ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 303 ตระกูลนิ่งจะพังทลายในมือนาย

บทที่ 303 ตระกูลนิ่งจะพังทลายในมือนาย

นิ่งจองเต้ายืนอยู่ห้องใต้หลังคือทำจากไม้แดงแบบโบราณ สวนดอกไม้แห่งนี้มีชายชุดจีนโบราณสีหน้าเย็นชายืนเรียงกันเป็นจุด

พวกนี้เป็นทหารลับของตระกูลนิ่งที่คัดมาโดยเฉพาะ ประมาณร้อยกว่านาย ล้วนเป็นที่ไว้ใจของนิ่งจองเต้า ให้ประจำอยู่ที่นี่ ล้อมสวนแห่งนี้ไว ไม่ให้คนเข้าออก

ที่แห่งนี้ ก็คือสถานที่กักตัวนิ่งไท่จี๋ของนิ่งจองเต้า

นิ่งจองเต้าเดินเข้าไปในเรือนช้าๆ นั่งลงไปที่เก้าอี้จีนชิงชัง มีมู่ลี่กั้น สามารถมองเห็นเตียงใหญ่ที่อยู่ในห้อง มีคนแก่ผมขาวท่านหนึ่งกำลังพักผ่อน

“พ่อ ลูกศิษย์ของคนในตำนานคนนั้นมาตี้จิงแล้ว ก็คือหลินอิ่งที่พ่อคาดหวัง” นิ่งจองเต้ายกชาขึ้น มองไปด้านมูลี่ พูดอย่างเชื่องช้า

นิ่งไท่จี๋เหมือนไม่ได้ยิน หรืออาจจะไม่อยากสนใจ นอนหลับตาพักผ่อนบนเตียง

นิ่งจองเต้าสายตาเย็นชา พูดว่า “หลินอิ่งคนนี้ มาถึงตี้จิงก็สร้างเรื่องทุกที่ คนของตระกูลนิ่งหลายคนก็ถูกเขาเสียทีโดนเขาทำร้าย เมื่อวาน เขาเกือบฆ่าเซวียนเอ๋อแล้ว ทำร้ายเซวียนเอ๋อให้คุกเข่าขอโทษเขา วันนี้ ยังจะมาวางมาดถึงตระกูลนิ่ง ให้ผู้นำระดับสูงทุกคนต้อนรับเขา”

พูดถึงตรงนี้ แรงอาฆาตในสายตานิ่งจองเต้ายิ่งรุนแรงขึ้น “นายคนนี้อวดดีขนาดนี้ ฉันจะให้มันชดใช้อย่างสาสม”

“เซวียนเอ๋อคุกเข่าให้หลินอิ่ง นั่นมันก็สมควรแล้ว ทุกคนในตระกูลนิ่งไปต้อนรับหลินอิ่งก็ถูกแล้ว มันก็เป็นเรื่องสมควร” ในห้อง เป็นเสียงของนิ่งไท่จี๋ที่แหบแห้ง

นิ่งจองเต้าหัวเราะเย็นชา ไม่ใส่ใจ

“เป็นเรื่องสมควร? เหอะ เขามีสิทธิ์อะไร? เขาแค่ลูกเขยไร้น้ำยาจากเมืองตงไห่คนหนึ่งเท่านั้น พอถึงตี้จิง ก็กลายเป็นผู้อาวุโสตระกูลนิ่งเหรอ?” นิ่งจองเต้าหัวเราะพูดอย่างเย็นชา “ผมไม่พยักหน้า อำนาจตระกูลนิ่งไม่สนับสนุนเขา เขาจะทำอะไรได้? กับแค่กังฟูที่เขาฝึกเท่านั้นเหรอ?”

นิ่งจองเต้ารู้สึกคำพูดของนิ่งไท่จี๋น่าหัวเราะ คุณชายใหญ่ตระกูลนิ่งทั้งคนต้องคุกเข่าขอโทษเขา เป็นเรื่องสมควร?

แก่เลาะเลือนแล้ว ไม่เข้าใจสถานการณ์โลกภายนอกแล้ว

“จองเต้า เกี่ยวกับเรื่องของหลินอิ่ง แกไม่มีวันเข้าใจหรอก” นิ่งไท่จี๋พูด

“ผมไม่เข้าใจจริงๆ พ่อเคารพผู้อาวุโสคนนั้นยกย่องเหมือนพระเจ้า แต่ว่า คนนั้นในอดีตมีที่มายังไงก็ไม่รู้ ไม่มีข่าวคราวตั้งนานแล้ว” นิ่งจองเต้าพูดเสียงเรียบ “ตอนนี้เป็นเพียงแค่ทายาทเขาคนหนึ่งเท่านั้น หรืออาจจะเป็นแค่คนรุ่นหลังที่ให้ความช่วยเหลือเท่านั้น ตระกูลนิ่งของเราจะเคารพบูชาเหมือนบรรพบุรุษหรือไง?”

“โลกกำลังเปลี่ยนแปลง ยุคสมัยไม่เหมือนเดิม วันนี้ ตระกูลนิ่งของเราไม่เหมือนในอดีตแล้ว ถึงแม้ว่าผู้อาวุโสในอดีตคนนั้นจะมาตี้จิงด้วยตัวเอง จะทำอะไรได้?” นิ่งจองเต้าพูดอย่างมั่นใจ

เขาก็รู้ว่า อาจารย์ของหลินอิ่งใช้ความสามารถของตัวเองช่วยตระกูลนิ่งจนอยู่รอดได้

แต่ว่า รายละเอียดเกิดอะไรขึ้นบ้างเขาไม่รู้

“จองเต้า ฉันเคยสอนแกตั้งแต่เด็กแล้ว เป็นคนอย่าลืมกำพืด” นิ่งไท่จี่พูดสีหน้าจริงจัง “ถ้าไม่ท่านนั้นในอดีต ก็ไม่มีตระกูลนิ่งในวันนี้”

“ถึงแกจะไม่คิดถึงบุญคุณล้นฟ้านี้ ก็ต้องคิดถึงความสามารถของเขา ตระกูลนิ่งสำหรับหลินอิ่งแล้ว ก็เล็กน้อยเหมือนกับมด แกเข้าใจไหม?”

“พ่อยังไม่เคยเห็นหลินอิ่งเลย จะตัดสินใจได้ยังไง เด็กหนุ่มอายุแค่ยี่สิบต้นๆ จะบีบตระกูลนิ่งเราให้ตายอย่างมดได้?” นิ่งจองเต้าพูดอย่างไม่พอใจ

“เหอะ จองเต้า แกคิดไม่ถึงแน่ หลินอิ่งเป็นคนยังไง เพราะคำสาบานในอดีตของฉัน ฉันบอกแกไม่ได้” นิ่งไท่จี๋พูดอย่างเชื่องช้า

นิ่งจองเต้าหัวเราะ ไม่ได้ใส่ใจ พูดว่า “พ่อ พ่อแก่แล้วจริงๆ ไม่เข้าใจอะไรเลย ทุกวันนี้ตระกูลนิ่งพัฒนามาก้าวไกลขนาดนี้ ควบคุมทั่วประเทศหลุง จะมีใครล้มตระกูลนิ่งได้ง่ายๆ?

เขาไม่มีวันเชื่อ หลินอิ่งจะมีความสามารถกดทับตระกูลนิ่งได้ เหยียบตระกูลนิ่งอย่างมดได้

นายท่านนิ่งไท่จี๋ถึงจะเคยมีชื่อเสียงโด่งดังมีครึ่งค่อนชีวิต แต่อายุมากแล้ว สมองก็ไม่ค่อยดี มีแต่ความงมงาย

ชายหนุ่มอายุเพียงยี่สิบต้นๆ พูดไปแล้วจะมีความสามารถอะไร? ยังเหยียบตระกูลนิ่ง?

“พ่อ ตอนนี้พ่อสมองเลาะเลือนไปหมดแล้ว เรื่องของตระกูลนิ่ง พ่อไม่ต้องยุ่งแล้ว จากการดูแลของผม ตระกูลนิ่งเติบโตขึ้นทุกวัน เพราะฉะนั้น ผมขอให้พ่อส่งมอบอำนาจในมือที่พ่อกำไว้ ให้กับผมเถอะ” นิ่งจองเต้าพูดอย่างจริงจัง

“ไอ้ลูกทรยศ ยังกล้าพูดถึงเรื่องนี้อีก แครกแครก……”

พอพูดถึงเรื่องนี้ น้ำเสียงของนิ่งไท่จี๋ก็เริ่มโมโห ยังไอแห้งไปสองที

“แก ยังมาหวังอำนาจในมือฉันอีก? แกยังทำเรื่องโครงการทำลายชาติทำลายมนุษย์นั่นอยู่ใช่ไหม? แกยังให้ฉันตายใช่ไหม?” นิ่งไท่จี๋ถามด้วยความโมโห

“พ่อ อะไรคือทำลายชาติทำลายมนุษย์?” นิ่งจองเต้าพูดเหมือนไม่มีอะไร “นั่นมันเรื่องดี ผมไปทำเรื่องนั้น จะทำให้ตระกูลนิ่งของเรายิ่งอยู่ยิ่งแข็งแกร่ง รากฐานยิ่งอยู่ยิ่งมั่นคง ผมไม่เข้าใจว่าทำไมพ่อถึงตายก็จะขัดขวางผม? อย่าว่าเรื่องที่ผมทำ จะทำร้ายคนไร้เดียงสาบ้าง ถึงจะทำให้คนประเทศหลุงทั้งประเทศต้องตาย จะมีอะไรเกี่ยวข้องกับตระกูลนิ่งของเรา? ตระกูลนิ่งของเรายังคงยืนอยู่จุดสูงสุดของประเทศหลุง”

นิ่งจองเต้าคิดว่าความคิดของนิ่งไท่จี๋โบราณ คิดถึงแต่ประเทศชาติและผู้คน แล้วมันมีประโยชน์อะไร? แม้แค่พื้นฐานของทุนนิยมก็ไม่เข้าใจเหรอ?

ขอแค่ตระกูลนิ่งเจริญยิ่งใหญ่ ประเทศหลุงจะมีภัยพิบัติอะไรก็ช่าง?

“แกมันจิตใจชั่วร้าย ฉันไม่มีวันยกศูนย์กลางอำนาจของตระกูลนิ่งให้กับแกแน่” นิ่งไท่จี๋พูดอย่างเด็ดขาด พูดไปด้วยไอไปด้วย เกลียดตัวเองที่สั่งสอนลูกไม่ดี

“เหอะ” นิ่งจองเต้าพูดด้วยแววตาเย็นชา “งั้นพ่อก็เก็บไว้เองเถอะ อยู่รักษาตัวที่บ้านไป พ่อคงไม่ได้คาดหลังในตัว ไอ้เด็กเมื่อวานซืนนั่นหรอกนะ จะช่วยพ่อได้เหรอ?”

นิ่งจองเต้าเพราะกำลังทำเรื่องที่มีผลกระทบร้ายแรง เพื่อแลกกับผลประโยชน์อันมหาศาล

แต่กลับโดนนิ่งไท่จี๋ต่อว่าอย่างโมโห และขัดขวางเขา “เรื่องดี”

ปรากฏว่า เขาตัดสินใจสร้างการเปลี่ยนแปลงภายในตระกูล กักขังนายท่านนิ่งไท่จี๋

ดังนั้นจึงมีเสียงต่อต้านภายในตระกูลมากมาย ล้วนถูกเขาจัดการอย่างสะอาดเรียบร้อย ยึดอำนาจเอง

น่าเสียดาย ตระกูลนิ่งเป็นตระกูลมหาอำนาจที่ใหญ่ที่สุดในตี้จิง ศูนย์กลางคือไพ่ใบสุดท้าย อยู่ในมือของนิ่งไท่จี๋

ไม่มีนิ่งไท่จี๋ออกหน้าเอง คนใหญ่คนโตที่มีอำนาจซึ่งเป็นความสัมพันธ์เก่าแก่ในตี้จิง ความสัมพันธ์ที่สร้างไว้ในที่ลับ คนเหล่านั้น ไม่มีวันช่วยเหลือนิ่งจองเต้า

แค่คิดถึงจุดนี้ สีหน้านิ่งจองเต้าก็เย็นชาโหดเหี้ยม

“ตอนแรกพ่อยังอยากให้คนไปเชิญหลินอิ่งมาจากตงไห่เพื่อควบคุมงานใหญ่ มอบกิจการของตระกูลนิ่งให้กับคนนอกแบบนี้” นิ่งจองเต้าพูดด้วยสายตาอิจฉา “พ่อยอมเอาทุกอย่างของตระกูลให้กับหลินอิ่ง ก็ไม่ยอมให้ผม?”

“ผมจะฆ่าไอ้หลินอิ่งคนนี้ ดูว่า เขาเป็นตัวอะไรกันแน่”

“ไม่นาน ผมจะหิ้วหัวของหลินอิ่งมาเยี่ยมพ่อ ถึงเวลา ผมจะดูว่าพ่อจะตายใจไหม”

“ถ้าแกคิดจะฆ่าหลินอิ่ง จะนำภัยพิบัติมาสู่ตระกูลนิ่ง”

“ผมฆ่าเขาแน่” นิ่งจองเต้าพูดเสียงต่ำ

“ลูกทรยศ ตระกูลนิ่งจะพังในมือแก”

นิ่งไท่จี๋ไอหนัก พูดด้วยน้ำเสียงโมโห

นิ่งจองเต้าหัวเราะไม่ใส่ใจ ไม่สนใจคำสั่งของนิ่งไท่จี๋ ลุกขึ้นเดินออกจากห้อง

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท