ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 289 จัดการเรียบร้อยในสามวินาที

บทที่ 289 จัดการเรียบร้อยในสามวินาที

บทที่ 289 จัดการเรียบร้อยในสามวินาที

“อะไร? เอาพวกเราให้พิการ? แค่บอดี้การ์ดร่างใหญ่หน้าโง่คนเดียวเนี่ยนะ?”

ได้ยินหลินอิ่งพูด เฮยเป้าก็หัวเราะ สีหน้าดูถูก รู้สึกว่าหลินอิ่งบ้าไปแล้ว

“เหอะเหอะ โง่จนไม่มียารักษาแล้ว” นิ่งจองเสียนส่ายหน้า “เฮยเป้า รีบจัดการมัน”

เพิ่งพูดจบ ฮาเดสก็ลงมือแล้ว

ปัง

ฮาเดสเพียงแค่ต่อยไปหมัดเดียว ที่หน้าของเฮยเป้า แว่นเขาก็แตกกระจาย

จากนั้นก็ถีบเจ้าไปอีกที ที่เขาของเขา ก็ถีบจนกระดูกหัก

“อ้าก”

เฮยเป้าร้องเสียงโอดโอยด้วยความเจ็บปวด คุกเข่าอยู่กับพื้น ขยับไปไกลสิบกว่าเมตร เลือดไหลออกจากเข่า เห็นได้ชัดว่าแรงกระทบหนักขนาดไหน

“แก แก” เฮยเป้าจ้องหน้าฮาเดส เนื้อตัวสั่นไปหมด เลือดซึมออกจากปาก สีหน้าไม่อยากเชื่อ

เฮยเป้าคิดไม่ถึง บอดี้การ์ดข้างกายหลินอิ่งที่ดูหน้าตาเรียบเฉยคนนี้ แค่ถีบเพียงครั้งเดียว ก็ทำเขาเกือบตายคาที่ แรงหนักจนน่ากลัว

โดยเฉพาะ ร่างฮาเดสที่ดูสูงใหญ่ กลับรวดเร็วจนคนตอบสนองไม่ทัน ไม่ใช่คนธรรมดา

“ลูกพี่ เป็นอะไรไหม?”

“แกยังกล้าลงมืออีก รนหาที่ตาย”

เห็นเฮยเป้ากระอักเลือดไม่หยุด ลูกน้องที่เขาพามาก็โมโห ต่างก็แสดงสีหน้าไม่พอใจ

เฟี๊ยวฟ้าว

บอดี้การ์ดชุดสูททั้งกลุ่ม ก็ดึงไม้ออกมา บางคนก็เอาปืนออกมาจากกระเป๋า

“แกสองคนคุกเข่าเดี๋ยวนี้ ไม่อย่างนั้นอย่างหาว่าปืนไม่มีตา”

“แม้แต่ลูกพี่พวกเรายังกล้าลงมือ เรื่องไม่จบง่ายๆแน่”

ลูกน้องเฮยเป้าตะโกนอย่างบ้าคลั่ง ล้อมพวกเขาไว้อย่างดุดัน

ลูกน้องที่เฮยเป้าพามา พอเห็นลูกพี่ตัวเองถูกถีบจนกระอักเลือด ทุกคนก็โมโหขึ้นมา

ถึงไม่ได้ช่วยนิ่งจองเสียน ก็เพราะบอดี้การ์ดของหลินอิ่งทำร้ายหัวหน้าเฮยเป้าของพวกเขา จนขนาดนี้ วันนี้ต้องเอาหลินอิ่งให้พิการแน่

ฮาเดสยิ้มอย่างเย็นชา มองบอดี้การ์ดชุดสูทรอบหนึ่ง เหมือนรู้สึกสนุกขึ้นมาทันที หมุนคอตัวเองไปมา

ต่อมา ฮาเดสก็พุ่งเข้าไป ร่างสูงใหญ่รวดเร็วกว่าพายุ ทำให้รู้สึกน่ากลัว

แค่เสี้ยววินาที กลุ่มบอดี้การ์ดที่ถือท่อนเหล็กยังไม่ทันตั้งตัว ฮาเดสก็เข้าใกล้ตัวพวกเขา มือเท้ามาพร้อม แค่ชั่วครู่เดียวก็ล้มกันไปหมด

แม้กระทั่งอาวุธจริงในมือพวกเขายังไม่ทันได้ใช้เลย ก็ถูกหักเป็นท่อนๆแล้ว

ทุกคนในงานต่างก็ตกใจตาค้าง พวกเขาแม้แต่ดูยังดูไม่ชัดเลยว่าเกิดอะไรขึ้น เห็นเพียงแค่บอดี้การ์ดยี่สิบกว่าคนกระเด็นไปไกลทีละคน ล้มลงกับพื้นเลือดอาบปาก

สำหรับหน่วยรบพิเศษอย่างฮาเดส บอดี้การ์ดกลุ่มนี้ที่ยังถือว่าได้รับการฝึกมา ไม่ใช่คู่ต่อสู้แม้แต่นิดเดียว

“นี่มัน ปีศาจชัดๆ”

“บ้าเอ้ย อย่าขยับ ขยับตัวอีกฉันฆ่าแกแน่”

คราวนี้ ทุกคนต่างก็ตกใจกับฝีมือของฮาเดส

ลูกน้องของนิ่งจองเสียนต่างก็หยิบปืนออกมาสีหน้าตื่นเต้น ต่างก็ชี้ปืนไปที่ฮาเดส

ไม่กี่สิบวินาที ก็จัดการบอดี้การ์ดฝีมือดียี่สิบกว่าคนล้มลงได้ นี่ไม่ใช่คนธรรมดา

เห็นคนหยิบปืนออกมา สายตาฮาเดสก็เย็นชาขึ้น มีแววความโหดเหี้ยม เหมือนยิ่งทำให้เขาสนใจยิ่งขึ้น

ซู๊ด

ฮาเดสก้าวไปก้าวเดียว ร่างก็หายไปทันที สายตาเห็นแค่เพียงเงาจางๆ ความรวดเร็วนั้นเกินขีดจำกัด มือปืนที่เอาปืนชี้ฮาเดสอยู่สิบกว่าคน มองอึ้งอยู่กับที่

แค่เสี้ยววินาทีที่พวกเขากำลังตะลึง ความน่ากลัวก็กระแทกเข้าหาพวกเขา

สิ่งที่ตามมาก็คือ เลือดกระจายไปทั่วทุกทิศ บอดี้การ์ดถือปืนแต่ละคนกระเด็นไปไกลสิบเมตร

“เอื้อกอ๊าก”

“อ้ากอ้าก”

เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดทีละคน ทำให้ทุกคนที่ได้ยินต่างก็ขนลุก รู้สึกหวาดกลัว

บอดี้การ์ดถือปืนสิบกว่าคน ต่างก็นอนราบอยู่กับพื้น สายตาหวาดกลัว เนื้อตัวสั่น พวกเขามือถือปืนทุกคน ก็ยังถูกฉีดจนเอ็นขาด เลือดอาบ

ทุกคนที่จะลงมือกับหลินอิ่งเมื่อกี้ พิการทุกคน

ไม่ใช่แขนหักก็ขาหัก

หลินอิ่งพูดอย่างปกติเรียบเฉยแค่คำเดียว พิการหมด

บอดี้การ์ดของเขา ก็ทำเอาหลายสิบคนพิการทุกคน?

น่ากลัวจริงๆ

ภาพนี้ ทำเอาทุกคนที่อยู่ในงานต่างก็ตกใจตะลึงจนพูดอะไรไม่ออก

ฮาเดสกลับไปตำแหน่งที่หลินอิ่งนั่ง ยืนด้วยสีหน้าเลือดเย็น ทำให้ทุกคนรู้สึกกดดันและหวาดกลัว

ตอนนี้ ทุกคนเงียบสงบ

“นี่ นี่มัน……” นิ่งเสี่ยวชิงสีหน้าซีดขาว มองหลินอิ่งด้วยสายตาหวาดกลัว ในใจรู้สึกกลัวยังพูดไม่ถูก

บอดี้การ์ดข้างกายหลินอิ่งที่ไม่พูดอะไรสักคำ น่ากลัวขนาดนี้?

คิดถึงคำดูถูกที่พูดกับหลินอิ่งก่อนหน้านี้ นิ่งเสี่ยวชิงก็เริ่มกลัว ถ้าตอนนั้นหลินอิ่งสั่งบอดี้การ์ดคนนี้ลงมือ ผลลัพธ์จะน่ากลัวขนาดไหน?

“แก?” นิ่งจองเสียนเหงื่อท่วมหัว รู้สึกว่าหลินอิ่งไม่ได้ธรรมดาอย่างที่เห็น “นี่แกไปจ้างมาจากไหน? คิดว่ามีคนฝีมือดีอยู่ข้างกาย ก็กล้าอวดดีเหรอ?”

ฮาเดสยิ้มอย่างเย็นชา ดูพวกน่าโง่สีหน้าตกใจหวาดกลัว เขาก็อดส่ายหัวไม่ได้

ฮาเดสสำหรับคำสั่งของหลินอิ่งแล้วต้องทำตามแน่นอน หลินอิ่งบอกเอาให้พิการ ก็คือพิการ ไม่ฆ่าทิ้งแน่นอน

ไม่อย่างนั้น ด้วยนิสัยเขาแล้ว ลงมือแล้วก็ฆ่าอย่างราบคาบแน่นอน พวกแมลงโดดไปมาแบบนี้ต้องเหยียบให้ตาย

ยังกล้าโดดมาอวดดีต่อหน้าประธานหลิน?

ไม่จำเป็นที่ประธานหลินต้องลงมือเอง ขอแค่ประธานหลินให้โอกาสเขาฮาเดสสักครั้ง

ช่างคนพวกนี้จะเป็นประธานตระกูลนิ่งหรือหัวหน้าอะไรก็ตาม คืนเดียว ก็ทำให้พวกเขาหายไปจากโลกนี้ได้ ง่ายเหมือนบีบมดตายในกำมือ

นิ่งจองเสียนมองฮาเดสที่สายตาเลือดเย็น รู้สึกขนลุก รู้สึกว่าตัวเองเหมือนสัตว์ที่ถูกตามล่า

เขาไม่ใจ หลินอิ่งไปหาบอดี้การ์ดเก่งกาจขนาดนี้มาจากไหน

“แกฟังภาษาประเทศหลุงรู้เรื่องใช่ไหม?” นิ่งจองเสียนมองไปที่ฮาเดส ถาม “ฝีมือแกใช้ได้ มาทำงานให้ฉัน ค่าจ้างที่หลินอิ่งให้แก ฉันให้สิบเท่า เชื่อฉัน แกทำงานกับฉัน มีอนาคตไกลกว่าทำงานให้คนอย่างหลินอิ่งแน่นอน”

หลินอิ่งไม่ได้แสดงท่าที ฮาเดสมองนิ่งจองเสียนยิ้มเย็นชาขึ้นมา สายตาส่อแววโหดร้าย

สำหรับฮาเดสแล้ว นี่เป็นเรื่องดูถูก คิดจะเอาเงินมาซื้อเขา?

ฮาเดสเป็นคนนับถือวิชาการต่อสู้ เพราะว่าหลินอิ่งชนะเขา และเป็นการเอาชนะอย่างขาดรอย เพราะฉะนั้นเขาถึงยอมทำงานให้ประธานหลินอย่างเต็มใจ

ตอนแรกทำงานให้คริสของลาตินกรุ๊ป ก็เพราะว่า คริสเป็นเพื่อนร่วมงานของฮาเดสนานหลายปี ทั้งสองยังมีความสัมพันธ์ทางสายเลือด ถือว่าเป็นน้องของคริส

ส่วนนิ่งจองเสียน ใช้เงินมาหลอกล่อฮาเดส?

ต้องรู้ว่า ฮาเดสเป็นคนดังของหน่วยรบพิเศษของประเทศM และเป็นคนดังมีชื่อเสียงในกลุ่มนักฆ่าต่างประเทศ ผ่านการสู้รบความเป็นความตายมานับไม่ถ้วน ความเร็วและความสามารถหาที่เปรียบได้ยาก พฤติกรรมของนิ่งจองเสียน ไม่ใช่การดูถูกเหรอ?

หลินอิ่งมองฮาเดส พูดเสียงเย็นชา “จัดการนิ่งจองเสียน เอาชีวิตไว้ก็พอ”

ซู๊ด

คำพูดหลินอิ่งเพิ่งจบ ฮาเดสก็พุ่งไปด้วยความเร็ว

สามวินาที

วินาทีเดียวจับคน หนึ่งวินาทีกดไว้บนโต๊ะ หนึ่งวินาทีหยิบปืนเจาะหัว

เร็วกว่าสายฟ้าแลบ เมื่อนิ่งจองเสียนตั้งตัวได้ว่าเกิดอะไรขึ้น ก็ถูกฮาเดสกดไว้บนโต๊ะขยับไม่ได้ ใช้ปืนเจาะไว้ที่หัว

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท