้าท่านจะสั่งสอนหลินอิ่ง ดิฉันไม่ห้าม จะสนับสนุนท่านด้วย เพราะแม้แต่เมียของหลินอิ่ง ก็ไม่ได้ใส่ใจไอ้หน้าโง่นี่” นิ่งเสี่ยวชิงพูดเสียงเย็นชา

เธอใช้สายตาดูถูกมองไปที่หลินอิ่ง คิดในใจ ดูว่าคราวนี้หลินอิ่งจะทำยังไง ยังกล้าแสดงต่อไหม? คิดว่าไม่มีใครทำเขาได้เหรอ?

แค่ดูสีหน้าถูซานตอนนี้ คืนนี้คงได้หักขาข้างหนึ่งของหลินอิ่งแน่

“พวกเธอ หุบปากเดี๋ยวนี้”

ถูซานสีหน้าแดงก่ำ โมโหขึ้นมาทันที ตะโกนใส่พวกนิ่งเสี่ยวชิง

ประโยคนี้ออกไป ทุกคนในงานต่างตกใจ ตัวสั่นไปหมด พวกเขารู้สึกถึงความโมโหของถูซาน

ถูซานมีสมญานามว่านกอินทรี เป็นนักฆ่าโลกแห่งความมืดที่ฝีมือโหดร้าย ฆ่าคนเลือดท่วมมามากมาย เวลาโมโหร้ายใครก็ไม่รู้จะเกิดสถานการณ์อะไร?

“ประธานถู ขอโทษ ขอโทษด้วย”

คนที่ลุกขึ้นดื่มเหล้า ก้มหน้าขอโทษกันทุกคน ไม่กล้าแม้แต่มองหน้าถูซาน กลัวตายกันทุกคน

“ประธานถู ขอโทษด้วย วันนี้ฉันดูแลไม่ทั่วถึง เดี๋ยวฉันจะให้คำอธิบายเอง”

นิ่งเสี่ยวชิงสีหน้าเคร่งเครียด พูดขอโทษ เธอก็รู้สึกหวาดกลัวความโมโหร้ายของถูซาน

ต้องรู้ว่า พาณิชย์พลาซ่าหลงเถิงในเขตจงเทียน นั้นเป็นอาณาเขตของถูซาน

ในแวดวงมหาเศรษฐีแห่งตี้จิง มีใครไม่รู้ ตระกูลฉีก็คือผู้คุมเขตจงเทียน

และหัวหน้าถูซานหยูจื๋อเฉิง ก็คือตัวแทนที่ตระกูลฉีแห่งตี้จิง

แม้แต่อำนาจของตระกูลนิ่ง ในเขตจงเทียนก็สู้หยูจื๋อเฉิงไม่ได้ แม้แต่เธอก็ต้องเคารพเขา

“ขอโทษฉัน? พวกแกขอโทษฉันก็ไม่มีประโยชน์” ถูซานพูดเย็นชา “นิ่งเสี่ยวชิง เธอก็ไม่ต้องให้คำอธิบายกับฉัน ไปอธิบายให้ประธานหลินโน่น”

“ประธานหลิน? หมายความว่าอะไร?” นิ่งเสี่ยวชิงสีหน้าตกใจ ยังไม่เข้าใจสถานการณ์

ถูซานหันไปมองหลินอิ่ง ก้มหน้า พูดด้วยน้ำเสียงเคารพ “ประธานหลิน ท่านว่า จะจัดการพวกไม่รู้ที่ต่ำที่สูงพวกนี้ยังไงครับ?”

“ต้องให้ผมเรียกคนมาจัดการไหมครับ?”

“ไม่ นี่มัน? นี่มันอะไรกัน? ประธานถู ทำไมท่านถึงเคารพไอ้ไร้น้ำยานี้ขนาดนี้?”

นิ่งเสี่ยวชิงตกใจกับพฤติกรรมของถูซาน หันไปมองหลินอิ่งอย่างไม่อยากเชื่อสายตา

สำหรับทุกคนในงาน จากคำพูดของถูซานแล้ว ต่างก็แสดงอาการตกใจ สีหน้าซีดไปทันที อ้าปากตาค้าง

คนระดับอย่างถูซาน กลับก้มหน้าพูดจาเคารพหลินอิ่งเรียกเขาว่าประธานหลิน? ยังถามความคิดเห็นของประธานหลิน?

หรือว่า ทุกอย่างที่หลินอิ่งทำก่อนหน้านี้ ไม่ใช่การแสดง?

แต่นั่นคือ หลินอิ่งมีความสามารถจริง?

หลินอิ่งดื่มเหล้าไปคำหนึ่ง พูดเสียงเรียบ “นกอินทรี เรื่องแค่นี้เรียกคนทำไม?”

“ครับ ประธานหลิน ท่านพูดถูก” ถูซานรีบพยักหน้า ในใจก็รู้สึกโล่งอกไปหน่อย

เขากลัวว่าประธานหลินจะโมโหเพราะพวกหน้าโง่พวกนี้ ถ้าเป็นแบบนั้น จะกระทบมาถึงเขาด้วย ผลลัพธ์เขาไม่กล้าคิด

หลินอิ่งดูเรียบร้อยสง่าผ่าเผย แต่เขาเคยเห็นตอนที่ประธานหลินโมโหร้าย

คืนนั้น ประธานหลินคนเดียว ท่าทางดุดันบุกเข้าไปสำนักใหญ่ตระกูลเหวินตี้จิง ภาพนั้น ไม่อาจหาที่เปรียบได้ ยังจำอยู่ในสายตาเขาไม่มีวันลืม

ต้องรู้ว่า หากประธานหลินโกรธขึ้นมา ตระกูลเหวินอันใหญ่โตแห่งตี้จิง ก็หมดสิ้นไปแค่ชั่วค่ำคืน

“ไอ้พวกหน้าโง่ ยังไม่รีบขอโทษประธานหลินอีก? อยากตายกันใช่ไหม?” ถูซานตะโกนใส่ทุกคนในงาน “ประธานหลินไม่ถือสาแล้ว นั่นถือว่าเป็นบุญพวกแกแล้ว ฉันเป็นลูกน้องประธานหลิน จะดูพวกแกมาว่าประธานหลินเหรอ?”

“หา? หลิน ประธานหลิน……”

ที่คนในงานต่างสีหน้าเต็มไปด้วยความตะลึง หันไปมองหลินอิ่งทุกคน สายตาเปลี่ยนเป็นเหมือนเห็นเทวดา

น่ากลัวจริงๆ

หลินอิ่งสามีของจางฉีโม่ เป็นถึงหัวหน้าของถูซาน? ไม่น่าเชื่อจริงๆ

คนที่มีอำนาจขนาดนี้ ทำไมถึงได้สำรวมขนาดนี้? นี่มันคนในตำนานระดับเทพจริงๆ

ตอนนี้พวกเขารู้สึกเสียใจจนท้องไส้พันกันหมดแล้ว คิดถึงคำพูดที่พูดกับหลินอิ่งเมื่อกี้ ในใจก็รู้สึกกลัวขึ้นมา

ด้วยความไม่คาดคิด ไปทำให้คนที่น่ากลัวขนาดนี้ขุ่นเคืองได้

“ประธานหลิน ขอโทษ ขออภัยด้วย พวกเรามีตาหามีแววไม่”

“ประธานหลิน ขอให้ท่านอย่าถือสากันเลย พวกเราตาบอดไปจริงๆที่ไม่เคารพท่าน”

“เร็ว รีบดื่มขอโทษประธานหลิน ยังนิ่งกันทำไม”

คราวนี้ สีหน้าทุกคนในงานเปลี่ยนกันหมด ต่างก็เต็มไปด้วยความหวาดกลัว พยายามบีบรอยยิ้มเพื่อประจบหลินอิ่ง ยกแก้วดื่มเหล้าขอโทษ

ส่วนนิ่งเสี่ยวชิง ยังคงอึ้งอยู่กับที่ รู้สึกอับอายขายหน้า ทำตัวไม่ถูก มองหลินอิ่งอย่างไม่น่าเชื่อ

เธอคิดไม่ถึง หลินอิ่งจะมีอำนาจในตี้จิงขนาดนี้ มีอำนาจและฐานะสูงยิ่งกว่าเธอ

นิ่งเสี่ยวชิงคิดไม่ตก หลินอิ่งเป็นลูกเขยไร้น้ำยามาจากเมืองตุงไห่ไม่ใช่เหรอ? เขาเป็นใครมาจากไหนกันแน่?

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท