ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 305 เอาน้ำชาที่เย็นแล้วมาต้อนรับผม?

บทที่ 305 เอาน้ำชาที่เย็นแล้วมาต้อนรับผม?

คำพูดอันเย็นชาของหลินอิ่ง ทำให้ทุกคนตะลึง

ไม่มีใครคิดได้ว่า ผู้อาวุโสหลินที่ดูอายุน้อยท่านนี้ พฤติกรรมจะดูเฉียบขาดเคร่งขรึมขนาดนี้

นิ่งจองเต้าที่เป็นผู้นำตระกูลคนนี้ เพียงแค่คิดว่าฐานะตัวเองไม่ยอมก้มหัวเคารพหลินอิ่ง เขาก็เอาคืนทันที ท่าทางน่าเกรงขาม

นิ่งจองเต้าแววตาเย็นชา จ้องหลินอิ่งไม่ละสายตา ความโกรธในใจกำลังเดือด

ไอ้หลินอิ่งอวดดีคนนี้ กล้าอวดดีต่อหน้าคนมากมายขนาดนี้?

ไม่รู้ว่ากี่ปีแล้ว ที่ไม่มีคนกล้าอวดดีต่อหน้าเขานิ่งจองเต้า

“ผู้อาวุโสหลิน ท่านมาตี้จิงครั้งแรก ยังไม่ผ่านการรับรองตำแหน่งผู้อาวุโสตระกูลนิ่งจากนายท่านเลย ก็เย่อหยิ่งขนาดนี้ คุณจะคิดไปเองเกินไปหรือเปล่า?” นิ่งจองเต้าพูดเสียงเรียบ

“คิดไปเอง? คุณเป็นถึงผู้นำตระกูลนิ่ง เจอผมแล้วไม่เคารพ ไม่รู้ระเบียบตระกูลนิ่งใช่ไหม? หรือไม่พอใจ?” หลินอิ่งพูดอย่างเย็นชา “อีกอย่าง คุณคิดว่า ผมมาตระกูลนิ่งเพื่อตำแหน่งผู้อาวุโส?”

นิ่งจองเต้าอดกลั้นความโมโหในใจไว้ พูดช้าๆ “ผู้อาวุโสหลิน ถึงแม้คุณจะได้รับการยอมรับจากนายท่าน ผมในฐานะผู้นำตระกูลนิ่ง ก็ไม่จำเป็นต้องก้มเคารพคุณ คุณมาเพื่ออะไร พูดมาตามตรงเลย”

หลินอิ่งหัวเราะเย็นชา นิ่งไท่จี๋ยังไม่ตาย นิ่งจองเต้าก็อ้างตัวเป็นผู้นำขึ้นเอง?

ตระกูลนิ่งนี้ พลิกผันแล้วจริงๆ

หลินอิ่งมองนิ่งจองเต้า พูดว่า “ผมขอถามคุณ พ่อแม่นิ่งซวน ถูกใครฆ่า?”

ได้ยินแล้ว นิ่งจองเต้าขมวดคิ้ว คิดไม่ถึงว่าหลินอิ่งมาแล้ว ก็ถามเรื่องนี้ทันที?

นี่คงไม่ใช่คนไม่มีสมองหรอกนะ?

เรื่องของนิ่งซวนเขารู้ดี เพราะนี่คือคำสั่งของเขาให้ทหารลับไปฆ่าพ่อแม่ของนิ่งซวน ลบล้างตระกูลบ้านสามทุกคน

หลินอิ่งกลับมาเพื่อถามเรื่องไอ้น่าโง่สองคนนั้น มาเพื่อแก้แค้น?

“พ่อแม่นิ่งซวนตาย เป็นเพราะอุบัติเหตุเครื่องบินตก ไม่ได้ถูกใครฆ่า” นิ่งจองเต้าพูดด้วยเสียงเรียบ

“ออ? ใช่เหรอ?” หลินอิ่งพูดอย่างเรียบเฉย “วันนี้ทุกคนที่อยู่ในนี้รู้เรื่องไม่รายงาน วันหลังผมคิดบัญชีก็อย่าโทษผมละกัน”

น้ำเสียงอันเรียบเฉยนั้น แต่ทำให้ทุกคนในห้องรู้สึกถึงกลิ่นอายเลือด เพิ่มความกดดันในใจไม่น้อย

ตอนพูด หลินอิ่งใช้สายตาเย็นชามองทุกคนในห้องหนึ่งรอบ

เมื่อทุกคนมองเห็นสายตาของหลินอิ่งแล้ว ต่างก็ก้มหน้าโดยอัตโนมัติ ไม่กล้าสบตา

เพราะว่า เมื่อสบตาแล้ว พวกเขาก็รู้สึกว่าความลับในใจจะถูกอ่านออก เหมือนตกลงไปในบ่อน้ำ เนื้อตัวสั่น

ความรู้สึกแบบนี้ ก็เหมือนกับตัวเองถูกปีศาจจ้องมอง

“ผู้อาวุโสหลิน คุณอย่ามาสร้างเรื่องน่าตกใจในนี้ นี่เป็นเรื่องภายในของตระกูลนิ่ง ผมเป็นผู้นำตระกูล ต้องจัดการเรื่องให้เรียบร้อยแน่ ผู้อาวุโสไม่ต้องห่วง” นิ่งจองเต้าพูดอย่างไม่เกรงใจ

เขารู้สึกว่าหลินอิ่งพูดจาน่าตลก คิดว่าตัวเองเป็นใคร? ยังคิดบัญชี วันนี้แกก็หนีไม่รอดแล้ว

จะตายอยู่แล้วยังไม่รู้ตัวอีก ยังมาทำตัวใหญ่ที่นี่

ด้วยท่าทางการพูดจาอวดดีของหลินอิ่ง นิ่งจองเต้าก็ตัดสินใจแล้ว หลินอิ่งก็เป็นเพียงคนโผงผางคนหนึ่งเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องกลัวเลย ไม่ใช่คู่แข่งของเขาแน่นอน

แค่สองสามคำ นิ่งจองเต้าก็ดูถูกหลินอิ่งในใจไปมากพอสมควร

นิ่งจองเต้าสีหน้าหยอกล้อ ตบมือพูด “ผมว่า ผู้อาวุโสหลิน ท่านมาจากที่ไกล คงร้อนอบอ้าวน่าดู ดูน้ำหน่อยดีกว่า เอามา เทน้ำชาให้ผู้อาวุโสหลินแก้กระหายหน่อย”

พูดไป ข้างกายนิ่งจองเต้า ก็มีชายวัยกลางคนเดินออกมา ในมือถือน้ำชา เดินไปทางด้านหลินอิ่ง

คนนี้หน้าขาวเหมือนหยก ผมดกเต็มหัว สายตาเฉียบคม ท่าทางเหนือคนธรรมดา

“ผมเจียงกู่จือ ได้ยินชื่อเสียงท่านผู้อาวุโสมานาน ยินดีที่ได้พบท่าน” เจียงกู่จือเดินมาด้วยรอยยิ้ม ยืนถ้วยชาในมือไป

หลินอิ่งขมวดคิ้ว สำรวจดูเจียงกู่จื่อ คนคนนี้ลมหายใจแรง ฝีเท้าเบา เห็นชัดว่าเป็นยอดฝีมือกังฟูระดับสูงที่เห็นยาก

ในขณะที่เจียงกู่จื่อแนะนำตัว ผู้นำตระกูลที่นั่งทุกคน สีหน้าต่างก็มีอาการเปลี่ยนแปลง เห็นได้ชัดว่าเคยได้ยินชื่อเสียงเขามาก่อน

“นี่……เจียงกู่จื่อ คือยอดฝีมืออันดับหนึ่งที่มีชื่อเสียงแห่งเสฉวนเหรอ?”

“พี่รองเชิญเจียงกู่จื่อมา หมายความว่ายังไง? อยากทดสอบ?”

“ดูแล้ว ถ้าทดสอบดูความสามารถของผู้อาวุโสหลินท่านนี้……”

ผู้นำตระกูลที่นั่งอยู่ ใช้เสียงเบาเท่ายุง ซุบซิบโต้แย้งกัน

แต่หลินอิ่งฟังเข้าหูหมด ระยะร้อยเมตร ไม่ว่าเสียงลมพัดหญ้าปลิวก็ปิดปังเขาไม่ได้

“ผู้อาวุโสหลิน เชิญ”

เจียงกู่จื่อสีหน้ายิ้ม ยื่นน้ำชาไป

หลินอิ่งรู้ เจียงกู่จื่อจะใช้วิธีในยุทธจักร ยกน้ำชาเป็นข้ออ้าง เป้าหมายคือทดสอบฝีมือ

จากความสามารถของเขาแล้ว จะไปสนใจปรมาจารย์จอมปลอมแบบนี้เหรอ?

หลินอิ่งยิ้มที่มุมปาก มือข้างหนึ่งไขว้หลัง ยกมือไปจับถ้วยชา เจียงกู่จื่อกลับหมุนถ้วยกะทันหัน มือเร็วยิ่งกว่าฟ้าแลบ จับข้อมือของเขาไว้

เสียงเชี้ยวทีเดียว หลินอิ่งยื่นมือออกไปหมุนอย่างรวดเร็วอย่างมังกร จับข้อมือของเจียงกู่จื่อไว้ หมุนอย่างแรง

เสียงดังคั๊ก เสียงกระดูกดังออกมา เจียงกู่จื่อสีหน้าไม่เปลี่ยน เรี่ยวแรงที่พอสำหรับทำให้กระดูกหักหายไปทันที

ตามมาด้วย เขาเปลี่ยนวิธี ลองฝีมือกับหลินอิ่งขึ้นมา

เห็นเพียงมือของทั้งสองเร็วกว่าสายลม ชิ้วชิ้วชิ้วเหลือไว้แค่เงา เวลาเพียงแค่สายฟ้าแลบก็ประลองมือไปสิบครั้งแล้ว ได้ยินแค่เสียงลม

หลังจากหายใจไปสิบครั้ง เสียงดังปัง ถ้วยน้ำชา ลอยขึ้นสูง น้ำชาสาดกระเด็นไปทั่ว

เจียงกู่จื่อสีหน้าเปลี่ยนไปทันที แขนทั้งแขนสั่นสะเทือนเหมือนโดนไฟดูด รีบดึงมือกลับ ถอยหลังไปเป็นสิบก้าว ถอยไปเรื่อยๆ เหยียบพื้นกระเบื้องจนเป็นหลุม

ดึงระยะห่างออกไป เจียงกู่จื่อรีบเงยหน้าขึ้น สายตาจ้องไปที่หลินอิ่ง แววตาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว

แขนของเจียงกู่จื่อชาไปแล้ว กำลังสั่นอย่างรุนแรง ในลำคอกำลังมีแรงบางอย่างดันขึ้นมา พรูดขึ้นมาจนทนไม่ไหว กระอักเลือดออกมา

คนนี้ ใช้แรงลึกลับได้เก่งกาจถึงเพียงนี้ นี่ไม่ใช่คนอายุเพียงยี่สิบกว่าปี จะฝึกฝนได้

“ท่าน ไม่ทราบว่ามาจากไหน?” เจียงกู่จื่อถามด้วยสีหน้าหนักใจ

เจียงกู่จื่อก็เป็นปรมาจารย์ที่เคยเห็นผู้มีวิชามามากมาย จากการประลองฝีมือแล้ว ก็ตัดสินได้ว่า หลินอิ่งไม่ใช่คนธรรมดา มีความสามารถจริง

“คุณไม่คู่ควรที่จะรู้” หลินอิ่งพูดเสียงเรียบ

เจียงกู่จือคนนี้น่าสนใจ สามารถสับเปลี่ยนกระดูกแขนได้อย่างง่ายดาย ฝึกฝนทั้งวิชาตัวเบาและกำลังภายใน เมื่อกี้เขาลองไปกี่ครั้ง แม้แต่ฮาเดสยังทนไม่ไหว อย่างน้อยก็แขนหักไปข้างหนึ่ง แต่เจียงกู่จื่อกลับเปลี่ยนกระดูกได้ หลีกเลี่ยงแรงอันรุนแรงนี้ ฝึกวิชาได้อย่างถ่องแท้

แต่เสียดาย เจียงกู่จื่อยังไม่ถึงขั้นนั้น เมื่อเทียบกับเขายังห่างอีกเยอะ

“ไอ้เด็กหนึ่ง ปากดีนัก” เจียงกู่จื่อโมโหตะโกนออกไป

ถึงแม้เขาจะยอมรับว่าหลินอิ่งมีความสามารถ แต่ยังไม่ถึงขั้นชนะเขาได้

เจียงกู่จื่อเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งแห่งเสฉวน แม้กระทั่งตระกูลนิ่งแห่งตี้จิงยังถือเป็นแขกพิเศษ ก็ต้องมีความมั่นใจอยู่แล้ว จะไปทนคำดูถูกของหลินอิ่งได้ยังไง

กำลังจะลงมือสั่งสอนเด็กเมื่อวานซืนคนนี้สักหน่อย สีหน้าเจียงกู่จื่อก็เปลี่ยนทันที หน้าผากเหงื่อซึม มองหลินอิ่งอย่างไม่น่าเชื่อ

ท่ามกลางสายตาผู้คน หลินอิ่งยื่นมือไปจับถ้วยกลางอากาศ มืออีกข้างหนึ่งเหมือนมีเวทมนตร์ ใช้ฝาปิดถ้วยน้ำชาเหมือนดีดเปียโน น้ำชาที่ลอยอยู่กลางอากาศ ถูกเก็บเข้าถ้วยหมด ค่อยๆไหลเข้าไป

“นี่มัน น้ำฟ้าหวนคืน?” เจียงกู่จื่อพูดด้วยสีหน้าตกใจ

เขาเคยได้ยินวิชานี้จากหนังสือศิลปะการต่อสู้โบราณเท่านั้น ฝึกวิชามาครึ่งชีวิต ยังไม่เคยเห็นกับตา นี่มัน เหนือกว่าพลังปราณพิฆาตอีก

“เอาน้ำชาที่เย็นแล้วให้ผม?” หลินอิ่งมือถือถ้วย สายตาเย็นชา “นี่เพราะฐานะผู้อาวุโสตระกูลนิ่งของผมต่ำไป หรือว่าเกณฑ์ของตระกูลนิ่งพวกคุณสูงเกินไป?”

“เหอะ เทน้ำชาที่เย็นแล้วให้คุณ ยังไม่เข้าใจอีกเหรอ? นั่นก็เพื่อบอกคุณว่า อาจารย์ของคุณตายไปสิบกว่าปีแล้ว น้ำชาถ้วยนี้ในตระกูลนิ่ง เย็นไปตั้งนานแล้ว” นิ่งจองเต้าพูดเสียงเย็นชา ในคำพูดนั้นไม่มีความเกรงใจแม้แต่น้อย

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท